28 มิ.ย. เวลา 11:49 • หุ้น & เศรษฐกิจ

Perfect Corner-Perfect Storm/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร : สมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า (ประเทศไทย)

ก่อนที่จะเข้าบทความนี้ ผมมีเรื่องที่จะบอกกับทุกคนที่ติดตามข้อเขียนและผลงานการลงทุนของผมว่า ผมถูกมิจฉาชีพจำนวนมากแอบอ้างชื่อว่าจะให้คำแนะนำการลงทุนหรือเปิดการฝึกอบรมแบบไม่คิดค่าใช้จ่ายและกระทำการอื่น ๆ อีกมากผ่านสื่อสังคมทุกรูปแบบ เมื่อเหยื่อเข้าไปติดต่อก็จะถูกหลอกให้หลงเชื่อว่าเป็นตัวผมจริงและก็จะถูกโกงจนเกิดความเสียหาย
และในช่วงเร็ว ๆ นี้ ก็มีการเขียนบทความและการกล่าวอ้างว่าเป็นข้อเขียนและคำพูดของผมทั้ง ๆ ที่เป็นเรื่องไม่จริง คนที่ทำอาจจะมีแรงจูงใจอะไรต่าง ๆ รวมถึงเรื่องการเมือง ที่เป็นประโยชน์กับตนเองแต่ทำให้คนเข้าใจผิดเกี่ยวกับตัวผม
ดังนั้น เพื่อให้ทุกคนรับทราบและไม่ตกเป็นเหยื่อหรือก่อให้เกิดความเข้าใจผิดเกี่ยวกับตัวผม ผมขอเรียนว่า ผมไม่มีหรือไม่เคยใช้สื่อสังคมของตนเองเพื่อติดต่อกับสาธารณชน เพราะผมไม่มีสื่อสังคมสาธารณะอะไรทั้งสิ้น ผมเป็นคน “โลว์เท็ค” และไม่สามารถทำเครื่องมือดิจิทัลที่เป็นสื่อสังคมสมัยใหม่และไม่สามารถโพสข้อมูลหรือข้อความอะไรทั้งนั้น
บทความและรายการสัมภาษณ์ของผมนั้น จะสื่อถึงสาธารณชนผ่านสื่ออื่น ๆ ที่เป็นสถาบันหรือหน่วยงานที่มีมาตรฐานและจรรยาบรรณสูงเท่านั้น ดังนั้น ถ้าพบข้อมูลหรือการโฆษณาประชาสัมพันธ์อะไรที่ไม่ตรงกับสิ่งที่ผมกล่าวข้างต้น ก็ต้องสรุปว่ามันเป็น “ของปลอม” อย่างแน่นอน ไม่ต้องเข้าไปเกี่ยวข้องหรือสนใจครับ
บทความสำหรับวันนี้ของผมเป็นเรื่องที่เกิดเมื่อ 4-5 วันที่ผ่านมา คือเรื่องที่หุ้น KTC หรือบริษัทบัตรกรุงไทย ตกลงมาแรงมาก รวมแล้วประมาณ 30% ภายในเวลา 5 วัน ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้นกับการดำเนินงานของบริษัท และบริษัทก็ได้ออกมาประกาศด้วยว่าพื้นฐานและการประกอบการของบริษัทก็ปกติทุกอย่าง ซึ่งโดยนัยก็คือ ผลประกอบการในไตรมาศ 2 ของปี 2568 ที่กำลังจะจบลงในไม่กี่วันก็น่าจะ “ปกติ”
การที่หุ้นตกลงมาแรงถึง “พื้น” ติดต่อกัน 2 วัน พร้อม ๆ กับปริมาณเสนอขายจำนวนหลายร้อยล้านหุ้น คิดเป็นเงินหลายพันล้านบาท โดยที่ไม่มีผู้เสนอซื้อเลยนั้น แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าหุ้นถูก “Forced Sale” หรือถูกบังคับขายเนื่องจากคนที่ซื้อหุ้นด้วยมาร์จินจำนวนมากและมีหนี้กับโบรกเกอร์หลักพันล้านบาทขึ้นไป ไม่มีเงินมาเติมเมื่อราคาหุ้นตกลงมาถึงจุดที่จะต้องถูกบังคับขายแล้ว
2
สำหรับผม ปรากฎการณ์หุ้น KTC นั้น เป็นกรณีของหุ้นที่ผมเรียกว่าเป็น หุ้นที่ “ถูกCorner” ที่ทำได้อย่าง “สมบูรณ์แบบ” ไม่ใช่ว่าราคาขึ้นไปแบบ “สุดโต่ง” จนเห็นได้ชัดแบบหุ้นที่ถูกคอร์เนอร์หลาย ๆ ตัวที่มีค่า PE สูงเป็น 100 หรือ 50 เท่าในเวลาอันสั้น ว่าที่จริง คนส่วนใหญ่รวมถึงนักวิเคราะห์หุ้นแทบทั้งหมดต่างมองว่าหุ้น KTC มีพื้นฐานที่ดีเยี่ยมและราคาก็ “ไม่แพง” และน่าจะโตไปได้อีกมาก
1
เหตุผลส่วนหนึ่งอาจจะมาจากราคาหุ้น KTC ที่ไม่เคยตกลงมาแรงเป็นเวลายาวนานหลายปีในขณะที่แม้แต่หุ้นที่ยอดเยี่ยมระดับ “ซุปเปอร์สต็อก” หลาย ๆ ตัวต่างก็ทยอยตกลงมาอย่างต่อเนื่องแม้ว่าผลประกอบการก็ยังดีหรือดีกว่า KTC ด้วยซ้ำ
แต่ภายใต้การคอร์เนอร์หุ้นที่สมบูรณ์แบบของ KTC นั้น มีจุดอ่อนที่การรองรับการซื้อและถือหุ้น KTC ด้วย “หนี้” มาร์จินและการจำนำหุ้นจำนวนมหาศาล คร่าว ๆ น่าจะประมาณ 1 ใน 3 ของมูลค่าหุ้นที่เป็น “Free Float” ทั้งหมด
หนี้จำนวนนี้ถูกแช่แข็งไว้ยาวนานมาก น่าจะหลายปี เพราะสถานการณ์ตลาดและตัวหุ้นที่ไม่เอื้ออำนวย ปริมาณการซื้อขายหุ้นของตลาดที่ลดลงอย่างมาก และปริมาณการซื้อขายหุ้น KTC ที่ลดลงมากยิ่งกว่า คือลดลงเหลือแค่วันละหลักไม่เกิน 100 ล้านบาทนั้น ทำให้การ “ออกของ” หรือขายหุ้น KTC จำนวนหลายพันหรือหมื่นล้านแทบเป็นไปไม่ได้ และนี่ก็คือปัญหาของการคอร์เนอร์หุ้น KTC ที่ต้อง “แตก” ลง เพราะการถูก “Force Sale” แบบมโหฬารในวันที่เลวร้ายที่สุดของหุ้น
3
มาดูสตอรี่หรือเรื่องราวของหุ้น KTC กัน
เริ่มตั้งแต่ฉากสุดท้ายก่อนที่คอร์เนอร์จะแตก ตรวจดูก็จะพบว่าผู้ถือหุ้นของบริษัทนั้น ชัดเจนว่าเป็นหุ้นที่กำลังอยู่ในคอร์เนอร์ กล่าวคือ ผู้ถือหุ้นใหญ่ที่สุดหรือเรียกว่า “เจ้าของ” ที่จะไม่ขายหุ้นเลยไม่ว่าราคาหุ้นจะขึ้นไปแค่ไหนก็คือ ธนาคารกรุงไทย ถือหุ้นเกือบ 50%
1
ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่เป็นกลุ่มที่เข้ามาถือหุ้นนานแล้ว และน่าจะเป็นกลุ่มที่ใช้มาร์จินหรือกู้เงินมาซื้อจำนวนมาก จะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม บางทีอาจจะเห็นว่านี่คือ “หุ้นสุดยอด” ที่กำลังจะโตมหาศาลในราคาที่ “ไม่แพง” ก็เลยทำแบบ “All In” ซื้อหุ้นตัวเดียวด้วยเงินทั้งหมดและยังกู้หนี้เต็มอัตราเพื่อที่จะเร่งพอร์ตให้เติบโตขึ้นแบบทวีคูณโดยอาจจะคิดว่า “ความเสี่ยงต่ำ” กลุ่มนี้น่าจะถือหุ้นอยู่ประมาณ 20%
2
กลุ่มที่ 3 ที่ถือหุ้นจำนวนมากอย่างมีนัยสำคัญก็คือ กลุ่มสถาบันและนักลงทุนต่างประเทศโดยเฉพาะที่เป็นกองทุน ถือหุ้นรวม ๆ กันประมาณน่าจะซัก 20% ซึ่งการถือหุ้นของกลุ่มนี้ บางทีอาจจะเป็นส่วนมากด้วย เป็นคนที่ “ถูกบังคับให้ซื้อและถือลงทุน” เพราะเป็นกองทุนที่อิงดัชนี เช่น ดัชนีหุ้น SET50 หรือดัชนี MSCI Small Cap. Index เป็นต้น
1
รวมแล้วผู้ถือหุ้นใหญ่ 3 กลุ่มข้างต้น ที่มีแนวโน้มจะไม่ขายหุ้นแม้ว่าราคาหุ้นอาจจะขึ้นไปสูงเกินพื้นฐานมาก รวมกันแล้วถือหุ้นถึงเกือบ 90% เหลือหุ้นที่ถือโดยนักลงทุนรายย่อยแค่ประมาณ 10% ซึ่งอาจจะซื้อ ๆ ขาย ๆ แนว “เล่นหุ้น” ระยะสั้น ซึ่งก็ทำให้ปริมาณการซื้อขายต่อวันของหุ้นลดน้อยลงเหลือไม่กี่สิบล้านบาทต่อวันทั้ง ๆ ที่ Market Cap. หรือมูลค่าตลาดของหุ้นนั้นอยู่ในระดับแสนล้านบาทมานาน ซึ่งในทางวิชาการก็ถือว่าเป็นหุ้นที่ “สภาพคล่องต่ำ”
1
คอร์เนอร์หุ้น KTC นั้น น่าจะเกิดขึ้นมานานหลาย ๆ ปีแล้ว จากข้อมูลผลประกอบการย้อนหลังไปยาว ๆ นั้นก็พบว่าบริษัทเคยมีปัญหาขาดทุนต่อเนื่องหลังวิกฤติซับไพร์มในปี 2009 จนถึงปี 2012 ก็เริ่มฟื้นตัวมีกำไรเล็กน้อย และหลังจากนั้นบริษัทก็กำไรมากขึ้นอย่างรวดเร็วและต่อเนื่องจนถึงปี 2019 บริษัทก็ทำกำไรถึง5,500 ล้านบาท และ Market Cap. แตะ 100,000 ล้านบาท จากปี 2012 ที่มูลค่าของหุ้นอยู่ที่ประมาณ 8,000 ล้านบาท หรือเป็นการเพิ่มขึ้นถึงเกือบ 13 เท่าในเวลา 7 ปี
2
การเติบโตอย่างรวดเร็วนั้น คงทำให้นักลงทุน “แห่” กันเข้าไปซื้อหุ้นจนทำให้ค่า PE ของหุ้น KTC สูงถึง 18.4 เท่าในปี ก่อน “โควิด 19” ระบาด แต่ในช่วงเวลานั้น ดูเหมือนว่าหุ้นกำลังถูกคอร์เนอร์แล้ว เพราะหุ้นสถาบันการเงินขนาดใหญ่เช่น หุ้นธนาคารพาณิชย์นั้น ต่างก็มักมีค่า PE ไม่เกิน 10 เท่า แต่หุ้น KTC และหุ้นไฟแน้นซ์ที่เน้นการปล่อยกู้ให้รายย่อยหลายแห่งที่ “โตเร็ว” กลับมีค่า PE สูงกว่ามาก “กว่าเท่าตัว” คือมีค่า PE ระดับ 20 เท่าขึ้นไป
2
และนั่นก็อาจจะเป็นเหตุผลว่า เมื่อโควิด 19 ระบาดในปี 2020 และตลาดหุ้นตกลงมาแรง หุ้น KTC กลับปรับตัวขึ้นไป 50% จาก Market Cap. แสนล้านบาทเป็น หนึ่งแสนห้าหมื่นล้านบาท ใหญ่กว่าแบ้งค์พาณิชย์หลาย ๆ แห่ง ทั้ง ๆ ที่กำไรลดลงและต่ำกว่ากำไรของแบ้งค์ที่เปรียบเทียบกัน ค่า PE ของ KTC พุ่งขึ้นเป็น 29 เท่า คอร์เนอร์หุ้น KTC สมบูรณ์แล้ว ราคาหุ้นอาจจะสูงเกิน “พื้นฐาน” ที่ควรเป็นได้ถึง 3 เท่าเมื่อเปรียบเทียบกับธุรกิจเดียวกันที่ไม่ได้มีการคอร์เนอร์เช่น ธนาคารพาณิชย์ที่ก็ทำธุรกิจบัตรเครดิตด้วยเช่นกัน
6
ผลประกอบการของ KTC ตั้งแต่ปี 2021 จนถึงสิ้นปี 2024 ยังเติบโตขึ้นบ้างแต่ก็ไม่ได้เร็วหรือสูงไปกว่าแบ้งค์คือเฉลี่ยปีละประมาณ 8-9% และมีแนวโน้มถดถอยลงเรื่อย ๆ ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ซึ่งนี่ก็เป็นอาการแบบเดียวกับสถาบันการเงินอื่น ซึ่งเป็นผลจากปัญหาทางเศรษฐกิจของไทยที่ถดถอยลงในช่วง 2-3 ปีหลังนี้ ซึ่งก็ส่งผลให้หุ้นหลาย ๆ ตัว รวมถึงหุ้นไฟแน้นซ์ที่ถูกคอร์เนอร์มานาน “แตก” ราคาหุ้นตกลงมามาก บางครั้งแทบ “หายนะ”
1
หุ้น KTC เองนั้นต้องถือว่าสามารถประคองตัวไม่ให้คอร์เนอร์แตกได้นานมาก ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นว่า ราคาของหุ้นนั้นดูเหมือนว่าจะไม่ได้แพงมากเหมือนหุ้นคอร์เนอร์ที่อยู่ในอุตสาหกรรมอื่น และอาจจะเป็นเพราะว่าคนไม่เข้าใจว่า ค่า PE จะสูงหรือไม่สูงนั้น จะต้องเปรียบเทียบกับหุ้นในอุตสาหกรรมเดียวกัน
3
ฉากสุดท้าย คอร์เนอร์หุ้น KTC ก็แตก ผมเองคิดว่าเหตุผลใหญ่เรื่องหนึ่งก็คือ การที่ KTC ถูกถอดออกจากดัชนีอ้างอิง MSCI Global Standard Index เมื่อเดือนที่แล้ว ซึ่งส่งผลให้กองทุนต่างประเทศบางแห่งต้องขายหุ้นทิ้ง และจำนวนที่ขายอาจจะมากเกินกว่าที่ตลาดจะรับได้ เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ เม็ดเงินที่จะมารับหุ้น KTC ในภาวะตลาดแบบนี้คงไม่มีแล้ว พูดง่าย ๆ ไม่มีโบรกเกอร์หรือสถาบันการเงินไหนจะให้กู้อีกแล้ว
2
ดังนั้น หุ้นจึงถล่ม ราคาหุ้น KTC ตกลงไปจนมีค่า PE ต่ำกว่า 10 เท่า ปันผลตอบแทนก็น่าจะเกิน 5% ต่อปี ซึ่งสอดคล้องกับหุ้นอื่น ๆ ในธุรกิจเดียวกัน สำหรับผมแล้ว หุ้น KTC หลุดออกจากคอร์เนอร์แล้ว แต่ก็ไม่ได้เป็นหุ้นที่ถูกกว่าปกติ
2
ว่าที่จริง หุ้น KTC ก็ยังแพงกว่าหุ้นแบ้งค์ทั้งหลายโดยเฉพาะ KTB ซึ่งเป็นหุ้นแม่ที่มีค่า PE ไม่ถึง 7 เท่าและปันผลถึงกว่า 7% ต่อปี ดังนั้น ก่อนที่จะรีบเข้าไปเล่นเพราะคิดว่าหุ้นมีราคาต่ำกว่าพื้นฐานมาก ก็จะต้องระวังว่า หุ้นที่คอร์เนอร์แตกแล้วจะกลับสู่การคอร์เนอร์อีกครั้งนั้น ไม่ใช่เรื่องง่าย
2
ประชาสัมพันธ์ - เว็บบอร์ด Thai VI เปิดให้สมัครสมาชิกและทดลองใช้ได้ฟรี 30 วัน! เข้าไปสมัครกันได้เลยครับที่ www.ThaiVI.org
1
โฆษณา