29 มิ.ย. เวลา 05:47 • ปรัชญา

watthakhanun

วันนี้ตรงกับวันเสาร์ที่ ๒๘ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๘ เครื่องบินลงสู่สนามบินสุวรรณภูมิตอน ๐๑.๓๙ น. คณะของพวกเราผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองของประเทศไทย ซึ่งใช้เวลาเร็วสุด ๆ แต่ละคนอยู่ตรงหน้าเจ้าหน้าที่ไม่เกิน ๕ วินาที หรือไม่ก็สแกนพาสปอร์ตออกไปเลยก็ได้..!
เมื่อมารับกระเป๋ากันแล้วก็ไม่ต้องอำลาอาลัยอะไรกันทั้งสิ้น เพราะว่าแต่ละคนล้วนแล้วแต่อยู่ดูโลกมานาน จนรู้สึกว่าโลกนี้ไม่มีอะไรให้ต้องอาลัยอาวรณ์แล้ว ไปกัน ๑๓ คนจะเรียกว่าคณะทัวร์ ๗๐๐ ปีก็ย่อมได้..!
กระผม/อาตมภาพ พี่มุกดา (นางสาวมุกดา เพชรชื่นสกุล) และน้องเล็ก (นางสาวจิราพร ซื่อตรงต่อการ) ได้รับความเมตตาจากน้องไก่ (นางสาวโสภา ตั้งอธิคม) ซึ่งมีพ่อบ้านมารับ ขอให้พ่อบ้านพาวิ่งไปส่งถึงวัดอุทยานตอน ๐๓.๒๐ น. คุณพ่อบ้านผู้น่ารัก
ยังถวายค่าส่งให้กระผม/อาตมภาพอีก ๕,๐๐๐ บาทด้วย..! รู้สึกว่าเป็นการขึ้นรถที่นอกจากไม่ต้องจ่ายค่ารถแล้ว ยังต้องเป็นฝ่ายรับอีกต่างหาก ขอเจริญพรขอบคุณครอบครัวตั้งอธิคม ขอให้กระทำสิ่งหนึ่งประการใดก็มีแต่ความสะดวกคล่องตัวทุกอย่างด้วยเทอญ..!
สำหรับการเดินทางเที่ยวนี้ ต้องบอกว่าเหมือนเดินทางกับครอบครัว ทุกคนช่วยกันดูแล ทั้งดูแลกระผม/อาตมภาพและดูแลผู้สูงอายุในคณะ โดยเฉพาะคุณณรงค์ (นายฑนดล ภูมิธเนศ) และน้องพอร์ช (เด็กชายณเสฏฐ์ ชาครวิโรจน์) ถึงเวลาจะถ่ายรูปก็ต้องรีบประกบซ้ายขวา เพื่อไม่ให้ผู้หญิงเข้าใกล้กระผม/อาตมภาพ
แล้วในขณะเดียวกัน คุณณรงค์เองถึงร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง ก็ยังอุตส่าห์ช่วยหิ้วกระเป๋าให้ทุกครั้ง จนกระผม/อาตมภาพต้องแย่งกระเป๋ามาหิ้วเสียเอง ส่วนน้องพอร์ชนั้นก็คอยเตือนอยู่ตลอดเวลาว่า "หลวงพ่อครับ..เขาไม่ให้ถ่ายรูปนะครับ" "หลวงพ่อ
ครับ..ต้องรัดเข็มขัดแล้วครับ" เหล่านี้เป็นต้น จะว่าไปแล้ว ทำให้ทุกคนรู้สึกเหมือนกับพาครอบครัวไปเที่ยวก็ไม่ปาน แต่ละคนแซวกันรุนแรงขนาดไหนก็ไม่โกรธ บ้าอะไรบ้าตามกัน จึงทำให้รู้สึกใกล้ชิดกันสุด ๆ อยากจะให้มีทริปเที่ยวในลักษณะแบบนี้อีก ประมาณว่าเหนื่อยแค่ไหนก็ไม่มีใครบ่น (อาจจะมีแอบบ่นในใจ..!)
บรรดามัคคุเทศก์ของเราก็น่ารักมาก ๆ ทางด้าน "คุณโบตั๋น" ก็ดี "อาเหมย" ก็ดี "คังคัง" ก็ดี ไปจนถึง "กิ๊กเหล่าซือ" แต่ละคนทำหน้าที่ของตนเองอย่างเต็มที่ "อาเหมย"นั้นแม้ว่าจะพูดแต่ภาษาจีนก็ตาม แต่เมื่อถึงเวลาจะต้องซื้อตั๋ว จะต้องสแกนจ่ายสตางค์อะไรก็ตาม ก็ทำหน้าที่ของตนเองอย่างรวดเร็วและไม่บกพร่อง "คังคัง"นั้นเข้ากับพวกเราได้ดีที่สุด และท้ายสุดทั้งสามคนก็กลายเป็นลูกศิษย์วัดท่าขนุนไปโดยปริยาย..!
"คุณโบตั๋น"นั้น เช้าขึ้นมาก็ต้องทำบุญตามแบบลูกศิษย์วัดท่าขนุน ถวายเป็นเงินหยวนบ้าง เป็นธนบัตรไทยบ้าง แล้วแต่ว่ามีอะไร ส่วน "อาเหมย" และ "คังคัง" ตอนขากลับก็มากราบปะหลก ๆ แบบเจ๊กไหว้เจ้า ขอพรให้กับตัวเอง โดยเฉพาะเมื่อเห็นว่า "คุณโบตั๋น" และ "อาเหมย" มีครอบครัวกันแล้ว สิ่งที่ "คังคัง" ขอพรก็คือ ขอ "หนานเผิงโหย่ว" พวกเราหัวเราะกันจนไส้คลอน..! คำนี้ถ้าแปลเป็นไทยก็คือ "เพื่อนผู้ชาย" แต่ถ้าหากว่าจะเอาตรง ๆ ก็คือ "แฟน" นั่นเอง
ส่วน "กิ๊กเหล่าซือ" ของเรานั้น ไม่ว่าจะความรู้ หรือการพูดการจา รู้สึกเหมือนกำลังฟังพิธีกรชั้นเอกหรือว่านักพูดชั้นยอดกำลังพูดอยู่บนเวที ภาษาและความรู้ลื่นไหลมาก ๆ อาจจะเป็นเพราะว่าทำหน้าที่มานานแล้ว สร้างความเหนื่อยยากในการแปลให้กับ "คุณโบตั๋น" เป็นอย่างยิ่ง..!
"อาตั๋น" ของเรานั้นภาษาไทยไม่แข็งแรง สอนให้พูดว่า "มารดาแม่น้ำเหลือง" ก็กลายเป็น "มาดามแม่น้ำเหลือง" สอนให้พูดว่า "มัมมี่" ก็กลายเป็น "หม่ำมี่" ไม่ทราบว่าหิวจนอยากกินหรืออย่างไร ?! ส่วนอะไรที่โดน "ทำลาย" คุณเธอก็จะใช้คำว่า "ทำร้าย" รวมถึงคำอื่น ๆ อีกมาก พวกเราจึงต้อง "ติว" ภาษาไทยให้ทุกวัน ซึ่งคุณเธอก็รับไปทวนแล้วทวนอีก และขอบคุณกลับมาทุกครั้ง
แถม "อาตั๋น" ของเรายังกลายเป็นองครักษ์ประจำตัวพี่วิไล (นางสาวณัฐรดา ภูมิธเนศ) ซึ่งน่าจะเป็นสูงอายุที่สุดในคณะแล้ว ถึงเวลาเดินช้า เพราะว่าแข้งขาไม่ค่อยดี ก็ได้อาตั๋นของเรานี่แหละที่ช่วยประคับประคองจนกระทั่งถึงจุดหมายปลายทางทุกครั้ง ต้องขอเจริญพรขอบคุณทุกคนเป็นอย่างมาก
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๒๘ มิถุนายน ๒๕๖๘
โฆษณา