Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
เล่าหลังสวน
•
ติดตาม
29 มิ.ย. เวลา 07:59 • การเมือง
จะมีสักกี่คน ที่เป็นนักการเมือง...เพื่อเอาบุญ
“เดี๋ยวนี้ที่เรียกว่า การเมือง ๆ ทั่วทั้งโลกนั้น มันคือระบบเอาเปรียบผู้อื่น นี่กล้าท้าอย่างนี้เลย ระบบการเมืองของประเทศไหนก็ตามใจเถอะ มันคือ ‘วิธีการเอาเปรียบผู้อื่น’ ”
จากธรรมบรรยายเรื่อง ฟ้าสางทางการเมือง ของท่านพุทธทาสเมื่อ 2 เมษายน 2526 มากกว่า 40 ปีผ่านมาแล้ว ผู้เล่าเชื่อว่าความจริงมันยังคงอยู่ในประโยคนั้น
เคยเล่าให้ผู้อ่านฟังว่า ผู้เล่าเติบโตมากับหนังสือ ที่บ้านยากจน ไม่มีเงินไปเที่ยวเล่น ไม่มีโทรทัศน์ให้ดูได้ทั้งวัน หนังสือในห้องสมุดคือเพื่อนและประตูสู่โลกกว้าง หนังสือแนวปรัชญา การเมือง และประวัติศาสตร์ กลายเป็นสิ่งที่ช่วยเปิดตาให้เห็นว่าโลกไม่ได้ยุติธรรมโดยธรรมชาติ...
ปี 2535 ขณะเพิ่งเข้ามหาวิทยาลัยปี 1 มีโอกาสได้ร่วมชุมนุมต่อต้านรัฐบาลที่มาจากการรัฐประหาร ซึ่งนำมาสู่เหตุการณ์พฤษภาทมิฬ วันนั้นเชื่อมั่นในพลังประชาชน เชื่อว่าถ้าคนลุกขึ้นเรียกร้องมากพอ อำนาจที่ไม่ชอบธรรมจะต้องพ่ายแพ้
เวลาผ่านไปถึงปี 2549 รัฐประหารเกิดขึ้นอีกครั้ง คราวนี้มีอายุมากขึ้น มีครอบครัว มีงานที่ต้องรับผิดชอบ แต่แทนที่จะรู้สึก “โตพอที่ควรจะเฉยชา” กลับรู้สึกเจ็บมากกว่าเดิม เพราะเข้าใจมากขึ้นว่าเบื้องหลังของอำนาจนั้นซับซ้อนกว่าที่คิด และประชาชนที่ใฝ่ฝันว่าควรเป็นเจ้าของประเทศที่แท้จริง กลับถูกใช้เป็นเครื่องมือ เป็นเบี้ยบนกระดานในเกมอำนาจของใครบางคน
2557 ผู้เล่ากลับบ้านต่างจังหวัดที่พิจิตรพอดี กำลังนั่งกินข้าวและคุยเรื่องการเมืองอยู่กับคุณพ่อที่ตอนนั้นท่านก็มีตำแหน่งการเมืองท้องถิ่น แล้วก็เกิดตามสิ่งที่คาดคิดไว้คือวงจรกลับมาอีกครั้ง และผ่านไป 8 ปี มีเลือกตั้งใหม่และสิ่งที่ได้ในปัจจุบันคือ กลุ่มเดิม ๆ ที่รักษาระบบเดิมไว้ได้
เมื่อเราย้อนมองดูเหตุการณ์ที่ผ่านมาตลอด 3 ทศวรรษจนถึงปัจจุบัน จะเห็นว่า… สิ่งที่วนกลับมาไม่ใช่แค่ “ตัวละครการเมือง” หรือ “พรรคการเมือง” แต่คือโครงสร้างของระบบ ประชาชนอาจเปลี่ยนรัฐบาลได้ แต่ไม่เคยเปลี่ยน “โครงสร้างอำนาจ” ได้เลย ระบบนั้นยังคงเอื้อให้คนบางกลุ่มได้ประโยชน์จากหยาดเหงื่อแรงงานและความเดือดร้อนของประชาชน
จากการชุมนุมครั้งล่าสุด 28 มิถุนายน 2568 ผู้เล่าตั้งคำถามกับตัวเองอีกครั้ง ทั้งที่ลึก ๆ แล้วมีคำตอบอยู่ในใจว่า..."ทำไมประชาชนยังคงต้องเผชิญกับวังวนแบบนี้ แล้วจะเป็นแบบนี้ไปอีกนานเท่าไหร่?"
อย่าเข้าใจผิด คิดว่าผู้เล่ายอมจำนนต่อระบบและเพิกเฉยหรือต่อต้านการชุมนุมเรียกร้อง ผู้เล่าชื่นชมถึงการแสดงออกที่แสดงพลังบริสุทธิ์ของทุกกลุ่มเคลื่อนไหวว่าเป็นสิ่งสวยงามทางการเมืองเพื่อช่วยกันทักท้วงผู้มีอำนาจ และผู้เล่ายังคงออกไปร่วมกิจกรรมแสดงออกทุกครั้งเมื่อมีโอกาส หากการเรียกร้องนั้นอยู่ในกรอบที่พึงกระทำ
ผู้เล่ายังไม่เลิกหวัง...ว่าประชาธิปไตยที่ประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจที่แท้จริง จะเกิดขึ้นได้ในประเทศนี้
แม้จะเห็นความซ้ำซาก
แม้จะเคยผิดหวังกับทั้งนักการเมือง ม็อบ และรัฐประหาร
แต่ลึก ๆ แล้ว ผู้เล่ายังเชื่อในพลังของประชาชน
เชื่อว่าเมื่อใดที่ประชาชนจำนวนมากพอมองเห็นปัญหาได้ชัด มีสติมากพอ อดทนรอในเวลาที่เหมาะสม การเปลี่ยนแปลงอย่างยั่งยืนจะเกิดขึ้นได้
และอย่างที่กล่าวไว้ในโพสต์ก่อนหน้า สิ่งที่ตั้งปณิธานไว้เสมอในการทำเพื่อประเทศชาติ คือการพัฒนาการศึกษาในชนบท เพราะเชื่อว่า นี่คือรากฐานที่มั่นคง แท้จริงและยั่งยืนที่สุดของการเปลี่ยนแปลง
หากเราอยากออกจากวังวนที่ซ้ำซากนี้ เราต้องเริ่มจากการสร้าง “พลเมืองที่มีวิจารณญาณ รู้สิทธิและหน้าที่ตน” แล้วเกิดสังคมที่ตรวจสอบได้ ซึ่งทั้งหมดนั้นต้องมีจุดเริ่มต้นจากการศึกษา โดยไม่ใช่การศึกษาเพียงเพื่อสอบเข้าแข่งขันหรือทำมาหากินประกอบอาชีพ แต่เพื่อสร้างวิจารณญาณและความกล้าหาญในการใช้ปัญญา...
บันทึก
1
3
1
3
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย