Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
สงคราม story
•
ติดตาม
30 มิ.ย. เวลา 05:28 • ประวัติศาสตร์
เรื่องเล่าจาก ทหารพราน บัณฑิต คำศรีเมือง EP.2 (ตอนจบ)อาวุธคู่กายและเรื่องเหลือเชื่อจากสมรภูมิจริง
สวัสดีครับท่านผู้อ่านทุกท่าน ก่อนที่จะไปอ่านบทความนี้ ผู้เขียนขอให้ทุกท่านโปรดช่วยกดไลก์ กดติดตาม และกดแชร์ เพื่อเป็นกำลังใจให้ผู้เขียนในการทำบทความต่อๆไป
สำหรับท่านใดที่มีเรื่องใดน่าสนใจ ท่านสามารถส่ง inbox ข้อความมาได้ที่ Facebook Supakrit Falcon หากเรื่องใดโดนใจผู้เขียนจะนำเรื่องราวไปศึกษาค้นคว้าหาข้อมูลเพื่อเตรียมการเสนอครั้งต่อไป
บทความนี้จะเป็นตอนจบที่เล่าประสบการณ์จริงของอดีตอาสาสมัครทหารพรานจู่โจม ค่ายปักธงชัย ทหารพรานบัณฑิต คำศรีเมือง ผู้ซึ่งได้ผ่านสมรภูมิรบมากมายในยุคสงครามเย็น
ในบทความที่แล้วผู้เขียนได้นำเสนอ
การรบในสมรภูมิสำคัญต่างๆ วันนี้ผู้เขียนจะมาเล่าสิ่งที่ ทหารพราน บัณฑิต ให้สัมภาษณ์กับอาจารย์หนุ่ม พลตรี ศนิโรจน์ ธรรมยศ นักวิชาการด้านการทหารชื่อดัง นี่เป็นเรื่องจริงจากคนจริงๆไม่อิงนิยาย ขอเชิญกับเรื่องราวต่อไปนี้นะฮะ
ทหารพรานบัณฑิตได้กล่าวถึงการใช้อาวุธคู่กายที่ใช้ในการปฏิบัติภารกิจจริง อีกทั้งท่านยังเล่าถึงความเชื่อเรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ช่วยให้ท่านรอดพ้นจากความตายมาได้หลายต่อหลายครั้งให้อาจารย์หนุ่มและผู้ชมได้รับฟัง
▶️อาวุธประจำกายทหารพราน
ทหารพราน บัณฑิต คำศรีเมือง ได้ให้สัมภาษณ์กับอาจารย์หนุ่มถึงอาวุธหลักที่ใช้ในภารกิจช่วงสงครามเย็น ซึ่งมีทั้งปืนประจำกายและอาวุธสนับสนุน โดยจะมีปรากฎดังนี้
➡️ปืนอาก้า (AK-47)
ในระยะแรกที่เข้าประจำการ ทหารพราน บัณฑิตใช้ปืนอาก้าจีนแดงรุ่นเก่าที่มีลำกล้องยาวและด้ามไม้ แม้ปืนรุ่นนี้จะแม่นยำสูง แต่ความยาวของมันเป็นอุปสรรคอย่างมากในการเข้าปะทะกับข้าศึกในป่าหรือเคลื่อนที่ในพื้นที่ทุรกันดาร ทำให้เกะกะและไม่คล่องตัวในการรบแบบจรยุทธ์
ต่อมาทหารพรานได้รับปืนอาก้าพับฐานซึ่งคล่องตัวกว่ามากเมื่อพับฐานได้ แม้จะมีน้ำหนักค่อนข้างมาก (ประมาณ 5 กิโลกรัมเมื่อบรรจุกระสุนเต็มแม็กกาซีน)
ประสิทธิภาพของปืนอาก้านั้นทหารพรานทุกนายพูดเป็นเสียงเดียวกันว่ามีประสิทธิภาพที่ดีเยี่ยมมาก สามารถดำน้ำได้จริง ลำกล้องไม่แตก และกระสุนไม่เคยขัดลำกล้อง อย่างไรก็ตาม เหล็กของปืนอาก้าจีนแดงอาจขึ้นสนิมภายนอกได้ง่ายเมื่อลุยน้ำลุยโคลน
ต่างจากปืนที่ผลิตจากเช็กโกหรือโซเวียตที่ใช้เหล็กคุณภาพสูงกว่า เมื่อกล่าวถึงอำนาจการทำลายล้างท่านเล่าว่าปืนอาก้าเหนือกว่าปืน M16 อย่างเห็นได้ชัด เพราะมันใช้กระสุนขนาด 7.62 มิลลิเมตร ซึ่งใหญ่กว่ากระสุน 5.56 มิลลิเมตรของ M16 มาก
เมื่อพูดถึงเรื่องกระสุน อาก้าจะมีกระสุน 4 แบบ ได้แก่ กระสุนธรรมดา หัวเจาะเกราะ หัวส่องแสง และ หัวระเบิด โดยเฉพาะหัวระเบิดนี้มีอานุภาพร้ายแรงมาก เมื่อยิงเข้าสู่ร่างกายจะเกิดการระเบิดภายใน สร้างความเสียหายอย่างรุนแรงต่ออวัยวะของข้าศึก ทำให้เกิดบาดแผลถึง 7 รูจากการยิงเพียงนัดเดียว ยิ่งไปกว่านั้นหากทนบาดแผลไม่ไหวอาจถึงขั้นตุยได้
➡️ปืนกลจาน (RPD)
ปืน RPD หรือที่เรียกว่า "ปืนกลจาน" มี กล่องกระสุนแบบกลมบรรจุ 100 นัด
จุดเด่นสำคัญ คือ ไม่ต้องเปลี่ยนลำกล้อง แม้จะยิงติดต่อกันจนร้อนจัด ซึ่งแตกต่างจากปืนกล M60 ของทหารไทยที่ต้องใช้พลยิง 2 นาย และต้องเปลี่ยนลำกล้องเมื่อปืนร้อน สำหรับปืนกลจานสามารถยิงได้คนเดียว โดยเป็นระบบออโต้ทั้งหมดผู้ใช้สามารถควบคุมจำนวนกระสุนที่ยิงออกไปได้ 4, 5, หรือ 10 นัด ขึ้นอยู่กับการกดไกของผู้ใช้
ด้วยน้ำหนักของปืนและกระสุน 100 นัด ทำให้ปืน RPD เหมาะสำหรับทหารที่มีรูปร่างใหญ่ที่จะสามารถใช้งานได้อย่างคล่องแคล่วและมีประสิทธิภาพ ในแต่ละชุดของหน่วยทหารพรานจะมีปืนกลจานประจำชุดละ 1 กระบอก
➡️เครื่องยิงลูกระเบิด M79:
M79 เป็นอาวุธที่ยิงลูกระเบิดขนาดใหญ่ 40 มิลลิเมตร ใช้สำหรับการยิงสนับสนุนในระหว่างการปะทะมันสามารถยิงได้ทั้งแบบวิถีตรงและวิถีโค้ง การยิงวิถีโค้งจะใช้การกะระยะจากเสียงปืนของฝ่ายตรงข้าม เพื่อให้ลูกระเบิดโค้งตกลงไปในตำแหน่งของศัตรู
ทหารพรานบัณฑิตกล่าวว่าในอดีต M79 เคยถูกใช้ยิงทำลายรถถัง ร่วมกับปืน RPG และ M72 แต่ในยุคของทหารพรานบัณฑิตได้นำมาใช้ยิงคน และต่อมาใช้ยิงหอคอยในการรบที่พื้นที่ภาคใต้
อย่างไรก็ตาม M79 ถูกเลิกใช้ในกองร้อยทหารพรานบางส่วน เนื่องจากมีปัญหาเรื่องโควตากระสุนที่หมดลง และเป็นสัมภาระที่หนักเกินไป สำหรับทหารพรานที่ต้องเคลื่อนที่แบบจรยุทธ์
➡️ระเบิดมือ
ทหารพรานบัณฑิตจะใช้ระเบิด M26 เป็นหลักนอกจากนี้ยังมีการใช้ระเบิดสากของจีนแดง ซึ่งมีทั้งแบบด้ามไม้และด้ามเหล็ก ระเบิดเหล่านี้มักได้มาจากการแลกเปลี่ยนกับเขมรแดง
สำหรับระเบิดสากมีวิธีการใช้งานโดยหมุนท้ายออกเพื่อดึงห่วงสำหรับใส่นิ้วก้อยแล้วขว้างไป เมื่อสายเชือกที่ติดกับระเบิดตึงขาด ระเบิดก็จะทำงานทันที
ท่านกล่าวถึงประสิทธิภาพของ M26 ว่ามันรุนแรงกว่าระเบิดสากมาก แถมยังสามารถนำไปดัดแปลงเป็นระเบิดแสวงเครื่องเพื่อดักฝ่ายตรงข้ามให้ถึงขั้นตุยได้
▶️สิ่งศักดิ์สิทธิ์ในสนามรบ
นอกเหนือจากอาวุธแล้ว ทหารพราน บัณฑิตยังเล่าถึงความเชื่ออันแน่วแน่เกี่ยวกับเรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คอยปกป้องคุ้มครองในสนามรบ ซึ่งมาจากประสบการณ์ตรงของท่านเอง เรื่องนี้ควรโปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน เพราะเป็นความเชื่อส่วนบุคคลนะครับ
ชีวิตท่านรอดตายได้อย่างปาฏิหาริย์มาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์ที่ท่านเคย เหยียบกับระเบิดแต่แก๊สไม่ทำงาน ทำให้รอดมาได้อย่างหวุดหวิด ต่อมาเกิดเหตุเฮลิคอปเตอร์ที่โดยสารเกือบจะตก โชคดีที่ไม่มีใครตุยยกเครื่อง แต่ก็รอดมาได้อย่างหวุดหวิด ต่อมาไปรบที่ฐานตาตูม เคยถูกยิงด้วยปืนอาก้าในระยะเผาขนเพียง 2-3 เมตร โดยถูกยิงถึง 2 แม็กกาซีน (ประมาณ 60 นัด) แต่ไม่โดนแม้แต่นัดเดียว ซึ่งตามหลักแล้วแทบจะเป็นไปไม่ได้ที่จะรอด ท่านเชื่อว่าเหตุการณ์หวิดตุยนี้อาจเป็นไปได้จากการมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือมีเทวดาคุ้มครองท่าน
สิ่งที่คุ้มครองให้ท่านรอดพ้นมาได้คือ
พระเครื่องและวัตถุมงคล ท่านเชื่อมั่นในการคุ้มครองจากพระเครื่องและวัตถุมงคลที่ห้อยติดตัวไปในสนามรบจำนวนมาก จากครูบาอาจารย์ชื่อดังหลายรูป อาทิ พระอาจารย์มั่น พระอาจารย์ฝั้น หลวงพ่อคูณ หลวงพ่ออุตตมะ หลวงพ่อเกษม ท่านเชื่อว่าสิ่งเหล่านี้ช่วยผ่อนหนักให้กลายเป็นเบา ในขณะที่ไปรบ
ขณะไปทำสมรภูมิในป่าเขา ทหารพราน บัณฑิตจะตั้งจิตอธิษฐานขอพรจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในป่าดงพงไพร เช่น พระแม่ธรณี เจ้าที่เจ้าทาง เจ้าป่าเจ้าเขา เพื่อขอให้คุ้มครองทหารไทยทุกนายที่มาเพื่อปกป้องอธิปไตย แล้วยังกล่าวเพิ่มเติมว่าการรบครั้งนี้ไม่ได้มาเพื่อเข่นฆ่าใคร เป็นการรบเพื่อรักษาแผ่นดินไทยให้มั่นคง มีที่ยืนแก่คนรุ่นหลังๆ ท่านเชื่อว่าคนเราจะไม่ตุยหากยังไม่ถึงที่ หรือยังไม่ถึงวาระ แม้จะผ่านสมรภูมิอันตรายมามากมายหลายครั้งก็ตามสุดท้ายเราก็ผ่านมาได้ด้วยความสามารถที่ฝึกมา
จริงๆท่านสามารถใช้วิชาคาถาอาคมได้ แต่อย่างไรก็ตามท่านยังคงเชื่อมั่นในคุณงามความดีและความเสียสละที่ท่านได้ทำไว้เพื่อปกป้องชาติ ศาสนา และสถาบันกษัตริย์ นี่เป็นสิ่งที่อมตะยิ่งกว่าเครื่องรางของขลังใดในโลก และเป็นสิ่งที่ทหารไทยควรพึงระลึกไว้
นอกจากอาวุธเเล้วสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็มีความสำคัญอย่างยิ่งในการช่วยให้ทหารหาญแคล้วคลาด หารู้ไม่ว่าสิ่งที่จะทำให้เราอยู่ยั่งยืนยาวไม่ต่างจากเครื่องรางของขลัง นั่นคือการทำความดีนี่เอง การทำความดีไม่ว่าจะเล็กน้อยหรือยิ่งใหญ่ สุดท้ายก็ได้ชื่อว่าเป็นผู้ทำคุณประโยชน์ให้แผ่นดิน
แม้ท่านผู้อ่านจะไม่ได้จับอาวุธทำเพื่อประเทศชาติ แต่ยังสามารถทำเพื่อประเทศชาติด้วยการช่วยสังคม เช่น พาคนตาบอดข้ามถนน แบ่งเงินส่วนเกินให้คนจนได้ใช้ บริจาคเงินช่วยเหลือในโอกาสเกิดภัยพิบัติ เป็นกระบอกเสียงเชิญชวนให้คนเข้าวัดทำบุญ ฯลฯ นี่คือคุณงามความที่ท่านผู้อ่านสามารถทำได้ ทำดีเสียเถิดดีกว่าไม่มีอะไรทำ สำหรับวันนี้ผู้เขียนขอลาไปก่อน สวัสดีครับ
Credit บทความและภาพประกอบ
ทหารพรานบัณฑิต คำศรีเมือง
อาจารย์หนุ่ม พลตรี ศนิโรจน์ ธรรมยศ
กรมทหารพรานที่ 32 สุภาพบุรุษชุดดำ
Korakot Ketkaew
สถาบันวิชาการป้องกันประเทศ
เรียบเรียงบทความ : จ่าหวาน เกรียงไกร
บันทึก
1
1
1
1
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย