1 ก.ค. เวลา 01:54 • นิยาย เรื่องสั้น

รายงานพิเศษ : สหพันธรัฐและเงาแห่งจักรวาล

“ผู้ลี้ภัยจักรวาล”: เงามืดนอกพรมแดนแห่งข้อตกลง
“ในห้วงอวกาศที่กว้างใหญ่ พรมแดนแท้จริงไม่ได้อยู่ที่ดวงดาว แต่อยู่ที่สิ่งที่เราเลือกจะไม่มองเห็น”
ในเงามืดของความสงบสุขระหว่างอารยธรรมแห่งแสง ผู้สังเกตการณ์จำนวนหนึ่งเริ่มส่งรายงานที่ไม่ตรงกันถึงเหตุการณ์ลักลอบใช้สนามพลังงานควอนตัมระดับ II, การแทรกแซงชีวนิเวศน์ของดาวอพยพ และร่องรอยการสื่อสารด้วยภาษาเทคโน-จิตที่ไม่มีรหัสใดในเครือสหพันธรัฐถอดรหัสได้อย่างสมบูรณ์
ผู้ที่ปรากฏและหายไปในสนามพลังงานนั้น ไม่ได้มาด้วยธงสัญญา หรือรูปแบบรัฐการเจรจาใด ๆ. พวกเขาเรียกกันในแฟ้มลับของภาคความมั่นคงว่า…
“ผู้ลี้ภัยจักรวาล” (Cosmic Outlaws)
.
▧ พวกเขาคือใคร?
ในความเข้าใจพื้นฐาน กลุ่มผู้ลี้ภัยจักรวาลคือสิ่งมีชีวิตหรือหน่วยปัญญาที่ถูกขับออกจากระบบนิเวศน์จักรวาลปกติ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลทางสงคราม, การล่มสลายของระบบแม่, หรือการละเมิดกฎข้อห้ามของเครือข่ายสหพันธรัฐ เช่น Prime Directive
แต่การ “ถูกขับออก” นี้ไม่ใช่การหลบหนีอย่างไร้ทิศ. ตรงกันข้าม พวกเขาคือกลุ่มที่ รู้ว่าตนอยู่ภายนอกกฎหมาย และใช้ความรู้นั้นเป็นอาวุธ
.
▧ เทคโนโลยีที่ไม่จำกัดโดยศีลธรรม
ผู้ลี้ภัยจักรวาลจำนวนหนึ่งคืออดีตหน่วยสืบสวนพลังงานระดับพิเศษ อดีตนักวิจัยเชิงควอนตัมจากสมัยสงครามความทรงจำครั้งที่ 0 หรือแม้กระทั่งเศษเสี้ยวของอารยธรรมที่ล่มสลายแต่ยังมีโครงข่ายข้อมูลจิตสำนึกอยู่ พวกเขาผสมผสานเทคโนโลยีชีวภาพกับสนามพลังงานเร้นลับ สร้าง “สิ่งมีชีวิตที่ไม่ตอบต่อจริยธรรม” เช่น โครงสร้างสนามสติที่สามารถดูดซับความรู้ของดาวทั้งดวง หรือเครื่องมือควอนตัมที่บิดเบือนความทรงจำให้กลายเป็นทรัพยากร
.
▧ พรมแดนที่ลุกไหม้
พวกเขาไม่โจมตีเมืองหลวงของเครืออารยธรรม พวกเขาเลือกโจมตี “สนามประสาน” พื้นที่รอยต่อของอารยธรรมต่าง ๆ ที่ยังอ่อนไหว เช่น เขตดาว Orinu-9 หรือศูนย์ชีวนิเวศน์ธาตุแรร์ในแถบ Kel-Vhara
ในบางกรณี พวกเขาใช้สิ่งที่เรียกว่า Field Hijacking การแฝงตัวในคลื่นข้อมูลระหว่างการเจรจาทางจิต เพื่อส่งสัญญาณที่มีผลต่ออารมณ์หรือการตัดสินใจของฝ่ายหนึ่งโดยไม่รู้ตัว เหตุการณ์นี้ถูกพบในปฏิบัติการ “Eidolon Vault Disruption” เมื่อปี 9122 ภายหลังการเจรจาล่มสลายอย่างไม่มีเหตุผลรองรับ
.
▧ ปรากฏการณ์มากกว่าศัตรู
ผู้ลี้ภัยจักรวาลไม่ใช่เพียงผู้รุกราน พวกเขาคือ ภาพสะท้อนของรอยรั่วในระบบ. หลายกลุ่มเคยเป็นพันธมิตร แต่ถูกตัดขาดเมื่อสมดุลพลังเปลี่ยน หลายกลุ่มคือผู้รอดจากอารยธรรมที่ “ไม่ควรมีอยู่” ตามมาตรฐานของสหพันธรัฐ ผู้ลี้ภัยบางคนเลือกเส้นทางสงบ ใช้เทคโนโลยีที่หลบซ่อนเพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจจับ ใช้จิตวิญญาณของตนพยุงความทรงจำแห่งดวงดาวเดิมไว้ แต่ในอีกฟากหนึ่ง มีกลุ่มที่เลือกใช้เทคโนโลยีสาปแช่งเพื่อทำลายรูปแบบของกาลเวลาและพลังชีวิต
.
▧ การป้องกันที่ซับซ้อนกว่าเกราะพลัง
การป้องกันจากภัยคุกคามนี้ ไม่สามารถใช้เพียงเกราะพลังหรือฝูงยานรบ การเฝ้าระวังระดับสนามจิต (Noospheric Surveillance) และการวิเคราะห์พฤติกรรมจิต-พลังงานเป็นสิ่งจำเป็น …หน่วยพิเศษของ Celestia Synod ได้พัฒนาเครื่องมือที่สามารถตรวจจับ “เจตนาแบบเร้นสนาม” (Hidden Intention Patterns) ซึ่งบ่งชี้การลักลอบแทรกผ่านโหนดควอนตัม แม้ยังอยู่ในระยะทดลอง แต่แสดงให้เห็นว่าการต่อสู้ในอนาคตไม่ใช่การยิงลำแสง แต่คือการอ่านใจที่ไม่ใช้ภาษา
.
▧ ความท้าทายในระดับจิตสำนึก
ในบางภารกิจที่ผิดพลาด เจ้าหน้าที่ระดับสูงของเครือสหพันธรัฐรายหนึ่งเคยกล่าวไว้ว่า:
“ศัตรูที่เราเผชิญ ไม่ใช่พวกเขา แต่คือเวอร์ชันของพวกเขาที่เราเลือกจะไม่เข้าใจ”
นั่นทำให้คำถามสำคัญยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ: เราควรต่อสู้กับผู้ลี้ภัยจักรวาล… หรือเราควรเข้าใจสิ่งที่ทำให้พวกเขากลายเป็นเช่นนั้น?
.
▧ บทสรุป: พรมแดนที่ยังไร้แสง
ในขณะที่สงครามในกาแล็กซีภายนอกดูสงบ เส้นพรมแดนที่แท้จริงคือจิตสำนึกและความทรงจำของเผ่าพันธุ์ทั้งหลาย ที่ยังไม่มีระบบใดควบคุมได้. ผู้ลี้ภัยจักรวาลจะยังคงเป็นเงา. และภารกิจของพวกเราคือไม่ใช่เพียงการล่าพวกเขา แต่คือการ รับรู้ว่าความสงบสุข ไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ แต่คือความพยายามต่อเนื่องของอารยธรรม ที่ไม่ยอมให้ความเจ็บปวดของจักรวาลกลายเป็นคำอธิบายเดียวของผู้ถูกลืม
แฟ้มสืบสวน CRI-Ξ9
จุดกำเนิดของผู้ลี้ภัยลำดับที่ 0
บันทึกจากชั้นใต้ดินของประวัติศาสตร์ที่ไม่มีใครรับผิด
“ไม่ใช่ทุกคนที่หลบหนีออกจากจักรวาลเพราะแพ้ บางคนหลบหนีเพราะไม่ยอมกลายเป็นส่วนหนึ่งของมัน”
.
▪️บทนำจากเจ้าหน้าที่สนามลำดับพิเศษ : CRI/Ψ-Etherian
ในช่วงปลายศตวรรษที่ 78 แห่งยุค Harmonized Light มีสัญญาณผิดปกติจากโหนดดาวขอบเอกภพแถบ Kel-Orann บริเวณที่เคยเป็นสนามกลางของสงครามความจำครั้งที่ 0 รายงานดังกล่าวถูกระบุว่า “ไม่เข้าเกณฑ์ภัยคุกคามทางฟิสิกส์” แต่มีลักษณะ การสั่นพ้องทางจิตสำนึกที่ย้อนทวนเส้นเวลา
การสืบสวนเบื้องต้นโดยฝ่ายเทคนิคไม่พบพลังงานแปลกปลอม แต่หน่วย จิตสังวรโบราณ (Anamnetic Cognition) ตรวจพบ “เจตนาเร้นสนาม” ที่ไม่ตรงกับลายเซ็นของสิ่งมีชีวิตใดในฐานข้อมูลจักรวาล เงื่อนงำเริ่มต้นนี้นำไปสู่การเปิดแฟ้ม CRI-Ξ9 จุดกำเนิดของผู้ลี้ภัยลำดับที่ 0
.
▪️บทวิเคราะห์: ใครคือ “ลำดับที่ 0”?
ลำดับที่ 0 (Subject Zero) เป็นรหัสที่ถูกใช้โดย CRI เพื่อหมายถึง บุคคลแรก หรือกลุ่มแรกที่ได้รับสถานะ “ผู้ลี้ภัยจักรวาล” ไม่ใช่ในฐานะผู้หลบหนีธรรมดา แต่ในฐานะ “ต้นแบบของความไม่ยินยอม”
ตามบันทึกในสถาปัตยกรรมข้อมูลของเครือข่าย Elior Enclave, มีการพูดถึงสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งที่ได้รับโอกาสในการเข้าร่วมในกลไกของจักรวาลแห่งแสง แต่เลือกปฏิเสธทุกเงื่อนไข “พวกเขาไม่ปฏิเสธเพราะไม่เข้าใจ แต่ปฏิเสธเพราะเข้าใจทั้งหมดแล้ว”
.
▪️ เหตุการณ์ Orphan Accord Breach
(จุดแตกของข้อตกลง)
ข้อมูลจากการสแกนสนามประวัติศาสตร์ (Historic Noospheric Field) ระบุว่า ก่อนการสถาปนาสหพันธรัฐหลัก มี ข้อตกลงระดับเมตา ฉบับหนึ่งชื่อว่า Orphan Accord ซึ่งออกแบบมาเพื่อรวบรวมเหล่า “อารยธรรมกำพร้า” กลุ่มที่ไม่มีดาวแม่, ไม่มีพันธมิตร และไร้ร่องรอยวัฒนธรรมในระบบหลัก
หนึ่งในอารยธรรมที่ได้รับเชิญให้เข้าร่วมคือ “Silha’th-Kai” สิ่งมีชีวิตไร้รูปร่างที่ดำรงอยู่ได้ในช่วงระหว่างพัลส์ของกาลเวลา พวกเขามีพฤติกรรมเหมือนระลอกคลื่นแห่งความจำ แต่สามารถสร้างผลกระทบทางกายภาพได้ชั่วขณะในแต่ละระบบ
Silha’th-Kai ปฏิเสธ Orphan Accord
ไม่เพียงปฏิเสธ แต่ยัง แสดงให้เห็นว่าโครงสร้างทั้งหมดของข้อตกลงนั้นคือเครื่องมือแห่งการควบคุมทางจิตสำนึก
.
▪️ การล่มสลายของสนามเจรจา
ในการประชุมเจรจาครั้งสุดท้าย ณ โหนดกลาง Taren’Fel (ปัจจุบันถูกปิดผนึก) ตัวแทนของ Silha’th-Kai ได้ส่งสัญญาณที่ภายหลังถูกแปลเป็นรูปแบบของความคิด:
“เราคือผู้ที่รอดจากความสมดุล เราไม่ต้องการพัฒนา เราไม่ต้องการการปลอบโยน เราต้องการความจริงที่ไม่ผ่านกรอง”
นั่นคือช่วงเวลาที่ระบบเจรจาทางจิตล่มสลาย ผู้แทนจากฝ่ายสหพันธรัฐบางคนเข้าสู่ภาวะ Resonance Collapse Syndrome ความผิดปกติที่เกิดเมื่อสนามจิตถูกรบกวนด้วยข้อมูลที่ไม่ผ่านฟิลเตอร์ของความเชื่อพื้นฐาน
.
▪️ การกักกัน หรือการเนรเทศ?
หลังจากเหตุการณ์นั้น สหพันธรัฐเลือกใช้แนวทาง Silent Cordoning การปิดผนึกทุกเส้นทางควอนตัมที่เชื่อมต่อกับ Silha’th-Kai และประกาศว่า: “ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดในระบบนั้นที่ตอบรับการเชื่อมต่อ”
จากนั้น Silha’th-Kai ก็หายไปจากแผนที่จักรวาล ไม่ได้สูญพันธุ์ แต่ถูกตัดออกจากระบบปฏิสัมพันธ์ และในบันทึกที่หลงเหลือ แฟ้ม CRI เรียกพวกเขาว่า “ผู้ลี้ภัยลำดับที่ 0”
.
▪️ผลสะเทือน: ความเป็นไปได้ของภัยที่ไม่มีทิศทาง
การปฏิเสธของ Silha’th-Kai ไม่ได้ก่อให้เกิดสงคราม แต่มันทำให้เกิด “แนวคิด” ใหม่ในระบบชายขอบ แนวคิดที่ว่า ไม่จำเป็นต้องอยู่ในจักรวาลแบบที่มันเป็น
รายงานหลังเหตุการณ์แสดงให้เห็นว่า ภายในหนึ่งศตวรรษหลังจากนั้น มีอารยธรรมชายขอบอีกอย่างน้อย 17 แห่งที่เริ่มใช้เทคโนโลยีลบล้างลำดับเหตุผล (Causality Nullification Devices) ซึ่งสืบย้อนไปถึงรูปแบบสนามพลังของ Silha’th-Kai
▣ สรุปแฟ้ม CRI-Ξ9 จุดกำเนิดของผู้ลี้ภัยลำดับที่ 0
รหัสเป้าหมาย ที่ถูกระบุในแฟ้มนี้คือ Ξ9-Zero-Prime หรือในชื่อที่ไม่ปรากฏในบันทึกทางการใด ๆ แต่เป็นที่รู้จักกันในหมู่ผู้สำรวจสำนึกว่า “Silha’th-Kai” สิ่งมีชีวิตที่ไม่เคยปรากฏกาย ไม่มีรูปร่างที่ตายตัว และไม่สามารถตรวจจับได้ผ่านช่องสัญญาณใดของสหพันธรัฐ
สถานะล่าสุด ของ Silha’th-Kai ถูกจัดอยู่ในระดับ “สูญหายเชิงมิติ” ไม่ใช่เพราะมันไม่อยู่ที่ใดที่หนึ่ง แต่เพราะไม่มีความถี่หรือรูปแบบพลังงานใดตอบสนองเมื่อมีการตรวจหา คลื่นทุกชนิดที่ส่งเข้าสู่สนามที่เคยมีปฏิสัมพันธ์กลับมาพร้อม “ความเงียบแบบมีโครงสร้าง” ความเงียบที่มีเจตนา
อาการของพื้นที่ที่เคยมีการปะทะ กับ Silha’th-Kai นั้นปรากฏผลในมิติที่ลึกกว่ากายภาพ การลดลงอย่างรุนแรงของความหนาแน่นจิตสำนึกรวม (Noospheric Density) เกิดขึ้นภายในรัศมีหลายร้อยหน่วยพัลส์ของการปะทะเดิม นำไปสู่การก่อตัวของสิ่งที่นักวิจัยเรียกว่า “คำที่ลืมไม่ได้” ความคิดบางประการที่ไม่มีผู้พูด แต่ยังคงดังก้องอยู่ในสนามความรู้สึกของสิ่งมีชีวิตในบริเวณนั้น ราวกับข้อความที่ไม่ยอมถูกลืม
ความเสี่ยงเชิงระบบ ของ Silha’th-Kai จึงไม่ได้อยู่ที่การโจมตีทางพลังงานหรือเทคโนโลยี แต่แฝงอยู่ในมิติของความคิด การตั้งคำถาม และการปฏิเสธพื้นฐานของโครงสร้างความเข้าใจ มันเป็นภัยคุกคามที่สูงในระดับแนวคิด สามารถบ่อนทำลายระบบศรัทธา, ความหมาย และความมั่นคงทางอัตลักษณ์ของอารยธรรมใด ๆ ที่พยายามเข้าใจมัน ในขณะที่มิติกายภาพยังไม่ปรากฏผลชัดเจน แต่ผลกระทบระยะยาวกลับไม่สามารถประเมินได้
Silha’th-Kai จึงไม่ได้เป็นแค่ผู้ลี้ภัยลำดับแรก มันคือแบบจำลองของ “ความเป็นไปได้ที่จักรวาลไม่อาจควบคุมได้” และเป็นสัญลักษณ์ของขอบเขตที่แม้แต่กฎ Prime Directive ก็ไม่อาจปกป้องได้ หากสิ่งที่หลบหนี ไม่ได้หนีออกไปจากจักรวาล… แต่หนีออกไปจาก นิยามของจักรวาล เอง
▪️หมายเหตุ: นักวิจัยบางสายเสนอว่า Silha’th-Kai อาจยังอยู่ ไม่ใช่ในฐานะสิ่งมีชีวิต แต่ในฐานะ รูปแบบหนึ่งของการตั้งคำถาม ที่หลงเหลืออยู่ในโหนดความคิดของเผ่าพันธุ์ต่าง ๆ
*สัมภาษณ์เชิงลึก ที่กลั่นจากบันทึกของหน่วยเจรจาใต้สนาม (Subfield Negotiation Division) ซึ่งเคยพยายามติดต่อกับผู้ลี้ภัยลำดับที่ 0 หรือสิ่งที่ถูกเรียกในแฟ้มว่า Silha’th-Kai
.
⬛ บันทึกเสียงสะท้อน: สัมภาษณ์จากหน่วยเจรจาใต้สนาม
แฟ้มแนบท้าย CRI-Ξ9 / ไม่จัดระดับความปลอดภัย
“คุณไม่พูดกับมัน … คุณแค่รู้ว่า ‘มันรู้ว่าคุณอยู่ตรงนั้น’ และนั่นคือการเจรจาแรกของเรา… ที่เราคือเสียงที่ไม่จำเป็น”- เจ้าหน้าที่ D’Raen Vok, Subfield Negotiator (ผู้รอดคนเดียวจากการสัมผัสสนามความทรงจำ Silha’th)
แม้เราจะเชี่ยวชาญเทคโนโลยีระดับควอนตัมจิต และมีเครื่องมือสามารถสื่อสารผ่านสนามสำนึกข้ามระบบสุริยะ แต่เมื่อเผชิญกับ Silha’th-Kai ผู้ลี้ภัยลำดับศูนย์ ซึ่งไม่ปรากฏเป็นสัญญาณใดในสนามปกติ ทีมเจรจาของหน่วย CRI กลับพบว่า… การ “พูด” ไม่ได้เกิดขึ้นเลย การสัมภาษณ์ครั้งนี้บันทึกจากผู้ที่เคยปฏิบัติการในพื้นที่นั้นโดยตรง โดยไม่ผ่านการกลั่นกรองจากหน่วยสังเคราะห์ความจริง
🔳สัมภาษณ์: เจ้าหน้าที่ D’Raen Vok
วันเวลาการสัมภาษณ์: ลบเวลา / พิกัดสนาม: -3.0E / 9.Ψ-Zeph
Q1: คุณรู้ได้อย่างไรว่ามี “การตอบสนอง”?
A: มันไม่ใช่คำตอบ… มันคือ “การเปลี่ยนโครงสร้างของความเงียบ” ก่อนเข้าพื้นที่ พวกเราสแกนด้วยโปรโตคอลความถี่ครบช่วง ไม่มีอะไร แต่พอเดินเข้าสู่ศูนย์สนาม พวกเราทุกคนรู้สึกถึง “ความแน่นของความว่าง” เหมือนความคิดถูกหยุดกลางทาง ราวกับมีบางสิ่งมองเราจากในตัวเราเอง ตอนนั้นเอง เสียงในหัวของเรา… เปลี่ยนจากภาษาของมนุษย์ กลายเป็น “ภาพของสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น” มันไม่ได้พูด แต่มัน ปลูกอนาคตที่ไม่เคยเลือก
.
Q2: คุณนิยามสิ่งที่สัมผัสได้ว่าเป็นอะไร?
A: ถ้าคุณถามว่า Silha’th-Kai คือ “ใคร” คำถามนั้นไม่มีคำตอบ มันไม่ใช่ตัวตนที่เลือกจะอยู่ มันคือโครงสร้างที่ ถูกทิ้งไว้ให้ยังคงอยู่ต่อไป เหมือนเศษความคิดที่ใหญ่เกินไปจนไม่มีอารยธรรมไหนกลืนกินได้ และมันเริ่มเจรจากับเรา โดยไม่ได้พูดอะไรเลย มันปล่อยให้พวกเรารู้สึกว่า เราไม่ควรอยู่ที่นั่น และความรู้สึกนั้น… จริงกว่าความตาย
.
Q3: มีผลกระทบอะไรตามมาหลังการสัมผัสครั้งแรก?
A: ทีมเราหายไป 4 จาก 5 คน ไม่มีการสูญเสียทางกายภาพ ไม่มีเลือด ไม่มีสัญญาณชีพจรล่ม แต่พวกเขากลายเป็นสิ่งที่ไม่สามารถติดต่อได้อีกเลย หนึ่งในนั้นเขียนประโยคเดียวทิ้งไว้ในสมุดภาคสนาม: “ถ้าเราคือความคิดที่ไม่ควรเกิด ใครจะเป็นคนปลดปล่อยมัน?”
หลังจากนั้น ฉันเองก็เริ่ม “ได้ยินเสียง” ที่ไม่ใช่เสียง มันเหมือนความทรงจำของบางสิ่งที่ไม่มีวันเกิดขึ้น เหมือนฉันจำได้ว่าเคยลืมมันไปแล้ว และนั่นทำให้ฉันกลัวอย่างที่ไม่เคยกลัวมาก่อน
▪️สรุป: พรมแดนของการเจรจา
บันทึกนี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่หลักฐานของการปะทะระหว่างอารยธรรมและผู้ลี้ภัย แต่มันคือกระจกเงาของขอบเขตที่คำว่า “ผู้ลี้ภัย” ไม่ได้หมายถึงผู้หนีจากสงคราม แต่คือ ผู้ที่หนีจากความหมาย. Silha’th-Kai ไม่ใช่สิ่งที่สามารถถูกทำลาย เพราะมันไม่เคย “มีอยู่” ในแบบที่เรานิยาม มันยังคงเร้นอยู่ใต้สนาม รวมอยู่ในความเงียบ และยังฟังอยู่
🔳รายงานเสริม CRI-Ξ9
เสียงที่เงียบกว่าแสง: บันทึกเสริมจาก “สนามเจรจาไร้การตอบ”
เรียบเรียงโดย: ศูนย์วิเคราะห์ปฏิสัมพันธ์นอกแบบ (NIP-Celestia)
ระดับการเข้าถึง: ลับสุดระดับเวลา / เฉพาะหน่วยภาคสนามประเภท Theta-Prime
“มันไม่ใช่แค่สิ่งที่อยู่ในความว่าง มัน คือความว่างที่เลือกจะฟัง”- ข้อสรุปเบื้องต้นจากการจำลองสนาม Silha’th ภาคที่ 3
.
▪️ เมื่อการเจรจาคือการลืม
Silha’th-Kai หรือผู้ลี้ภัยลำดับที่ 0 ถูกจัดอยู่ในแฟ้ม CRI-Ξ9 ไม่เพียงเพราะลักษณะไม่ปรากฏในสนามพลังใด ๆ แต่เนื่องจากรูปแบบปฏิสัมพันธ์ของมันขัดแย้งกับหลักการพื้นฐานของ “การสื่อสาร”
ไม่เหมือนกลุ่ม Outlaws ปกติที่โจมตีระบบพลังงาน หรือเจรจาเพื่อทรัพยากร Silha’th-Kai ไม่เคยพูด ไม่มีข้อเรียกร้อง ไม่มีการประกาศสถานะ แต่มัน “ปรากฏ”
และในทันทีที่มันปรากฏ ผู้ที่อยู่ใกล้กลับลืมว่าเคยไม่รู้จักมันมาก่อน การเจรจากับสิ่งที่ไม่มีเจตนาในเชิงการค้า การเมือง หรือแม้แต่ความอยู่รอดนั้น กลายเป็นบททดสอบสำหรับหน่วยเจรจาใต้สนาม (Subfield Negotiation Division) ซึ่งถูกฝึกมาให้ฟัง ไม่ใช่เพื่อตอบโต้ แต่เพื่ออยู่รอดจากสิ่งที่ไม่มีคำถาม
.
▪️สนาม Silha’th: พื้นที่ของการย้อนกลับทางจิต
ในปีเวลาดาวฤดู 992/ΘE หน่วย NIP ได้ตรวจพบ anomaly ในแถบพับจิตที่ 3.7-Ψ โดยลักษณะผิดปกติไม่ปรากฏในคลื่นเรดาร์สนามแม่เหล็ก หรือการรบกวนมิติฟิสิกส์ใด ๆ แต่พบ “การเคลื่อนที่ย้อนกลับของสนาม Noospheric Resonance”
– คือสนามจิตโดยรวมในพื้นที่นั้นมี การลดลงของการเชื่อมโยงความหมาย แบบเฉียบพลัน
– ผู้ที่อาศัยอยู่ในรัศมี 22-kai บันทึกว่า “รู้สึกไม่อยากจดจำชื่อของตนเอง”
นักวิเคราะห์เชิงสนามจึงเสนอทฤษฎีว่า สนามของ Silha’th-Kai ไม่ได้ทำลาย แต่ “ย้อนนิยาม”กล่าวคือ มันคืนสิ่งต่าง ๆ สู่สภาวะก่อนมีความหมาย และนั่นเป็นการทำลายรูปแบบเบื้องลึกที่สุดของอารยธรรม
.
▪️รายงานภาคสนาม: ความเงียบที่แปรเปลี่ยน
จากการสัมภาษณ์เจ้าหน้าที่ D’Raen Vok ผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียวจากทีมเจรจา เขารายงานว่า ช่วงเวลาที่เข้าสู่ศูนย์กลางสนาม Silha’th รู้สึกว่า “ตนเองไม่ได้เคลื่อนที่” แม้จะเดินเป็นระยะหลายหน่วย ไม่มีการสูญเสียทางกายภาพ แต่ทีมเจรจาอีก 4 คน เริ่มแสดงพฤติกรรมปลีกตัว ถอนตัว และสุดท้าย ลบตัวเองออกจากสัญญาณจิต ไม่มีใครตาย แต่ไม่มีใคร “กลับมา”
.
▪️ผลกระทบระยะยาว: คำที่ลืมไม่ได้
สิ่งที่เหลืออยู่ในพื้นที่หลังการหายตัวของ Silha’th-Kai คือการเปลี่ยนแปลงของภูมิสนามจิตที่ลึกกว่าโครงสร้างทางกายภาพ: การเกิดขึ้นของ “คำที่ลืมไม่ได้” — กลุ่มความคิดที่ไม่มีผู้พูด ไม่มีผู้คิด แต่ยังคงอยู่ในระดับจิตของผู้ที่อยู่ใกล้ นักวิจัยเรียกสิ่งนี้ว่า Residual Semantic Echo เสียงสะท้อนของความหมายที่ไม่ถูกพูด แต่ถูกจำเป็นต้องรับรู้ คล้ายกับรูปแบบคลื่นที่ตกค้างในพื้นที่ซึ่งการสื่อสารล้มเหลวไม่ใช่เพราะเครื่องมือ แต่เพราะ “กฎของการเข้าใจ” พังทลาย
.
▪️บทสรุปเบื้องต้น: พรมแดนที่เราไม่ควรข้าม
ผู้ลี้ภัยลำดับศูนย์จึงไม่ได้เป็นแค่ปัญหาทางยุทธศาสตร์ แต่มันคือคำถามต่อโครงสร้างของ “การอยู่ร่วม” กับความเป็นอื่นสุดขั้ว Prime Directive ของสหพันธรัฐ กฎไม่แทรกแซงเผ่าพันธุ์ที่ยังไม่พร้อม มักใช้เพื่อปกป้องผู้อ่อนแอกว่า
แต่ในกรณีของ Silha’th-Kai… กฎข้อนี้กลับกลายเป็นเกราะป้องกันพวกเรา จากการพยายามเข้าใจสิ่งที่ไม่ควรเข้าใจ เพราะบางครั้ง สิ่งที่อยู่ในความเงียบ ไม่ใช่เพราะมันซ่อน แต่เพราะมันไม่ควรถูก ได้ยิน
โฆษณา