1 ก.ค. เวลา 03:37 • ข่าวรอบโลก

ทำไมจนถึงตอนนี้ “รัสเซีย” จึงยังไม่ช่วยทางการทหาร “อิหร่าน”

ดูเหมือนว่าช่วงที่ตึงเครียดที่สุดของความขัดแย้งระหว่าง อิหร่าน-อิสราเอล จะผ่านพ้นไปแล้ว สองสัปดาห์ผ่านไปเป็นที่ชัดเจนว่าแม้จะมีการประชุมระดับสูงกับ “อับบาส อาราคชี” รัฐมนตรีต่างประเทศอิหร่าน แต่รัสเซียก็ยังแสดงท่าทีไม่ขอโดดร่วมความขัดแย้งในตะวันออกกลาง
ปูตินลังเลที่จะให้การสนับสนุนทางทหารแก่อิหร่าน ซึ่งการกระทำดังกล่าวอาจเสี่ยงที่จะทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างรัสเซียกับอิสราเอลและสหรัฐ เลวร้ายลงไปอีก แต่ในขณะเดียวกันเขาก็พยายามรักษาความสัมพันธ์กับอิหร่านไว้ด้วยในทางการทูตและแผนยุทธศาสตร์ระยะยาว (แต่ไม่ใช่ในระยะสั้น)
ในท้ายที่สุดรัสเซียก็ยอมตกลงที่จะประชุมร่วมอย่างเป็นทางการสองสามครั้งและนิ่งเงียบต่อการแสดงความคิดเห็นที่คลุมเครือก่อนหน้านี้ของ “ดมิทรี เมดเวเดฟ” ก่อนหน้านี้ที่บอกว่าจะให้กลุ่มพันธมิตรส่งอาวุธนิวเคลียร์เข้าไปช่วยอิหร่าน ซึ่งถูกทรัมป์ตำหนิอย่างทันควันและรุนแรง เรื่องราวเป็นอย่างไร อ่านความเป็นไปก่อนหน้าได้จากลิงก์ด้านล่างนี้
  • ไม่มีภาระผูกพันที่จะต้องช่วยเหลือ
ตลอดช่วงสงครามอันสั้นแต่เข้มข้นระหว่างอิหร่านกับฝ่ายตะวันตกนำโดยอิสราเอลและสหรัฐ รัสเซียยังคงตอบโต้อยู่ห่างๆ ทันทีหลังจากที่อิสราเอลโจมตีดินแดนอิหร่านครั้งแรก กระทรวงต่างประเทศรัสเซียได้ออกมาประณามการกระทำของอิสราเอลอย่างหนัก แต่ยังเตือนอิหร่านด้วยว่าการเจรจากับสหรัฐยังคงเป็นทางเลือกอยู่ ไม่มีการกล่าวถึง “สิทธิในการป้องกันตนเอง” แต่อย่างใด ในทางปฏิบัติแล้วรัสเซียกำลังเร่งเร้าให้อิหร่านหาทางประนีประนอมมากกว่าที่จะสู้จนตัวตาย [1]
ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตามแผนการทางทหารอยู่ที่อิสราเอลทั้งหมด และรัสเซียก็เช่นเดียวกับประเทศอื่นๆ ในสถานการณ์เช่นนี้ ทำได้เพียงเรียกร้องให้ลดความตึงเครียดลงในขณะที่อพยพพลเมืองของตนออกจากดินแดนอิหร่าน
คำแถลงการณ์ของ “ปูติน” ก่อนการพบปะกับรัฐมนตรีต่างประเทศอิหร่านมีน้ำเสียงที่คล้ายคลึงกัน เขาชี้ให้เห็นว่าข้อตกลงเชิงยุทธศาสตร์ที่เพิ่งลงนามระหว่างรัสเซียและอิหร่าน “ไม่มีบทบัญญัติที่เกี่ยวข้องกับขอบเขตการช่วยเหลือด้านการป้องกันประเทศ”
กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ รัสเซียไม่มีภาระผูกพันที่จะเข้าร่วมสงครามในฝ่ายอิหร่าน ยิ่งไปกว่านั้นปูตินยังบอกเป็นนัยๆ ว่าเตหะรานมีส่วนต้องรับผิดชอบบางส่วนสำหรับข้อบกพร่องของเครือข่ายระบบป้องกันภัยทางอากาศ “เราเคยเสนอความร่วมมือด้านการป้องกันภัยทางอากาศแก่เพื่อนชาวอิหร่านของเรา” เขากล่าว “พันธมิตรของเราไม่ได้แสดงความสนใจมากนักในเวลานั้น” เขาไม่ได้ระบุชัดเจนว่ารัสเซียเสนอข้อเสนอนั้นเมื่อใด หรือเนื้อหาเฉพาะของข้อเสนออาจมีความเกี่ยวข้องอย่างไร
อย่างไรก็ตามคำพูดของปูตินมีสัญญาณชัดเจนว่าเขาไม่สบายใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับอิหร่าน โดยปฏิเสธที่จะพูดคุยถึงความเป็นไปได้ที่อิสราเอลจะลอบสังหาร “คาเมเนอี” ผู้นำสูงสุดของอิหร่าน ปูตินยังกล่าวด้วยว่าเตหะรานยังไม่ได้ขอความช่วยเหลือทางทหารจากมอสโก ซึ่งในทางทฤษฎีแล้วถือเป็นการเปิดช่องให้รัสเซียเปลี่ยนจุดยืนหากมีการร้องขอเช่นนั้น
ปูตินต้องการยึดถือแนวทางที่กระทรวงต่างประเทศของรัสเซียใช้โดยชัดเจน โดยอ้างถึงคำแถลงการณ์ของหน่วยงานการทูตของเขาเองในช่วงเริ่มต้นการประชุมกับ “อับบาส อาราคชี” รัฐมนตรีต่างประเทศอิหร่านที่เครมลิน แม้จะมีรายงานจากสื่อว่าอาราคชีนำจดหมายส่วนตัวจาก “อยาตอลเลาะห์ คาเมเนอี” ซึ่งเรียกร้องให้เครมลินมีบทบาทที่กระตือรือร้นมากขึ้นมาด้วยเพื่อช่วยอิหร่าน แต่ปูตินกลับสนองตอบต่อพันธมิตรของเขาเพียงเล็กน้อย
เครดิตภาพ: Times of India
  • การลงทุนที่อยู่บนความเสี่ยง
โดยรวมแล้วสถานการณ์รอบอิหร่านก่อให้เกิดความเสี่ยงระยะยาวที่ร้ายแรงต่อรัสเซียได้ ตั้งแต่ปี 2022 รัสเซียได้ลงทุนทรัพยากรจำนวนมากในการพัฒนาความสัมพันธ์กับอิหร่าน ก่อนที่การโจมตีของอิสราเอลจะเริ่มขึ้น
ทูตอิหร่านประจำรัสเซียเปิดเผยว่า “ในปี 2024 รัสเซียกลายเป็นนักลงทุนต่างชาติรายใหญ่ที่สุดของอิหร่าน” แม้ว่าจะไม่ได้ระบุขนาดของการลงทุนเหล่านั้นก็ตาม เมื่อปีที่แล้วรัสเซียได้ลงทุน 2.7 พันล้านดอลลาร์ในเศรษฐกิจของอิหร่านและให้คำมั่นอีก 8 พันล้านดอลลาร์สำหรับ “โครงการน้ำมันและก๊าซ” โดยเฉพาะ [2]
นอกจากนี้รัสเซียยังดำเนินการใน “โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่บูเชห์ร” ซึ่งกำลังมีการก่อสร้างหน่วยที่สอง นอกจากนี้ยังกำลังสร้าง “โรงไฟฟ้าพลังความร้อนสิริก” ในฮอร์มอซกัน บริษัทน้ำมัน ZN Vostok ของรัสเซียยังดำเนินการอยู่ในอิหร่านอีกด้วย
1
รัสเซียยังมีโปรเจคโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ที่กำลังดำเนินการอยู่ รวมถึงการก่อสร้างทางรถไฟ Rasht–Astara และท่อส่งก๊าซที่เสนอให้สร้างจากรัสเซียไปยังอิหร่านผ่านอาเซอร์ไบจาน แผนริเริ่มทั้งหมดนี้ตกอยู่ในความเสี่ยง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากสงครามยังคงดำเนินต่อไปหรือหากระบอบการปกครองใหม่ขึ้นสู่อำนาจในสาธารณรัฐอิสลามแห่งนี้
เครดิตภาพ: WANA News
จริงแล้ว “อิหร่านเป็นพันธมิตรที่ไว้ใจได้ของรัสเซีย” เพราะพวกเขาก็โดนคว่ำบาตรจากตะวันตก ทำให้จำเป็นต้องกระชับความสัมพันธ์กับรัสเซียให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ปริมาณการค้าระหว่างสองประเทศไม่สามารถเทียบได้กับการค้าระหว่างรัสเซียและตุรกี
แต่ความร่วมมือได้ขยายไปถึงความพยายามในเชิงบูรณาการ เช่น การเชื่อมโยงระบบการชำระเงินและการจัดตั้งเขตการค้าเสรีกับสหภาพเศรษฐกิจยูเรเซีย นอกจากนี้ยังรวมถึงโครงการโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ เช่น โครงการระเบียงขนส่งเหนือ-ใต้ (ตามรูปแผนที่ด้านบน) [3]
อย่างไรก็ตามความเสี่ยงที่ระบอบการปกครองของอิหร่านจะล่มสลายหรือแตกเป็นเสี่ยงๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากการโค่นล้ม “บาชาร์ อัล-อัสซาด” ในซีเรียเมื่อไม่นานนี้ ทำให้เกิดข้อสงสัยในกลยุทธ์ทั้งหมดของรัสเซียในตะวันออกกลาง ดามัสกัสเคยเป็นจุดเข้าที่สำคัญของมอสโกในภูมิภาค และการมีกองทหารของรัสเซียในซีเรียทำให้สามารถส่งกำลังบำรุงไปยังตะวันออกกลางและภูมิภาคอื่นๆ ได้ ขณะเดียวกันก็เสริมสร้างภาพลักษณ์ของรัสเซียในฐานะมหาอำนาจระดับภูมิภาคอีกด้วย
ในตอนนี้เมื่อผู้นำซีเรียถูกแทนที่ด้วยอีกกลุ่มหนึ่ง การลงทุนของรัสเซียในซีเรียทั้งหมดก็ถูกฝังไว้ในทราย และอนาคตของฐานทัพทหารใหญ่ของรัสเซียสองแห่งในซีเรียก็เกิดความไม่แน่นอนมากขึ้น หากเตหะรานเดินตามรอยดามัสกัสในเส้นทางเดียวกันนี้ จะสร้างความเจ็บปวดอย่างมาก ไม่เพียงแต่ต่อตำแหน่งของรัสเซียในตะวันออกกลางเท่านั้น แต่ยังรวมถึงอิทธิพลในระดับโลกด้วย [4]
  • แล้วรัสเซียจะแทรกแซงในอิหร่านไหม?
มหาอำนาจย่อมไม่นิ่งเฉยเมื่อพันธมิตรของตนถูกกำจัดทีละคน หากสงครามระหว่างอิหร่านกับฝ่ายตะวันตกยังคงดำเนินต่อไป เป็นไปได้ว่าชนชั้นปกครองของรัสเซียบางคนอาจเริ่มผลักดันให้เข้าแทรกแซงเพื่อป้องกันไม่ให้ระบอบการปกครองของอิหร่านล่มสลายโดยสิ้นเชิง
ความรู้สึกดังกล่าวอาจทวีความรุนแรงมากขึ้นหลังจากที่สหรัฐฯ โจมตีโรงงานนิวเคลียร์ของอิหร่าน เนื่องจากการที่สหรัฐโดดเข้าร่วมความขัดแย้ง แม้ว่าจะเพียงไม่กี่วันก็ตาม แต่มันก็เป็นเหมือนการส่งสัญญาณว่าพวกเขาพร้อมเสมอเพื่อเล่นงานฝ่ายที่เป็นอริ การโจมตีด้วยระเบิดเจาะบังเกอร์ของสหรัฐฯ อาจทำให้กลุ่มชาตินิยมในรัสเซียสรุปและสร้างวาทกรรมได้อย่างมีเหตุผลว่า “รัสเซียอาจเป็นรายต่อไป”
เครดิตภาพ: Hindustan Times
แล้วเหตุผลว่าทำไมรัสเซียถึงไม่อยากแทรกแซงและปล่อยให้สถานการณ์ในอิหร่านมันเป็นไป?
  • “ในระยะสั้นสงครามตะวันออกกลางจะส่งผลดีต่อรัสเซีย” เพราะราคาน้ำมันจะกลายเป็นขาขึ้น และยิ่งความขัดแย้งรุนแรงมากขึ้นเท่าใด ราคาน้ำมันก็จะยิ่งถีบตัวสูงขึ้นเท่านั้น ส่งผลให้รายได้งบประมาณของรัสเซียเพิ่มขึ้น และอาจกำจัดคู่แข่งได้ไปในตัว (อิหร่าน) เนื่องจากทั้ง “อิหร่านและรัสเซียต่างก็เป็นผู้ขายน้ำมันให้กับจีน”
  • ประการถัดมาฝ่ายตะวันตกได้เปลี่ยนความสนใจจากยูเครนไปที่ตะวันออกกลางเป็นการชั่วคราว แม้กระทั่งตอนนี้ก็ยังมีความเป็นไปได้สูงที่การปะทะกันระหว่างอิหร่านกับอิสราเอลอาจกลายเป็นการเผชิญหน้าอย่างถาวรและเป็นระยะๆ ซึ่งจะทำให้ทั้งภูมิภาคหยุดชะงัก
1
หากเป็นเช่นนั้นอิสราเอลจะต้องได้รับการสนับสนุนทางทหารเพิ่มเติมจากสหรัฐฯ และเป็นที่ชัดเจนว่า หากถูกบังคับให้เลือก “ทรัมป์จะให้ความสำคัญกับอิสราเอลมากกว่ายูเครน” ยิ่งไปกว่านั้นการกระทำของสหรัฐฯ และอิสราเอลถูกรัสเซียใช้เพื่ออ้างเป็นเหตุผลในการบุกยูเครนอย่างหนักต่อ “หากพวกเขาทำได้ ทำไมเราถึงทำไม่ได้”
กล่าวอีกนัยหนึ่งการตัดสินใจของรัสเซียที่จะอยู่ห่างจากความขัดแย้งนั้นนำมาซึ่งผลประโยชน์อย่างน้อยในระยะสั้น แม้ว่าจะเสี่ยงต่อการสูญเสียเงินและความพยายามที่ได้ลงทุนไปในอิหร่านแล้วก็ตาม แต่ยังมีอีกมิติหนึ่งที่เกิดขึ้น นั่นคือ “ภัยคุกคามที่จะสูญเสียสถานะผู้เล่นหลักในตะวันออกกลาง” และความกลัวที่จะเป็น “คนต่อไปที่จะถูกล้มล้างระบอบการปกครอง”
อาจทำให้ท่าทีของรัสเซียเปลี่ยนจากแนวทางที่เน้นปฏิบัติในความเป็นจริงตอนนี้ไปเป็นแนวทางที่เน้นอุดมการณ์มากขึ้น ความคิดหนึ่งอาจค่อยๆ ฝังรากลึกลงไป นั่นคือ รัสเซียสามารถเข้าแทรกแซงโดยตรง แม้กระทั่งทางทหาร เพื่อป้องกันไม่ให้อิสราเอลและสหรัฐฯ ผลักดันสงครามไปสู่จุดสิ้นสุด นั่นคือ “การล้มล้างระบอบการปกครองของคาเมเนอี”
อย่างไรก็ตามการแทรกแซงทางทหารอย่างการส่งมอบระบบอาวุธ เช่น เครื่องบินขับไล่ Su-35 คงไม่สร้างความแตกต่างมากนักภายใต้เงื่อนไขปัจจุบัน เนื่องจากฝูงบินที่สัญญาส่งมอบไว้กับอิหร่านจะไม่ทำให้สมดุลของอำนาจพลิกผัน ในแง่ของจำนวนที่อาจไม่มากพอที่จะต่อกรกับเครื่องบินขับไล่ของอิสราเอลหลายร้อยลำ และผลลัพธ์ของการโจมตีที่ดำเนินอยู่จะยังคงเหมือนเดิมทุกประการ
ยิ่งไปกว่านั้นการส่งอาวุธไปยังอิหร่านต้องเผชิญกับการต่อต้านอย่างหนักไม่เพียงแต่จากประเทศในอ่าวเปอร์เซียและตุรกีเท่านั้น แต่จากภายในรัสเซียเองด้วย ความต้องการภายในประเทศพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วเนื่องมาจากสงครามในยูเครน ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้ Su-35 ไม่สามารถส่งมอบให้อิหร่านได้ (แม้ว่าเครื่องบินฝึก โดยเฉพาะ Yak-130 จะมาถึงในที่สุด) สถานการณ์ก็คล้ายกับระบบป้องกันภัยทางอากาศของรัสเซีย
เครดิตภาพ: Public Defense
เหตุผลของรัสเซียที่ยังไม่ส่งมอบอาวุธชั้นสูงให้กับอิหร่านก็พอสมเหตุสมผลอยู่ เพราะส่งไปต่อนี้ก็ดูไร้ประโยชน์ เพราะไม่มีประโยชน์ที่จะต่อยตีกันหลังจากการต่อสู้สิ้นสุดลง (ชั่วคราว?)
นอกจากนี้กองกำลังอิหร่านยังต้องได้รับการฝึกฝนเป็นเวลาหลายเดือนก่อนที่จะเตรียมพร้อมที่จะใช้เครื่องบินและระบบป้องกันภัยทางอากาศได้อย่างมีประสิทธิภาพ และในช่วงเวลานั้น อิสราเอลเมื่อเห็นว่าอิหร่านได้อาวุธใหม่ย่อมสบช่องที่จะเข้ามาทำลายอาวุธเหล่านั้นอย่างแน่นอน โดยไม่คำนึงถึงว่าใครเป็นผู้จัดหาให้ (รัสเซียอาจส่งผ่านคนกลางให้)
ดูแล้วรัสเซียน่าจะยับยั้งชั่งใจและรอให้สงครามในตะวันออกกลางค่อยสงบลง โดยเอาตัวเองเสี่ยงให้น้อยที่สุดและหลีกเลี่ยงการมีส่วนร่วมโดยตรง พวกเขาอาจอ้างว่าทุกอย่างจบลงตามที่เสนอไว้ นั่นคือการหยุดยิง อย่างน้อยตอนนี้รัสเซียยังไม่มีสัญญาณใดๆ ว่าเตรียมที่จะเข้าไปข้องเกี่ยวกับความขัดแย้งที่อื่นอีกครั้ง
เรียบเรียงโดย Right Style
1st Jul 2025
1
  • อ้างอิง:
<เครดิตภาพปก: Center for Countering Disinformation>
โฆษณา