2 ก.ค. เวลา 06:42 • ประวัติศาสตร์

องก์ที่สอง

(วิทูษกออก)
วิทูษก. บัดนี้ข้าพเจ้าได้รับคำบอกเล่าจากอินทีวริกาว่า: ‘ท่านเจ้าขา, เวลานี้พระเทวีวาสวทัตตากำลังทรงบำเพ็ญบุญโดยทรงอด และขอเชิญท่านไปสำหรับพิธีโสตถิวาอณะ.’ (๒๓) ฉะนั้น เมื่อได้อาบน้ำในอ่างที่สวนโรงน้ำบัวแล้ว, ข้าพเจ้าก็จะได้ไปเฝ้า
พระเทวีและทำเสียงขันเปนไก่. ถ้ามิฉะนั้นพวกเราที่เปนพาห์มจะได้อะไรเล่าที่ในวัง. (แลไปทางในโรง) อ้อ, พระเพื่อนรักของข้าพเจ้าเสด็จมานี่แล้ว, กำลังจะเสด็จไปสวนโรงน้ำบัว เพื่อบันเทาความกะสันเพราะความว้าเหว่พระหทัย. ฉะนั้น ข้าพเจ้าก็จะเลยไปกับพระเพื่อนของข้าพเจ้าและทำตามเช่นว่า.
(พระราชาออก, แสดงท่าคิดถึงนาง)
ราชา.
ทรงแต่มังคลมาตระมัณฑะนะภฤตา นางซูบและตรัสช้า และอ่อน; (๒๔)
ทั้งผิวพักตระก็ซีดประหนึ่งพระศศธร ยามจวนทิวากร. รุจี;
อีกใจนางก็ระทดเพราะทำวรพิธี; จึงจิตต์ดนูนี้ ประสงค์
ใคร่เห็นโฉมปิยนาริเหมือนขณะอนงค์ แรกเริ่มพะวงจิตต์ เพราะรัก.
วิทูษก. (เดินเข้าใกล้) สวัสดีเถิดเจ้าประคุณ. เจริญเถิดเจ้าข้า.
ราชา. (เหลียวดู) วสันตกะ. ทำไมจึ่งดูสบายใจเช่นนั้น?
วิทูษก. ก็เพราะพระเทวีท่านกำลังจะทรงใจดีต่อพาห์มน่ะสิ.
​ราชา. ก็เมื่อเช่นนั้นแล้ว อย่างไรต่อไปอีก ?
วิทูษก. (วางปึ่ง) อ๋อ, เจ้าประคุณ, นี่ไม่ใช่พาห์มเลิดคนหนึ่งหรือ. เพราะข้าพระเจ้านี่แหละจะได้รับของโสตถิวาอณะจากพระหัตถ์พระเทวีที่ในวังก่อนเพื่อน, ทั้งๆ เมื่อที่นั้นเต็มไปแล้วด้วยพาห์มตั้งพันคนผู้รู้พระเวททั้งสี่, ทั้งห้า, ทั้งหก.
ราชา. (สำรวลพลาง) ลักษณะพราหมณ์ ย่อมรู้ได้โดยจำนวนพระเวทของเขาสิ. ฉะนั้น มาเถิดท่านมหาพราหมณ์, ไปด้วยกันที่สวนโรงน้ำบัวเถิด.
วิทูษก. สุดแท้แต่จะโปรด.
ราชา. เดินไปหน้าสิ.
วิทูษก. เจ้าประคุณ, ไปก็ไปเถิด. (เดินไปมาและเหลียวแล) เออ, พ่อเจ้าประคุณ, ดู, ดูความงามแห่งสวนโรงน้ำบัวนี้เถิด; หน้าศิลานี้ละมุนไปด้วยดอกไม้ต่าง ๆ ที่ร่วงลงบนนี้มิได้ขาด, มีดอกพอุลและดอกมะลิเลื้อยหล่นลงเพราะความหนักแห่งแมลงภู่เปนอันมากซึ่งกลั้วกลิ่นเกสร, มีก้านดอกพันธูอะถูกลมอันอมกลิ่นบัวหลวงมาเขย่าอยู่, และมีต้นตมาลอันหนาทึบเปนเครื่องกำบังแดดและความร้อน. (๒๕)
ราชา. พูดเหมาะดี, เพื่อนรัก; เพราะที่นี้-
ก้านดอกเศผาลิกาพรั่ง อวนิประดุจดั่ง แปงปะการัง ประดับลาน;
หอมกลิ่นสัปตัจฉทาหวาน ดุจะคชะมทะซ่าน ทราบจมูกดาล ฤดีเย็น;
ที่นี้ผึ้งซึ่งระคนเล่น ณปทุมะละก็เห็น กายะเหลืองเปน ประหลาดชม,
อีกร้องราวเมาเพราะดูดดม มธุรสะอภิรม เมามธูสม หทัยปอง.(๒๖)
​วิทูษก. พ่อเจ้าประคุณ, โปรดดู, ดูทางนี้อีกด้วย, ดูต้นสัตตวัณณ์ (๒๗) พร้อมด้วยดอกเยอะแยะร่วงหล่นอยู่เสมอ, ดูราวกับมันมีหยาดน้ำหยดเรื่อยอยู่ระหว่างใบในปลายหน้าฝนเทียวละ.
ราชา. ช่างเปรียบจริง ๆ ละ, เกลอเอ๋ย. จริงหนอ ดูมันคล้ายปลายหน้าฝนมากอยู่; เพราะว่า-
ที่นี้เคยพสุธาละมุนเพราะตฤณงาม ยิ่งดอกศิรีษราม ระยับ,
อีกเคยเหมือนมรกตวิไลและก็ประดับ ป่นโรยณพื้นขลับ ขจี;
บัดนี้พันธุกมาลิเกลื่อนณปฐพี พ่างพื้นก็แปลงสี พิลาส,
ทำให้พื้นพสุธาสีแดงประดุจดาด ด้วยอินทรโคปก์กลาด กระจาย. (๒๘)
(เจฏีออก)
เจฏี. พระเทวีวาสวทัตตาได้มีรับสั่งแก่ดิฉันว่า: ‘นี่แน่ะ, อินทีวริกา, วันนี้กูจะต้องกระทำการไหว้พระอคัตถิผู้เปนใหญ่. ฉะนั้น เจ้าจงไปหาพวงมาลัยดอกเสหาลิอา๑มาโดยเร็ว; แล้วก็ให้อารัณยกานี่ไปเก็บดอกบัวหลวงที่บานแล้วมาจากในอ่างสวนโรงน้ำบัวโดยเร็ว ก่อนที่มันจะหุบเสียหมดเพราะสิ้นแสงตะวันที่เร่งจะตกอยู่.’ แม่คนนั้นหรือก็ไม่รู้จักอ่างนั้น, ฉะนั้น ดิฉันจะต้องเรียกหล่อนและพาหล่อนไปที่นั้นด้วย. (เหลียวไปทางในโรง) ทางนี้, ทางนี้, อารัณยกา, มาเถอะ.
(อารัณยกาออก)
อารัณยกา. (น้ำตาคลอและไม่สบาย, บ่น) โอ้มานึกถึงตัว​เรา, ผู้ได้กำเนิดในวงศ์อันสูงปานนั้น, ซึ่งเคยเปนนายผู้อื่น, มาบัดนี้ต้องรับใช้ผู้อื่น ! นี่มิใช่ความลำบากเพราะผลกรรม; มันเปนโทษผิดของเราเอง. เพราะ, แม้เมื่อได้รู้อยู่แล้ว, เราก็หาได้ฆ่าตัวของ
เราเสียไม่. ฉะนั้น บัดนี้เราจะทำอย่างไรเล่า? แต่ข้อที่เรารำพึงมาแล้วนั้นก็เปนการร้ายแรงมากอยู่. แต่กระนั้นก็ยังดีกว่าที่เราจะทำให้ตัวของเราถ่อยไปโดยแสดงกุลวงศ์อันประเสริฐของเรา. ก็จะมีหนทางหลีกพ้นได้อย่างไรเล่า? จำเราจะต้องกระทำตามที่เราได้ว่าไว้นั้นแหละ.
เจฏี. อารัณยกา, มาทางนี้.
อารัณยกา. ฉันมาเดี๋ยวนี้. (แสดงท่าอ่อนใจ) หล่อนจ๋า, อ่างนั้นยังอยู่อีกไกลหรือ?
เจฏี. อยู่ตรงนี้เอง, หลังกอเสหาลิอา. มาเถอะหล่อน, ลงไปนั่นเถอะ.
(แสดงท่าลงไป)
ราชา. เกลอเอ๋ย, เหตุไฉนเกลอจึ่งดูประหนึ่งว่านึกถึงอะไรอื่นอยู่? ฉันได้กล่าวแล้วไม่ใช่หรือว่า: ‘ดูราวกับปลายหน้าฝนทีเดียว.’
(เธอกล่าวฉันท์บท ๑๕ ที่เริ่มว่า ‘ที่นี้เคยพสุธาละมุน’ นั้นอีกครั้งหนึ่ง)
วิทูษก. (ออกโกรธ ๆ) เจ้าข้า, พระองค์สิในขณะที่ทรงตะลึงหลงมักจะดูนี่บ้างหรืออะไรอื่นบ้าง; ส่วนสำหรับตัวข้าพระเจ้าผู้เปนพาห์มสิ, เวลาที่ควรรับของโสตถิวาอณะมันกำลังเดินหนีไป. ฉะนั้น ข้าพระเจ้าจะรีบอาบน้ำในอ่างแล้วจะได้ไปเฝ้าพระเทวี.
​ราชา. อ้าว, ตาบ้า, เราได้เดินเลยอ่างนั่นมาแล้วละ. ทั้งๆ ที่สูได้รับความสุขมามากมาย โดยทางอินทรีย์ทั้งหลายของสูแล้ว, สูก็หารู้สึกไม่. ดูสิ!
เสียงหงส์ทองร้องระหริ่งหวาน ดุจะปิยนริคราญ ใส่กำไลผ่าน สบายกรรณ;
เห็นเรือนหลวงเลิดวิไลฉัน ณตรุและชลอัน ส่งสง่าสรรพ์ สบายเนตร;
หอมกลิ่นบัวหลวงภิรมเยศ กมลวิมลเกสร์ ส่งสุคนธ์เศรษฐ์ สบายฆาน;
ลมเย็นรวยรื่นเพราะพัดผ่าน ชลธิสรสถาน ถูกณกายซ่าน สบายกาย.
ฉะนั้นมาเถอะ. เดินเข้าไปสู่ปากอ่างนั้นเถิด. (เดินพลางเหลียวไปมาพลาง) เกลอเอ๋ย, ดูสิ, ดูสิ.
อ่างแก้วกอบบงกชหลาย ล่อจิตต์สบาย แม้เพียงเมื่อทอดทรรศนา
งานเหมือนเนตรเทวดา เฝ้าสวนโศภา ผู้เนตรงามยิ่งบัวหลวง.
วิทูษก. (ด้วยความหลากใจ) ดูหน่อย, ดูหน่อย, เจ้าประคุณ! นางนี้ใครหนอ, มีแมลงภู่ตอมอยู่ที่ผม อันหอมไปด้วยกลิ่นดอกไม้, และมือคล้ายดอกไม้ตูมแดงเรื่อราวกับกิ่งปะการัง, และแขนงาม, อ่อน, และนิ่มนวล? ดูราวกับเปนนางฟ้ารักษาสวนมาเดินอยู่ให้เราเห็นเทียวละ.
ราชา. (แลดูด้วยความความหลากใจ) เกลอเอ๋ย, โฉมของหล่อนอันงามหาที่เปรียบมิได้ทำให้นึกเอาไปหลายอย่าง. ฉันเองก็หารู้แน่ได้ไม่. ดูสิ!
​ฤๅนางเปนวรนาคกันยะจรจาก บาดาลเพราะอยากเยี่ยม พิภพ?
ไม่ใช่แน่เพราะหนูก็เคยจริกะจบ ถิ่นนั้นบ่พบใคร เสมอ.
ฤๅแสงจันทร์จะประชุมและส่งสิริละเออ? เห็นผิดละเหนอนี่ ทิวา.
ใครหนองามตะละองค์พระศรีวรศุภา ถือบัวสง่างาม ณหัตถ์ ?
วิทูษก. (เพ่งดู) คนนี้นะแน่ละคืออินทีวริกาข้าหลวงของพระเทวี. ฉะนั้น เราไปแอบดูเขาข้างหลังกอไม้นั่นเถอะ.
(ทั้งสองทำเช่นว่า)
เจฏี. (ทำท่าเด็ดใบบัว) อารัณยกา, หล่อนเก็บดอกบัวหลวงเถอะ, ฉันจะเก็บดอกเสหาลิอาใส่ในใบบัวนี้แล้วจะได้ไปเฝ้าพระเทวี.
ราชา. เกลอเอ๋ย, ดูเขากำลังพูดจากันอยู่. ฉะนั้น เราฟังให้ดี ๆ หน่อยเถอะ, บางทีเราจะได้เนื้อถ้อยกระทงความโดยเหตุนี้บ้าง.
(เจฏีทำท่าจะไป)
อารัณยกา. อุ๊ย, อินทีวริกา, เมื่อหล่อนจะไม่อยู่แล้ว ฉันจะอยู่นี่อย่างไรได้?
เจฏี. (หัวเราะ) ตามที่ฉันได้ทั้งพระเทวีรับสั่งวันนี้แล้ว, หล่อนจะต้องอยู่พรากจากฉันไปอีกนานละ.
อารัณยกา. (พรั่นใจ) พระเทวีตรัสว่ากระไร?
​เจฏี ว่าอย่างนี้: ‘ทูลกระหม่อมแก้วตรัสเมื่อเวลานั้นว่า, ถ้าเมื่อใดลูกสาวของวินธยเกตุมีอายุควรแต่งงานได้ละก็, ให้กราบทูลเตือน. ฉะนั้น กูจะทูลเตือนทูลกระหม่อมแก้วในเร็วๆ นี้, เพื่อท่านจะได้ทรงพระดำริเรื่องหาผัวสำหรับแม่คนนั้น.’
ราชา. (ปลื้ม) อ้อนี่เองธิดาของวินธยเกตุ! (ด้วยความเสียดาย) เราได้ชวดหลอนไปเสียนาน. เกลอเอ๋ย, การดูนางสาวคนนี้ไม่มีโทษแน่ละ. บัดนี้เรามาดูหล่อนโดยปราศจากตะขิดตะขวงเถิด.
อารัณยกา. (เคือง, อุดหู) หล่อนไปให้พ้น. ฉันไม่ชอบหล่อนเลย เมื่อหล่อนพูดเหลวใหล.
(เจฏีเดินเลี่ยงไป. ทำท่าเก็บดอกไม้)
ราชา. เออกำเนิดดีของหล่อนแลเห็นได้ถนัดโดยท่าทางอันสง่าของหล่อน, เกลอเอ๋ย, ผู้ใดมีเคราะห์ดีได้กอดตัวหล่อนละก็, จะได้มีความสุขมากเทียวละ.
(อารัณยกาทำท่าเก็บดอกบัว)
วิทูษก. เจ้าประคุณ, ดู, ดู. อัศจรรย์, อัศจรรย์. เมื่อหล่อนเก็บดอกบัวช่อนั้นแล้ว หล่อนทำให้ความงามของมันทรามไปด้วยความงามอร่ามแห่งมือของหล่อนอันเหมือนดอกไม้ตูม ในเมื่อผ่านไปมาในน้ำ.
ราชา. เกลอเอ๋ย, จริงเช่นนั้นเทียว. ดู!
หล่อนชายตาฤก็ยวนฤดีปริดิเสบย เหมือนได้เสวยหยาด อมฤต;
หล่อนงามยามอุระไร้สะไบนะบ่มิปิด ปานจันทร์บมิดเมฆ วิไล;
ยามนางเก็บผิปทุมจะหุบก็ดนุไสร้ หาเห็นประหลาดไม่, เพราะว่า
ได้ถูกหัตถ์นรินวลบ่พ่ายศศธรา เหมือนแสงศศีมา กระทบ.
​อารัณยกา. (ทำท่าเหมือนถูกแมลงภู่ตอม) อุ๊ย, อุ๊ย! แมลงภู่นี่, ที่ผละจากดอกบัวหลวงมาเกาะที่ช่อนิโลบลนี่. มันมากวนและรังแกฉันไม่หยุดหย่อน (คลุมหน้าด้วยผ้าห่ม, เสียงกลัว) อินทีวริกาจ๋า ช่วยฉันด้วย, ช่วยฉันด้วย. แมลงภู่เหล่านี้มันจะทำให้ฉันเสียทีเสียแล้ว.
วิทูษก. เจ้าประคุณ, สมประสงค์ของท่านละ. ก่อนที่อีนางลูกขี้ครอกนั้นจะมาได้, เชิญย่องเข้าไปเงียบ ๆ เถอะ, หล่อนคงนึกว่าอินทีวริกามา, เมื่อได้ยินเสียงฝีพระบาทในน้ำ, แล้วก็หล่อนคงเข้าเกาะพระองค์เปนแน่ละ.
ราชา. ดีมาก, เกลอ, ดีมาก. คำแนะนำของสูเหมาะแก่เวลาเทียวละ (เธอเดินไปหาอารัณยกา)
อารัณยกา. (ทำท่าได้ยินฝีเท้า) อินทีวริกา, มาไวๆ, มาไว ๆ. ฉันแทบจะคลั่งแล้วเพราะแมลงภู่เหล่านี้. (เกาะพระราชาแน่นไว้)
(พระราชาเอาแขนกอดคอนาง. อารัณยกา, เปิดผ้าห่มจากหน้า, ยังไม่เห็นพระราชา, ทำท่าดูแมลงภู่เหล่านั้น)
ราชา. (ปัดแมลงภู่ด้วยผ้าห่มของพระองค์เองพลาง)
อ้าภีรุอย่ากลัว ภมราบ่ทำอะไร
มันตอมณพักตร์ไสร้ ก็เพราะพักตระปานปทุม.
เนตรตื่นและกายสั่น เพราะวะพรั่นก็ยังประชุม
งามแม้นอุบลกลุ่ม ภมราจะร้างไฉน.(๒๙)
​อารัณยกา. (เห็นพระราชา, ทำท่าตกใจ) อ้าว, นี่ไม่ใช่อินทีวริกา. (ผละจากพระราชาด้วยความกลัวและถอยออกห่าง) อินทีวริกา, มาไว ๆ, มาไว ๆ ช่วยฉันด้วย.
วิทูษก. แม่คุณ, เมื่อหล่อนอยู่แล้วในความป้องกันแห่งพระเจ้าวัตสราช, ผู้ทรงสามารถป้องกันโลกทั้งหมด, หล่อนยังเรียกอินทีวริกาผู้เจฏีอีก.
(ราชากล่าวฉันท์ที่เริ่มว่า ‘อ้าภีรุอย่ากลัว’ นั้นอีก)
อารัณยกา. (แลดูพระราชาด้วยความใคร่และเสงี่ยม, พูดกับตนเอง) อ้อนี่เองแหละพระมหาราชเจ้าที่บิดาของเรายกตัวเราถวาย. บิดาของเราช่างเลือกเหมาะฐานะจริงนะ. (ทำท่าสะเทินอาย)
เจฏี. อารัณยกาถูกแมลงภู่กวนนัก, ฉะนั้น เราต้องไปปลอบหล่อนเสียหน่อย, อารัณยกา, อย่ากลัวเลย; ฉันมานี้แล้ว.
วิทูษก. ไปเถิด, พระเจ้าข้า, ไปเถิด. อินทีวริกามานี่แล้ว. ถ้ามันได้เห็นความเปนไปเข้าละก็, มันคงเอาไปทูลฟ้องพระเทวีละ (ชี้ด้วยนิ้ว) ฉะนั้น เรามาเข้าไปในซุ้มกล้วยนี้และคอยดูเวลาอันเหมาะเถอะ.
(ทั้งสองทำเช่นว่า)
เจฏี. (เดินเข้าไปหาและตบแก้มหยอก) แม่อารัณยกา, มันเปนความผิดของหน้าหล่อนที่คล้ายดอกบัวนั้นเอง, แมลงภู่มันจึงได้กวนตอมนัก (จับมือจูง) เถอะหล่อน, ไปกันเสียที. วันเกือบหมดแล้ว.
(ทำท่าเดินไป)
​อารัณยกา. (แลไปทางซุ้มกล้วย) แม่อินทีวริกา, ดูตีนมือของฉันนี้ชาไปอย่างไรเสียแล้ว เพราะถูกน้ำเย็นจัดมากเกินไป. เราเดินไปอย่างช้า ๆ เถอะนะ.
เจฏี. ได้สิ.
(เข้าโรงทั้งสองนาง)
วิทูษก. มาเถอะ, พระเจ้าข้า, ออกไปจากนี่เสียทีเถอะ. นางทาสีอินทีวริกาพาตัวเจ้าหล่อนไปแล้ว.
ราชา. (ถอนใจ) อ้าว, หล่อนไปแล้วหรือ? เพื่อนวสันตกะ, ชนผู้เคราะห์ร้ายมักไม่ได้อะไรสมใจโดยปราศจากความขัดขวาง. (เหลียวดู) ดูเถอะ, เพื่อน, ดูเถอะ.
ช่อบัวแม้หน้าหุบไซร้ ยังบอกแจ้งได้ ประหนึ่งจะส่งภาษา
โดยเกสรชันนั้นว่า มันสุขนักหนา เพราะถูกมือหล่อนละมุน
(ถอนใจ) เพื่อนเอ๋ย, มีอุบายอย่างไรบ้างหรือที่จะใช้เพื่อได้เห็นหล่อนอีก?
วิทูษก. เออ, บัดนี้พระองค์มาร่ำฉาวเพราะได้ทำตุ๊กกะตาหักไปเอง. พระองค์ไม่ทำตามคำแนะนำของตาพาห์มบ้านี่นะ.
ราชา. ฉันไม่ได้ทำอะไรเล่า?
​วิทูษก. ลืมเสียแล้วละหรือ? ข้าพระเจ้าทูลว่า: “ย่องเข้าไปเงียบๆ.” ส่วนพระองค์น่ะหรือ, ครั้นเมื่อถึงเวลาสำคัญเข้าสิ, โดยตื่นพระองค์ว่าเปนผู้มีความรู้ เลยทำให้เจ้าหล่อนตกใจเสียด้วยคำว่า ‘อ้าภีรุอย่ากลัว,’ และคำดุด่าอะไรอื่นอีก; ฉะนั้น เวลานี้มาร่ำฉาวเอาอะไร? แล้วมีหน้ามาถามด้วยว่าทำอย่างไรจะได้พบเจ้าหล่อนอีก.
ราชา. อะไร! เราปลอบหล่อนแท้ ๆ ตาบ้าเรียกว่าดุด่า!
วิทูษก. ใครเปนบ้าในที่นี้ก็แลเห็นง่าย ๆ อยู่แล้ว. ฉะนั้นเปนไรไปพระผู้เปนเจ้าสหัสสรังสีใคร่จะตกอยู่แล้วละ. ฉะนั้น มาเถอะ, เข้าไปในเรือนเถอะ.
ราชา. (เหลียวดู) เออ, วันจวนจะหมดอยู่แล้ว. โอ้โอ๋ ! เพราะบัดนี้
ความงามแห่งทิวะผ่านเพราะโฉมปิยนรี รึงช่อปทุมศรี จรัล;
แสงแดงเรื่อก็ระยับณดวงสุริยนั้น เช่นในอุราฉัน เฉลา;
นกจักราวะกะยืนณบึงประดุจะเรา คิดถึงวธูเศร้า กมล;
ทั่วแดนดินฤก็สิ้นสุรังสิสุริยน เยี่ยงจิตต์ดนูอน- ธการ.
(เข้าโรงทั้งหมด)
จบองก์ที่สอง
๑. เสหาลิอา คือดอกไม้ที่เรียกตามภาษาสันสกฤตว่า “เศผาลิกา” นางนี้พูดภาษาปรากฎต, ฉะนั้น พระอคัสตยะ ก็เรียกว่า “พระอคัตถิ.” ↩
โฆษณา