3 ก.ค. เวลา 03:30 • ธุรกิจ

รู้จัก ชายที่เคยเรียก ค่าไถ่หุ้น Disney จนบริษัทยอมจ่าย 30,000 ล้าน

เราจะยอมจ่ายเงินเท่าไร แลกกับการที่ใครคนหนึ่ง ยอมหยุดไล่ซื้อหุ้นบริษัทของเรา เพื่ออยากครอบงำกิจการ
1
สิบล้าน ร้อยล้าน พันล้าน หมื่นล้าน หรือไม่ยอมจ่ายแม้แต่สักบาทเดียว
รู้ไหมว่า เรื่องนี้เคยเกิดขึ้นจริงในโลกธุรกิจกับ Disney ในปี 1984 ซึ่งยอมจ่ายเงิน 30,000 ล้านบาท แลกกับการให้ชายคนหนึ่งหยุดแผนไล่ซื้อหุ้นของ Disney
เรียกได้ว่า ก็ไม่ต่างอะไรกับการที่ชายคนนั้น ทำตัวเหมือนโจรการเงินที่เรียกค่าไถ่จาก Disney ได้สำเร็จ
1
ชายคนนั้นเป็นใครมาจากไหน
แล้วทำไม Disney ถึงต้องยอมจ่าย 30,000 ล้านบาท ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
1
ชายคนนี้ มีชื่อว่า Saul Steinberg นักธุรกิจที่กลายเป็นเศรษฐีร้อยล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 3,300 ล้านบาท ได้ก่อนอายุ 30 ปี
1
ด้วยการก่อตั้งบริษัทให้เช่าคอมพิวเตอร์ของตัวเอง ก่อนเข้าซื้อบริษัทที่ใหญ่กว่า 10 เท่า โดยใช้การแลกหุ้นระหว่างผู้ถือหุ้นเดิมของแต่ละบริษัท
1
สุดท้ายดีลควบรวมนี้ก็สำเร็จไปด้วยดี ซึ่งลองคิดภาพตามว่า การซื้อบริษัทที่ใหญ่กว่าบริษัทเดิม 10 เท่า จะทำให้คนคนหนึ่ง มีความมั่นใจเพิ่มมากขึ้นแค่ไหน
2
ความมั่นใจที่เพิ่มขึ้น ทำให้เขามองหาบริษัทเป้าหมาย
ต่อไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งมาเจอกับ Disney
1
ถ้าถามว่าทำไมต้อง Disney คำตอบก็เพราะว่า ตอนนั้นราคาหุ้น Disney ตกต่ำ จากปัญหารายได้ลดลงติดต่อกัน 3 ปี ภาพยนตร์ที่ล้มเหลว และต้นทุนสวนสนุกที่สูงมาก
1
แต่ด้วย Disney เป็นหุ้นที่มีเรื่องราวน่าสนใจมานาน
ทำให้ Saul Steinberg ตัดสินใจเริ่มซื้อหุ้นของ Disney ในช่วงต้นปี 1984 ทันที
1
เขาเริ่มต้นซื้อหุ้น Disney ในราคา 50 ดอลลาร์สหรัฐ
จนภายใน 2 สัปดาห์ เขาสามารถถือหุ้นใน Disney
เพิ่มขึ้นเป็น 12.2%
1
ถ้าเป็นการซื้อหุ้นธรรมดาคงไม่เป็นไร แต่ชายคนนี้กลับประกาศที่จะซื้อหุ้น Disney ในสัดส่วนมากถึง 25%
1
การทำแบบนี้ ไม่ต่างอะไรกับการประกาศสงครามกับ Disney ว่าต้องการมาเป็นผู้ถือหุ้นคนสำคัญของบริษัท
ฝั่ง Disney ที่เห็นแล้วว่าชายคนนี้กำลังมาฮุบบริษัทแบบไม่เป็นมิตร จึงตัดสินใจโต้ตอบพฤติกรรมแบบนี้ ด้วยการทำให้สัดส่วนหุ้นของ Saul Steinberg น้อยลงไปเรื่อย ๆ
1
แล้ว Disney ใช้ท่าไหน เพื่อทำให้สัดส่วนหุ้นของเขาลดลงไปเรื่อย ๆ ?
คำตอบคือ Disney ใช้วิธีเข้าซื้อกิจการบริษัทอื่น ๆ แล้วใช้การแลกหุ้นของตัวเองกับผู้ถือหุ้นเดิมของบริษัทนั้น แทนที่จะใช้เงินสดของตัวเองจ่าย
ไล่ตั้งแต่การเข้าซื้อบริษัทอสังหาริมทรัพย์ Arvida ด้วยการแลกหุ้น 3.3 ล้านหุ้น หรือราว 10% ของหุ้น Disney ทั้งหมด
และซื้อกิจการ Gibson Greetings บริษัทผลิตการ์ดและกระดาษห่อของขวัญ แลกกับหุ้น Disney 6.2 ล้านหุ้น
ทั้งหมดนี้ ทำให้ภายในเวลาไม่นาน หุ้นของ Saul Steinberg ลดเหลือไม่ถึง 10% จากเดิมที่เคยมีอยู่ถึง 12.2% ของทั้งหมด
ซึ่งแน่นอนว่าเขาก็ไม่ยอมให้ Disney ทำแบบนี้ได้ง่าย ๆ
จึงตัดสินใจฟ้องศาลในข้อหาการตัดสินใจทางธุรกิจที่ไม่ถูกต้อง แต่สุดท้ายศาลก็ยกฟ้องคดีนี้ตกไป
3
แม้จะแพ้คดีกับทาง Disney แต่เขาก็เป็นคนที่ไม่ยอมแพ้อะไรง่าย ๆ เพราะหลังจากนั้น เขาตัดสินใจตั้งบริษัทโฮลดิงขึ้นมาชื่อว่า MM Acquisition
ถ้าลองสังเกตจากชื่อดี ๆ การที่เขาตั้งชื่อว่า MM ก็มาจาก Mickey Mouse ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ความสำเร็จของ Disney มาอย่างยาวนาน..
1
นั่นแปลว่า เขาเอาจริงเอาจังกับการที่อยากครอบครองกิจการของ Disney ให้ได้
แต่ครั้งนี้เขาไม่ได้ทำคนเดียว เพราะยังไปชวนเศรษฐีอย่าง Kirk Kerkorian ที่เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทสื่อบันเทิงและอสังหาริมทรัพย์จากนิวยอร์ก มาร่วมวงด้วย
โดยหว่านล้อมให้พาร์ตเนอร์คนใหม่นี้ ยอมถือหุ้นในบริษัทโฮลดิงที่เขาตั้งขึ้นมาใหม่ แลกกับสิทธิพิเศษต่าง ๆ ใน Disney หากดีลฮุบกิจการนี้สำเร็จ
ไล่ตั้งแต่การให้สิทธิ์เลือกซื้อสตูดิโอและคลังภาพยนตร์ต่าง ๆ ในเครือของ Disney
1
รวมไปถึงการมีสิทธิพิเศษในการพัฒนาที่ดินใกล้ ๆ Walt Disney World, Epcot Center ในฟลอริดา และ Disneyland ในแคลิฟอร์เนียอีกด้วย
หลังจากที่ได้พาร์ตเนอร์มาแล้ว Saul Steinberg ก็เสนอให้บริษัทใหม่ของเขาอย่าง MM Acquisition เสนอซื้อหุ้น Disney 37.9% ในราคาหุ้นละ 67.5 ดอลลาร์สหรัฐ
1
ถ้ายังจำได้ ก่อนหน้านี้ เขาเคยซื้อหุ้น Disney ในตลาดเพียงหุ้นละ 50 ดอลลาร์สหรัฐ นั่นแปลว่า เขากำลังซื้อหุ้นในราคาที่สูงกว่าเดิมพอสมควร
สุดท้าย Disney เลยยอมเจรจากับเขาเพื่อไม่ให้เขาไล่ซื้อหุ้นของบริษัทตัวเอง ด้วยการที่ Disney ยอมซื้อหุ้นคืนจากเขาในราคาหุ้นละ 70.8 ดอลลาร์สหรัฐ
2
โดยคิดเป็นเงินที่ Disney ต้องจ่ายมากถึง 297 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นเงินปัจจุบันเกือบ 30,000
ล้านบาทเลยทีเดียว
เท่านั้นยังไม่พอ Disney ยอมจ่ายเงินให้กับเขาอีก 28 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แลกกับการที่เขาจะไม่ซื้อหุ้น Disney อีกเป็นเวลา 10 ปีต่อจากนั้น..
1
แต่แน่นอนว่า การทำแบบนี้ทำให้นักลงทุนคนอื่นไม่พอใจมาก เพราะอยู่ดี ๆ ทำไม Saul Steinberg ถึงได้สิทธิพิเศษในการที่ Disney ซื้อหุ้นคืนเพียงคนเดียว
1
และไม่ใช่แค่เสียงวิจารณ์จากนักลงทุนเท่านั้น แต่การที่ Disney ซื้อบริษัท Arvida และ Gibson Greetings เข้ามา
ทำให้หนี้สินของบริษัทเพิ่มขึ้นถึง 2 เท่า
รวมไปถึงเสียงวิพากษ์วิจารณ์ไปยังคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ เพราะตอนนั้นยังไม่มีเงื่อนไขชัดเจนในการซื้อหุ้นคืนของบริษัท
ทำให้สุดท้าย แม้ Disney สามารถหยุดยั้งการกระทำของ Saul Steinberg ไว้ได้ แต่ตัวเองก็เจ็บช้ำอยู่ไม่น้อยแทน
อย่างไรก็ตาม หลังจากนั้นกลยุทธ์ที่เขาใช้กับ Disney ซึ่งเรียกกันว่า Greenmail ก็ทำได้ยากขึ้น เพราะต้องถูกบังคับให้จ่ายภาษีมากถึง 50% ของกำไรที่ได้จากการทำแบบนี้
1
ทำให้ในปัจจุบัน ไม่ค่อยเกิดเหตุการณ์แบบที่ Disney เคยเจออีกแล้ว และบริษัทต่าง ๆ ก็มีเครื่องมือทางการเงินมากขึ้น ในการต่อสู้กับความพยายามไล่ซื้อกิจการของคนนอก
1
แต่เรื่องราวนี้ก็ทำให้เรารู้ว่า Disney เคยเกือบถูกซื้อกิจการโดยคนอื่นไปแล้ว หากไม่ยอมจ่ายเงินค่าไถ่คืนเกือบ 30,000 ล้านบาทให้กับ Saul Steinberg
ซึ่งก็น่าคิดต่อเหมือนกันว่า ถ้า Disney ไม่ใช้วิธีซื้อหุ้นคืนจาก Saul Steinberg ที่ต้องใช้เงินหลักหมื่นล้านบาท Disney จะใช้วิธีไหนได้อีกบ้าง
หรือจริง ๆ แล้ว การใช้เงินหลักหมื่นล้านบาทเพื่อไถ่หุ้นบริษัทตัวเองคืน ก็อาจเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่ Disney สามารถทำได้ในเวลานั้นแล้ว..
1
โฆษณา