The Voice Pride กับความหลากหลายของประเทศไทย

ไม่นานมานี้ ผู้เขียนได้มีโอกาสรับชมรายการ “The Voice Pride” รายการ Spin-off ของ The Voice Thailand ที่จัดขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศไทย โดยมีจุดมุ่งหมายเฉลิมฉลองความหลากหลายทางเพศและสนับสนุนสมรสเท่าเทียม เนื่องในเดือน Pride แม้ว่ารอบ Blind Audition เทปแรกจะเริ่มออกอากาศในช่วงปลายเดือนมิถุนายน แต่เนื้อหาและเจตนารมณ์ของรายการกลับทรงพลัง และสมควรได้รับการพูดถึงอย่างต่อเนื่อง
จากเวทีแข่งขัน สู่เวทีแห่งการยอมรับ
The Voice คือรายการแข่งขันร้องเพลงระดับโลกที่ถือกำเนิดในประเทศเนเธอร์แลนด์เมื่อปี 2010 ก่อนจะถูกซื้อลิขสิทธิ์ไปผลิตในกว่า 60 ประเทศทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย ซึ่งออกอากาศครั้งแรกในปี พ.ศ. 2555 โดยมีจุดเด่นคือการตัดสินจาก “เสียง” เพียงอย่างเดียวในรอบ Blind Audition ไม่คำนึงถึงหน้าตา เพศ วัย หรือรูปลักษณ์ภายนอก
สำหรับ The Voice Pride นั้น ถือเป็นอีกหนึ่งพัฒนาการที่น่าสนใจและทรงคุณค่า เพราะไม่เพียงเปิดโอกาสให้ผู้เข้าแข่งขันที่เป็น LGBTQ+ ได้แสดงความสามารถอย่างเต็มที่ แต่ยังเปิดเวทีให้ “ความหลากหลาย” ได้ถูกเฉลิมฉลองในที่สาธารณะอย่างภาคภูมิ และเป็นที่ยอมรับมากขึ้นในกระแสหลักของสื่อไทย
เสียงที่มากกว่าการร้องเพลง
ตลอด 3 สัปดาห์ของการออกอากาศ ผู้เขียนได้ชมการแสดงจากหลากหลายบุคคล บางคนคุ้นหน้าคุ้นตาจากแวดวงบันเทิง หรือโดยส่วนตัว บางคนอาจไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อน แต่ทุกคนล้วนมี “เสียง” ที่สะท้อนตัวตน ความกล้า และความฝันได้อย่างน่าประทับใจ
หนึ่งในช่วงที่ถูกพูดถึงมาก คือการปรากฏตัวของ Mimoza Jazz หรือที่หลายคนรู้จักในชื่อ พี่โอ๊ต มณเฑียร ที่มาร่วมแข่งขันด้วยความมั่นใจและเฉิดฉายบนเวที แต่กลายเป็นกระแสเมื่อเธอเอ่ยถามโค้ช “ธามไท” ที่หันมาเลือกเธอในรอบ Blind Audition ว่า “ธามไทนี่เป็น LGBTQ+ ไหมคะ? เพราะถ้าให้อยู่ทีมชายแท้นี้ก็ลำบากใจเหมือนกัน”
คำถามของมิโมซ่าทำให้เกิดบทสนทนาทางสังคมอย่างกว้างขวาง หลายเสียงตั้งคำถาม หลายเสียงเห็นด้วย หลายเสียงตั้งข้อสังเกต ซึ่งแม้จะมีดราม่าเกิดขึ้นบ้าง แต่ผู้เขียนมองว่า ความแตกต่างทางความคิดเห็นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ในสังคมประชาธิปไตย และสุดท้ายแล้ว ทุกฝ่ายต่างหาทางออกอย่างสร้างสรรค์ พร้อมส่งต่อบทเรียนให้กับคนดูได้อย่างมีพลัง (ที่มา Spectrum https://www.facebook.com/share/p/1Cma7jgTpM/)
เมื่อความหลากหลายยังไม่ทั่วถึงเท่าที่ควร
แม้ The Voice Pride จะนับว่าเป็นก้าวย่างสำคัญของวงการบันเทิงไทยในการส่งเสริมความหลากหลายทางเพศ แต่ผู้เขียนอดตั้งคำถามไม่ได้ว่า “Pride” ที่ปรากฏในรายการนี้ยังจำกัดความไว้แค่ไหน?
ตัวอย่างเช่น กติกาการรับสมัครที่ระบุอายุผู้เข้าแข่งขันระหว่าง 15–60 ปี อาจมองว่าเป็นมาตรฐานทั่วไปของรายการแข่งขันร้องเพลงก็จริง แต่ตลอด 3 เทปที่ออกอากาศ ยังไม่ปรากฏให้เห็นการเป็นตัวแทนของน้องๆ เยาวชน หรือผู้สูงอายุที่มีความหลากหลายทางเพศเข้าร่วมเลย ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงคำถามสำคัญว่า โอกาสในการเข้าถึงเวทีนี้เท่าเทียมกันจริงหรือไม่
ยิ่งไปกว่านั้น กลุ่มผู้พิการยังคงเป็นกลุ่มที่ “ไม่ถูกพูดถึง” อย่างชัดเจน ไม่ว่าจะในเชิงกติกา รูปแบบการนำเสนอ หรือการจัดเวทีให้สามารถเข้าถึงได้จริง ทั้งในเชิงกายภาพและการสื่อสาร ซึ่งน่าเสียดาย เพราะกลุ่มเหล่านี้ต่างก็มีศักยภาพ มีเสียง และมีเรื่องราวที่ควรได้รับพื้นที่เช่นเดียวกัน
หาก “Pride” หมายถึงการเฉลิมฉลองความหลากหลายอย่างแท้จริง เราอาจต้องตั้งคำถามกลับไปยังผู้จัดว่า ความหลากหลายนั้นเปิดกว้างพอสำหรับ “ทุกคน” แล้วหรือยัง?
บทสรุป: เสียงที่ต้องเดินทางต่อ
“The Voice Pride” คือจุดเริ่มต้นที่งดงามของการสร้างพื้นที่ให้กับความหลากหลาย ไม่ใช่เพียงบนเวทีการแข่งขันร้องเพลง แต่ในบทสนทนาของสังคมไทยทั้งหมด อย่างไรก็ตาม การทำให้ Pride เป็นของทุกคนอย่างแท้จริงนั้น ยังต้องการความกล้าหาญ ความใจกว้าง และการสร้างพื้นที่อย่างเท่าเทียมสำหรับทุกกลุ่ม ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นใคร มีอัตลักษณ์เช่นไร หรืออยู่ในช่วงวัยใดของชีวิต
หากเสียงหนึ่งสามารถเปลี่ยนใจใครบางคนได้ เสียงของพวกเราทุกคนรวมกันก็อาจเปลี่ยนแปลงสังคมได้อย่างแท้จริง
ณัชพล เฉลยกุล
บางส่วนของโพสต์นี้ได้รับการสนับสนุนด้านเนื้อหาโดย ChatGPT (OpenAI)
โฆษณา