Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
บีลิ
•
ติดตาม
3 ก.ค. เวลา 20:09 • ความคิดเห็น
💥 เบื้องหลังราคาศัลยกรรมสุดถูก: กับดักที่หลายคนไม่ทันระวัง
ใครกำลังคิดจะทำเลสิค ใส่เลนส์เสริม หรือศัลยกรรมใด ๆ เพราะเห็นโฆษณาราคาถูก ขอให้ฟังประสบการณ์จริงจากผู้เคยผ่าน “มุมมืดของวงการความงาม” มาก่อน
ไม่ได้จะดิสเครดิตใคร ไม่ได้จะฟ้องร้องใคร แต่อยากให้รู้ทัน...ก่อนจะเสียทั้งเงินและกำลังใจแบบที่ฉันเคยเจอ
---
🎯 1. โฆษณาราคาเหยื่อล่อ: เห็นถูกไว้ก่อน แต่ของจริงไม่ใช่แบบนั้น
หลายคลินิก หรือแพลตฟอร์มสุขภาพ มักใช้คำว่า
“ราคาเริ่มต้นเพียง…”, “ทำได้ในงบหลักพัน”, “เหมาทั้งตา”
แต่พอเข้าไปจริง กลับเจอว่า:
ราคานั้น ไม่รวมค่าตรวจเบื้องต้น
หรือเมื่อตรวจแล้ว หมอบอกว่า “เคสนี้ทำไม่ได้ ต้องเพิ่มตัวเลือกแพงกว่า”
หรือกรณีหนักหน่อยคือ ซื้อคูปองไว้แล้ว แต่พอถึงเวลาทำจริง กลับถูกปฏิเสธ
❗ทำให้เสียทั้งเวลา เสียทั้งเงิน และหมดแรงใจกับการดูแลตัวเอง
---
🧷 2. ขึ้นโต๊ะแล้ว ค่อยบอกว่าต้องจ่ายเพิ่ม = เอาคนไข้เป็นตัวประกัน?
มีเคสที่เจอว่า ขั้นตอนเริ่มต้นไปแล้ว เช่น ทำความสะอาด ฉีดยาชา ฯลฯ
แล้วจู่ ๆ มีพนักงานมาแจ้งว่า “ต้องเพิ่มเงินนะคะ”
ซึ่งในจังหวะนั้น คนไข้ไม่รู้จะถอยยังไง เพราะ:
ไม่กล้าปฏิเสธ
กลัวโดนทิ้งไว้กลางทาง
รู้สึกไม่ปลอดภัยหากจะลุกออกมา
🧨 นี่คือพฤติกรรมที่หลายคนเรียกว่า "มัดมือชกแบบทางจิตวิทยา"
---
⚖️ 3. BMI ไม่ได้ใช้แค่เพื่อความปลอดภัยอีกต่อไป?
บางคลินิกอธิบายว่าการประเมินค่าดัชนีมวลกาย (BMI) ใช้เพื่อดูความเสี่ยงก่อนทำศัลยกรรม เช่น ดูดไขมัน
แต่...บางแห่งกลับใช้เป็น “ฐานคำนวณราคา”
เช่น BMI เกินเท่านี้ +5,000 / เกินอีกขั้น +10,000
บางคนไม่เคยรู้มาก่อนว่าท้องมีการแบ่งเป็น 3 จุดเล็ก ๆ ทำให้สุดท้ายโดนบวกเพิ่มหลายพัน–หลายหมื่น
📌 แม้จะเขียนไว้ในเงื่อนไข แต่หากไม่ได้อธิบายอย่างชัดเจน ก็ถือเป็น “การบอกไม่ครบถ้วน” ซึ่งผิดจริยธรรมด้านผู้บริโภค
---
🤐 4. ระบบรีวิวที่ไม่แฟร์: เล่าความจริงไม่ได้?
บางคลินิกมีระบบคัดกรองรีวิว เช่น:
ต้องส่งรีวิวให้ทีมงานก่อนโพสต์
รีวิวเชิงลบถูกซ่อน ถูกลบ หรือถูกคอมเมนต์เบี่ยงเบน
บางรายถึงขั้นโดนขู่ด้วยข้อกฎหมาย หากรีวิว “ทำให้คลินิกเสียชื่อเสียง”
😓 ทำให้หลายคนที่เจอประสบการณ์ไม่ดี ไม่กล้าพูดออกมา
---
❗แล้วเราจะรู้ได้ยังไงว่าที่ไหนไว้ใจได้?
พี่มีข้อแนะนำสั้น ๆ แบบไม่โดนหลอก:
1. อย่าดูแค่ราคา – ให้ดูรีวิวจากหลากหลายแหล่ง โดยเฉพาะกลุ่มปิดหรือรีวิวที่ไม่ผ่านการคัดกรอง
2. โทรถามโดยละเอียด – ถามให้ครบว่าราคานั้นรวมอะไร ไม่รวมอะไร มีการประเมินอะไรเพิ่มไหม
3. อย่าจ่ายเงินล่วงหน้าโดยไม่ตรวจสอบชื่อแพทย์และเลขที่ใบอนุญาต
4. เซฟหลักฐานไว้ทุกอย่าง – แชต, ใบเสนอราคา, เงื่อนไข ฯลฯ
5. ถ้ารู้สึกไม่ปลอดภัย…อย่าขึ้นเตียง! เรามีสิทธิ์ที่จะเลือก และปฏิเสธ
---
🌟 สุดท้ายนี้...
เราไม่ใช่เหยื่อ แต่คือผู้รอดคนหนึ่ง
ถ้าคุณเคยเจอแบบนี้ คุณไม่ได้โดดเดี่ยว
และถ้าคุณยังไม่เคย — ขอให้บทความนี้ เป็นสัญญาณเตือนก่อนจะก้าวพลาดไปเหมือนฉัน
🎭 6. หน้าม้า-ยิงแอด-สร้างภาพฝัน = กับดักทางอารมณ์
ทุกวันนี้การตลาดศัลยกรรมไม่ใช่แค่โปรโมชั่นถูก ๆ แล้ว
แต่มีการ “จัดฉาก” จนเหมือนอยู่ในโลกมายา เช่น:
หน้าเพจดูน่าเชื่อถือ ใช้ภาพ Before-After สวยมาก
มีรีวิวแน่นจาก “ผู้ใช้จริง” ที่อาจเป็น หน้าม้า หรือ อินฟลูเอนเซอร์รับงาน
ยิงโฆษณาซ้ำ ๆ ในโซเชียลให้รู้สึกว่า “ทุกคนไปทำที่นี่หมดแล้ว”
🚨 ทำให้ผู้บริโภครู้สึก “กลัวตกเทรนด์” และเชื่อใจคนรีวิวมากกว่าคลินิก
---
🐍 7. “สายร้อง - สายเชียร์” ที่แฝงตัวในวงการศัลยกรรม
นอกจากหน้าม้า ยังมีพวกที่ทำตัวเป็น “ศูนย์กลางอำนาจทางศัลยกรรม” โดย:
ปลอมตัวเป็นคนกลางระหว่างหมอกับผู้บริโภค
มีอิทธิพลในกลุ่มพูดคุยศัลยกรรม เช่น ตอบโพสต์ ตัดสินหมอว่า “ที่นี่ดี ที่นั่นพัง”
บางรายรับ “ค่าปิดปาก / ค่าลบโพสต์” หรือ “ค่าประสานงานให้จบเรื่องเงียบ ๆ”
🧨 สิ่งนี้อันตราย เพราะทำให้ เสียงผู้เสียหายจริงถูกกลบ และความจริงถูกควบคุม
---
🏥 8. คลินิกไร้ระบบช่วยชีวิต = ความเสี่ยงที่ไม่ควรมองข้าม
บางหมอเก่งจริง มีชื่อเสียงจริง...
แต่ ย้ายจากโรงพยาบาลใหญ่ มาเปิดที่คลินิกเล็กโดยไม่ดูสภาพแวดล้อม
📌 สิ่งที่เกิดขึ้นคือ:
ไม่มีห้องปลอดเชื้อจริง
ไม่มีอุปกรณ์ช่วยชีวิต (defibrillator, ventilator, ยากู้ชีพ ฯลฯ)
การวางยาสลบ ไม่ใช่วิสัญญีแพทย์ แต่เป็นพยาบาลวิสัญญี หรือบุคลากรที่ไม่ได้อยู่ประจำ
และที่น่ากลัวที่สุด:
หมอ 1 คน แต่วางยาคนไข้หลายคนพร้อมกัน
หากเกิดเหตุฉุกเฉิน = “ไม่มีใครช่วยทัน”
💔 เรื่องแบบนี้เคยเกิดขึ้นจริง...และบางรายเสียชีวิต
---
🔎 วิเคราะห์จากมุมพี่: หมอทำไมยอมลดต้นทุนขนาดนั้น?
เพราะ “กำไรจากศัลยกรรม 1 ราย” สูงมาก
ศัลยกรรมยอดฮิต (เลสิค, ดูดไขมัน, ทำตา ฯลฯ) ถ้าหักต้นทุนจริงอาจเหลือกำไร 40–70% ต่อเคส
ถ้าลดต้นทุน:
ไม่ต้องจ้างวิสัญญีแพทย์ (ค่าแรงสูง)
ไม่ต้องซื้ออุปกรณ์แพงที่ “ใช้เฉพาะเวลาฉุกเฉิน” (ดูเหมือนไม่จำเป็น)
ไม่ต้องจ้างพนักงานดูแลประจำหลายคน
❗ผลคือกำไรมากขึ้น...แต่เอาชีวิตคนไข้ไปเสี่ยงโดยไม่รู้ตัว
---
🔚 สรุปสุดท้าย...
คนไข้ไม่ได้ต้องการแค่ “สวยขึ้น” แต่ต้องการ “ปลอดภัยด้วย”
อย่าปล่อยให้การตลาดหรือรีวิวในโลกออนไลน์ชี้ชะตาชีวิตของเรา
ใครกำลังคิดจะทำเลสิค ใส่เลนส์เสริม หรือศัลยกรรมใด ๆ เพราะเห็นโฆษณาราคาถูก ขอให้ฟังประสบการณ์จริงจากผู้เคยผ่าน “มุมมืดของวงการความงาม” มาก่อน
ไม่ได้จะดิสเครดิตใคร ไม่ได้จะฟ้องร้องใคร แต่อยากให้รู้ทัน...ก่อนจะเสียทั้งเงินและกำลังใจแบบที่ฉันเคยเจอ
---
🎯 1. โฆษณาราคาเหยื่อล่อ: เห็นถูกไว้ก่อน แต่ของจริงไม่ใช่แบบนั้น
หลายคลินิก หรือแพลตฟอร์มสุขภาพ มักใช้คำว่า
“ราคาเริ่มต้นเพียง…”, “ทำได้ในงบหลักพัน”, “เหมาทั้งตา”
แต่พอเข้าไปจริง กลับเจอว่า:
ราคานั้น ไม่รวมค่าตรวจเบื้องต้น
หรือเมื่อตรวจแล้ว หมอบอกว่า “เคสนี้ทำไม่ได้ ต้องเพิ่มตัวเลือกแพงกว่า”
หรือกรณีหนักหน่อยคือ ซื้อคูปองไว้แล้ว แต่พอถึงเวลาทำจริง กลับถูกปฏิเสธ
❗ทำให้เสียทั้งเวลา เสียทั้งเงิน และหมดแรงใจกับการดูแลตัวเอง
---
🧷 2. ขึ้นโต๊ะแล้ว ค่อยบอกว่าต้องจ่ายเพิ่ม = เอาคนไข้เป็นตัวประกัน?
มีเคสที่เจอว่า ขั้นตอนเริ่มต้นไปแล้ว เช่น ทำความสะอาด ฉีดยาชา ฯลฯ
แล้วจู่ ๆ มีพนักงานมาแจ้งว่า “ต้องเพิ่มเงินนะคะ”
ซึ่งในจังหวะนั้น คนไข้ไม่รู้จะถอยยังไง เพราะ:
ไม่กล้าปฏิเสธ
กลัวโดนทิ้งไว้กลางทาง
รู้สึกไม่ปลอดภัยหากจะลุกออกมา
🧨 นี่คือพฤติกรรมที่หลายคนเรียกว่า "มัดมือชกแบบทางจิตวิทยา"
---
⚖️ 3. BMI ไม่ได้ใช้แค่เพื่อความปลอดภัยอีกต่อไป?
บางคลินิกอธิบายว่าการประเมินค่าดัชนีมวลกาย (BMI) ใช้เพื่อดูความเสี่ยงก่อนทำศัลยกรรม เช่น ดูดไขมัน
แต่...บางแห่งกลับใช้เป็น “ฐานคำนวณราคา”
เช่น BMI เกินเท่านี้ +5,000 / เกินอีกขั้น +10,000
บางคนไม่เคยรู้มาก่อนว่าท้องมีการแบ่งเป็น 3 จุดเล็ก ๆ ทำให้สุดท้ายโดนบวกเพิ่มหลายพัน–หลายหมื่น
📌 แม้จะเขียนไว้ในเงื่อนไข แต่หากไม่ได้อธิบายอย่างชัดเจน ก็ถือเป็น “การบอกไม่ครบถ้วน” ซึ่งผิดจริยธรรมด้านผู้บริโภค
---
🤐 4. ระบบรีวิวที่ไม่แฟร์: เล่าความจริงไม่ได้?
บางคลินิกมีระบบคัดกรองรีวิว เช่น:
ต้องส่งรีวิวให้ทีมงานก่อนโพสต์
รีวิวเชิงลบถูกซ่อน ถูกลบ หรือถูกคอมเมนต์เบี่ยงเบน
บางรายถึงขั้นโดนขู่ด้วยข้อกฎหมาย หากรีวิว “ทำให้คลินิกเสียชื่อเสียง”
😓 ทำให้หลายคนที่เจอประสบการณ์ไม่ดี ไม่กล้าพูดออกมา
---
❗แล้วเราจะรู้ได้ยังไงว่าที่ไหนไว้ใจได้?
พี่มีข้อแนะนำสั้น ๆ แบบไม่โดนหลอก:
1. อย่าดูแค่ราคา – ให้ดูรีวิวจากหลากหลายแหล่ง โดยเฉพาะกลุ่มปิดหรือรีวิวที่ไม่ผ่านการคัดกรอง
2. โทรถามโดยละเอียด – ถามให้ครบว่าราคานั้นรวมอะไร ไม่รวมอะไร มีการประเมินอะไรเพิ่มไหม
3. อย่าจ่ายเงินล่วงหน้าโดยไม่ตรวจสอบชื่อแพทย์และเลขที่ใบอนุญาต
4. เซฟหลักฐานไว้ทุกอย่าง – แชต, ใบเสนอราคา, เงื่อนไข ฯลฯ
5. ถ้ารู้สึกไม่ปลอดภัย…อย่าขึ้นเตียง! เรามีสิทธิ์ที่จะเลือก และปฏิเสธ
---
🌟 สุดท้ายนี้...
เราไม่ใช่เหยื่อ แต่คือผู้รอดคนหนึ่ง
ถ้าคุณเคยเจอแบบนี้ คุณไม่ได้โดดเดี่ยว
และถ้าคุณยังไม่เคย — ขอให้บทความนี้ เป็นสัญญาณเตือนก่อนจะก้าวพลาดไปเหมือนฉัน
🎭 6. หน้าม้า-ยิงแอด-สร้างภาพฝัน = กับดักทางอารมณ์
ทุกวันนี้การตลาดศัลยกรรมไม่ใช่แค่โปรโมชั่นถูก ๆ แล้ว
แต่มีการ “จัดฉาก” จนเหมือนอยู่ในโลกมายา เช่น:
หน้าเพจดูน่าเชื่อถือ ใช้ภาพ Before-After สวยมาก
มีรีวิวแน่นจาก “ผู้ใช้จริง” ที่อาจเป็น หน้าม้า หรือ อินฟลูเอนเซอร์รับงาน
ยิงโฆษณาซ้ำ ๆ ในโซเชียลให้รู้สึกว่า “ทุกคนไปทำที่นี่หมดแล้ว”
🚨 ทำให้ผู้บริโภครู้สึก “กลัวตกเทรนด์” และเชื่อใจคนรีวิวมากกว่าคลินิก
---
🐍 7. “สายร้อง - สายเชียร์” ที่แฝงตัวในวงการศัลยกรรม
นอกจากหน้าม้า ยังมีพวกที่ทำตัวเป็น “ศูนย์กลางอำนาจทางศัลยกรรม” โดย:
ปลอมตัวเป็นคนกลางระหว่างหมอกับผู้บริโภค
มีอิทธิพลในกลุ่มพูดคุยศัลยกรรม เช่น ตอบโพสต์ ตัดสินหมอว่า “ที่นี่ดี ที่นั่นพัง”
บางรายรับ “ค่าปิดปาก / ค่าลบโพสต์” หรือ “ค่าประสานงานให้จบเรื่องเงียบ ๆ”
🧨 สิ่งนี้อันตราย เพราะทำให้ เสียงผู้เสียหายจริงถูกกลบ และความจริงถูกควบคุม
---
🏥 8. คลินิกไร้ระบบช่วยชีวิต = ความเสี่ยงที่ไม่ควรมองข้าม
บางหมอเก่งจริง มีชื่อเสียงจริง...
แต่ ย้ายจากโรงพยาบาลใหญ่ มาเปิดที่คลินิกเล็กโดยไม่ดูสภาพแวดล้อม
📌 สิ่งที่เกิดขึ้นคือ:
ไม่มีห้องปลอดเชื้อจริง
ไม่มีอุปกรณ์ช่วยชีวิต (defibrillator, ventilator, ยากู้ชีพ ฯลฯ)
การวางยาสลบ ไม่ใช่วิสัญญีแพทย์ แต่เป็นพยาบาลวิสัญญี หรือบุคลากรที่ไม่ได้อยู่ประจำ
และที่น่ากลัวที่สุด:
หมอ 1 คน แต่วางยาคนไข้หลายคนพร้อมกัน
หากเกิดเหตุฉุกเฉิน = “ไม่มีใครช่วยทัน”
💔 เรื่องแบบนี้เคยเกิดขึ้นจริง...และบางรายเสียชีวิต
---
🔎 วิเคราะห์จากมุมพี่: หมอทำไมยอมลดต้นทุนขนาดนั้น?
เพราะ “กำไรจากศัลยกรรม 1 ราย” สูงมาก
ศัลยกรรมยอดฮิต (เลสิค, ดูดไขมัน, ทำตา ฯลฯ) ถ้าหักต้นทุนจริงอาจเหลือกำไร 40–70% ต่อเคส
ถ้าลดต้นทุน:
ไม่ต้องจ้างวิสัญญีแพทย์ (ค่าแรงสูง)
ไม่ต้องซื้ออุปกรณ์แพงที่ “ใช้เฉพาะเวลาฉุกเฉิน” (ดูเหมือนไม่จำเป็น)
ไม่ต้องจ้างพนักงานดูแลประจำหลายคน
❗ผลคือกำไรมากขึ้น...แต่เอาชีวิตคนไข้ไปเสี่ยงโดยไม่รู้ตัว
---
🔚 สรุปสุดท้าย...
คนไข้ไม่ได้ต้องการแค่ “สวยขึ้น” แต่ต้องการ “ปลอดภัยด้วย”
อย่าปล่อยให้การตลาดหรือรีวิวในโลกออนไลน์ชี้ชะตาชีวิตของเรา
1 บันทึก
1
2
1
1
2
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย