4 ก.ค. เวลา 04:20 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์

วิทยาศาสตร์ในภาพยนตร์เรื่อง Interstellar: เมื่อฟิสิกส์ กลายเป็นภาพยนตร์

หัวข้อรอง:
ความสมจริงของทฤษฎีฟิสิกส์ใน Interstellar
หลุมดำ, มิติเวลา, และแรงโน้มถ่วง: เมื่อแนวคิดเชิงทฤษฎีปรากฏบนจอ
ความร่วมมือระหว่างฮอลลีวูดกับนักฟิสิกส์ระดับโลก
🧭 บทนำ
Interstellar (2014) ผลงานของผู้กำกับ Christopher Nolan เป็นหนึ่งในภาพยนตร์ไซไฟที่ถูกพูดถึงมากที่สุดเรื่องหนึ่ง ไม่เพียงเพราะภาพที่สวยงามและเนื้อเรื่องที่เข้มข้น แต่ยังเพราะ "ความสมจริงทางวิทยาศาสตร์" ที่อยู่เบื้องหลังเรื่องราวนี้ Nolan ได้ร่วมมือกับนักฟิสิกส์ชื่อดังอย่าง Kip Thorne ผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ บล็อกนี้จะพาผู้อ่านไปสำรวจว่าแนวคิดฟิสิกส์ใดบ้างที่ปรากฏในเรื่อง Interstellar และมันใกล้เคียงกับความจริงทางวิทยาศาสตร์ขนาดไหน
🌌 เนื้อหา
1. หลุมดำและหลุมหนอน: การเดินทางผ่านอวกาศและกาลเวลา
ในเรื่อง นักบินอวกาศเดินทางผ่าน "Wormhole" หรือหลุมหนอน ที่ตั้งอยู่ใกล้ดาวเสาร์ เพื่อเข้าสู่อีกกาแล็กซี่หนึ่ง หลุมหนอนคือทางลัดในอวกาศ-เวลา ซึ่งแม้จะยังไม่มีการค้นพบจริงในธรรมชาติ แต่ก็เป็นไปได้ตามทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปของไอน์สไตน์
นอกจากนี้ “Gargantua” หลุมดำขนาดยักษ์ในเรื่องยังถูกสร้างขึ้นอย่างแม่นยำด้วยการคำนวณของ Kip Thorne จนกลายเป็นแบบจำลองทางวิทยาศาสตร์ที่ใช้ในการศึกษาในโลกจริง
2. การชะลอตัวของเวลา (Time Dilation)
หนึ่งในฉากที่สะเทือนใจคือเวลาบนดาว Miller ที่อยู่ใกล้หลุมดำ 1 ชั่วโมง เท่ากับ 7 ปีบนโลก ปรากฏการณ์นี้เรียกว่า Gravitational Time Dilation — ผลของแรงโน้มถ่วงที่รุนแรงทำให้เวลาช้าลงเมื่อเทียบกับบริเวณที่แรงโน้มถ่วงน้อยกว่า ซึ่งเป็นแนวคิดที่มีการพิสูจน์แล้วในระดับทดลองทางฟิสิกส์
3. มิติที่ 5 และการสื่อสารข้ามกาลเวลา
ฉากใน “Tesseract” ช่วงท้ายของเรื่อง ซึ่งตัวเอกเข้าไปในโครงสร้าง 5 มิติและสื่อสารกับลูกสาวในอดีต ผ่านการเคลื่อนย้ายแรงโน้มถ่วง เป็นการนำเสนอแนวคิดทางฟิสิกส์เชิงทฤษฎีที่ซับซ้อน เช่น String Theory และการมีอยู่ของมิติมากกว่าสี่ (3 มิติในพื้นที่ + 1 มิติของเวลา)
แม้จะเป็นส่วนที่เข้าใกล้ “วิทยาศาสตร์สมมุติ” มากกว่า แต่ Kip Thorne เองก็พยายามวางกรอบว่าเรื่องเหล่านี้ควรจะ “ไม่ผิดหลักวิทยาศาสตร์ที่รู้จัก”
4. ความร่วมมือระหว่างวิทยาศาสตร์กับศิลปะ
สิ่งที่ทำให้ Interstellar พิเศษคือการที่ทีมสร้างภาพยนตร์ไม่ได้แค่สร้างภาพลวงตา แต่ร่วมมือกับนักฟิสิกส์จริง ๆ เพื่อลดการใส่ข้อมูลผิด ๆ สู่ผู้ชม ตัวอย่างเช่น ภาพของหลุมดำ Gargantua ที่แสงถูกโค้งงอรอบ ๆ อย่างถูกต้องตามฟิสิกส์ — ภาพนี้กลายเป็นบทความวิชาการที่ตีพิมพ์ในวารสารฟิสิกส์ด้วย
📌 สรุป
Interstellar ไม่ใช่แค่ภาพยนตร์ไซไฟเพื่อความบันเทิง แต่ยังเป็นตัวอย่างของการใช้ศาสตร์และศิลป์ร่วมกันอย่างลงตัว หลายแนวคิดทางฟิสิกส์ที่ยากต่อการเข้าใจ เช่น หลุมดำ, หลุมหนอน และการชะลอตัวของเวลา ถูกนำเสนอออกมาอย่างเข้าใจง่ายและน่าติดตาม แม้จะมีบางส่วนที่ยังเป็นทฤษฎี แต่ก็ถูกสร้างอย่างมีรากฐานทางวิทยาศาสตร์จริง ๆ การชม Interstellar จึงเปรียบเสมือนการเข้าเรียนฟิสิกส์ควบคู่ไปกับการเสพงานศิลปะที่ทรงพลัง
โฆษณา