4 ก.ค. เวลา 06:13 • ประวัติศาสตร์

บทที่ ๔ - ทาษของคนหรือชาติ

ในคืนหนึ่งซึ่งวันรุ่งขึ้นจะเปนวันที่เจ้าแห่งกรุงราชภุช ได้กำหนดแล้วว่าเปนวันสำหรับเข้าตีกรุงเทวะปุระนั้น เปนคืนที่สงบเงียบมาก ลมที่พัดมาอย่างแผ่วเบาได้พลิ้วสรรพสิ่งที่อ่อนไหวทั้งหลาย ให้สบัดไปมาอย่างเฉื่อยช้า ลมนั้น, จะว่าเปนลมหนาวกมิใช่
จะว่าเปนลมฝนก็ไม่เชิง แต่เปนลมที่เย็นอย่างแสนปลาดอัศจรรย์ยิ่ง เหมือนกับวัตถุที่สาดให้รู้สึกเสียวแสยงไปทั้งกาย ซึ่งแม้จะเปนเพียงนั้นแล้วก็ตาม เจ้าชายเดชานุชิตยังคงทอดพระเนตร์เหยียดยาวอยู่บนพระแท่นอยู่ได้ด้วยพระอารมณ์อันสุขสงบ แสงจันทร์ที่ฉาบฉายเข้ามาภายในพลับพลาไชยนั้น ได้จับพระ​พักตร์ของพระองค์จนนวลละออ ทำให้พระองค์ทรงเพลินไปด้วยจินตนาการของอำนาจราชศักดิ์ทั้งหลาย
ซึ่งล้อมรอบพระองค์อยู่นั้นมากยิ่งขึ้นไปด้วย เพลิดเพลินไปนาน และก็เพลิดเพลินไปอีกจนใกล้จะหลับอยู่แล้ว ก็พอได้ยินเสียง ๆ หนึ่งเกิดขึ้น เปนเสียงที่ทูตลมได้หอบมาบรรณาการจากพลับพลาของเจ้าหญิงกนกเลขา เสียงนั้นเปนเสียงแปลกปลาดกว่าเสียงใด ๆ ทั้งสิ้น คือเปนเสียงของพิณเจ็ดสาย เปนเสียงในภาษาของตนตรี เสียงนั้น, บางคราวก็ดังเหมือนกับมีแมลงมากะซิบที่หู บางคราวก็เหมือนกับมีเสียงก้องของคนที่ตะโกนอยู่ในถ้ำ บางคราวก็เปนเสียงครางสะท้อนกลับมาเหมือนเสียง
ของคนที่อยู่ในป่าเปลี่ยว บางคราวสะท้านเหมือนเสียงของกาที่ร่ำร้องอยู่ในเวลาเช้าตรู่ ทำให้รู้สึกเหมือนตนกำลังเดิรอยู่ในสวน และได้ยินเสียงของผึ้ง, แมลง, นกเล็ก นกน้อย, เสียงใบไม้กะทบกัน, เสียงไม้เสียดสีกัน และ​ทุก ๆ เสียงในสวนนั้น กำลังประสานคลอกันอยู่ แต่นี้เปนเสียงของดนตรี เปนเสียงที่ได้สร้างขึ้นโดยจัดเสียงทั้งหลายเหล่านั้น ให้เปนระเบียบกันดีแล้ว คือเปนเสียงที่มนุษย์ได้สร้างขึ้นเพื่อเปนศิลปของการกล่อมความรู้สึกทั้งหลาย ดังนั้นจึงฟังปลาตกว่าเสียงในสวนนั้นมากมายนัก
เมื่อเสียงเช่นนี้เกิดขึ้นเมื่อใด มันได้สร้างอารมณ์ทุกชะนิดให้เกิดขึ้นได้เมื่อนั้นด้วย มันทำให้ขบขัน-มีความสุข ทำให้เศร้า-มีความทุกข์, ทำให้กลุ้ม-มีความเบื่อหน่าย, ทำให้เคลิบเคลิ้ม-มีความพอใจ, ทำให้รำคาญ-มีความเกลียด แต่ในที่สุดก็ทำให้ฟัง ในเมื่อได้ยินเสียงของดนตรี เพราะมันสามารถพรรณาให้เรามีความรู้สึกได้ดีกว่าภาษาใด ๆ ของมนุษย์ ฉะนั้น, เสียงที่ลอยวังเวงมาในกลางหาวในบัดนั้น จึงทำให้เจ้าเดชานุชิตเหมือนกับถูกตรึงอยู่บนพระแท่น.
เสียงนั้นหายไปครู่หนึ่ง แล้วก็เกิดขึ้นมาอีก พร้อม​กับเสียงคลอของเสียงคนในภาษาของดนตรี เสียงนี้เองทำความอัศจรรย์ให้เกิดขึ้นอีกไม่น้อยเลยเหมือนกัน คือเปนเสียงที่หมุนลอยไปตามเนื้อของเพลงอันหนึ่ง อันพรรณาถึงหัวใจของความรักอย่างแสนจะจับใจยิ่ง ซึ่งขณะที่เสียงใหม่นี้ลอยมาตามสถานที่ต่างๆ ได้ทำให้เข้าใจว่า เสียงนั้นแจ่มใสเหมือนเสียงของนกกางเขน, เยือกเย็นเหมือนน้ำตก, สั่นและแว่วเหมือนเสียงของคนที่กำลังหอบสะอื้นด้วยความช้ำใจอย่างหนัก และน่าหวาดเสียว
เหมือนกับได้เห็นความมืดของกลางคืน และในสุดท้ายจึงดังเหมือนเสียงที่กะชากหัวใจออกมาจากอก แล้วก็พาลอยไป-ลอยไป-ไปยังทุกแห่งและทุกสถานที่ ซึ่งเต็มไปด้วยความร้อน, ความหนาวเย็น, และความอบอุ่น แล้วก็ค่อย ๆ จางลง เหมือนแสงอาทิตย์ที่ค่อย ๆ จางหายไปจากขอบฟ้า เหมือนละลอกน้ำที่ค่อย ๆ จางลบไปตามพื้นน้ำ ในที่สุดจึงค่อย ๆ จางดับลงสู่ความ​เรียบสงบ ทิ้งไว้แต่ซากของเสียงให้คงดังกังวาลอยู่ในพระกรรณของเจ้าชายหนุ่มเท่านั้น.
สิ่งเหล่านี้ ทำให้เจ้าชายเดชานุชิตได้ยินเหมือนกับเสียงเรียกของคนที่กำลังตกอยู่ในอันตรายที่ร้ายแรงยิ่ง จึงทำให้พระองค์รีบผวาขึ้นทันที แต่เมื่อพระสติอันมั่นคงได้หวลคงคืนมาได้ดังเก่าอีก จึงตรึงให้พระองค์ยืนเฉยอยู่ณที่นั้นได้อีกคราวหนึ่ง แล้วก็ทรงยิ้มอย่างเบื่อหน่ายและสั่นพระเศียรอย่างวิตก ได้ยืนกอตพระอุระอยู่นานมาก ซึ่งแม้จะได้พยายามรั้งหน่วงพระทัยไว้สักเพียงใดแล้วก็ตาม แต่อำนาจภายนอกทุกอย่าง คือ อำนาจของแสงดวงเดือนอันส่องกระจ่าง อำนาจของก้อนเงินแห่งเมฆที่
ลอยพริ้วระยับดังทางช้างเผือก, อำนาจของลมที่ย่างเข้าสู่ความกำดัดดึก, อำนาจของเสียงที่ยังแว่วอยู่อย่างแสนหวาน, และอำนาจของกลิ่นอโศกที่ปลิวอยู่ทั่วไปนั้น ได้สูงกว่าอำนาจความยับยั้งทั้งหลายของเจ้าชายเสียสิ้นแล้ว จึงทำ​ให้พระองค์ต้องระงับความวังเวง ด้วยการออกเดิรอยู่ภายใต้แสงนวลอันเยือกพระทัยที่ภายนอกพลับพลา แล้วก็ต้องเดิรตามกลิ่นของดอกไม้ป่าในยามดึกต่อไปอีก นิดเดียวเท่านั้นก็มาถึงพลับพลาของเจ้าหญิงกนกเลขา-นี่แล้ว คืออานุภาพแห่ง-เสียง !
เจ้าชายระงับพระทัยอย่างเด็ดขาดอีกครั้งหนึ่ง ที่จะไม่พยายามเข้าไปภายในพลับพลานั้น นอกจากเพียงประทับอยู่ที่คั่นบรรได เพื่อฟังสำเนียงขับของดนตรีที่โหยหวลอีกพักหนึ่งพอชื่นพระทัย แต่ขณะนี้ไม่ทำให้พระองค์ต้องสมหฤทัยพอเสียเลยแล้ว เพราะเปนขณะที่เงียบอย่างแสนเงียบ แม้แต่เสียงของแมลงตามยอดไม้ก็จะ
ไม่ได้ยิน คงเห็นแต่ทุกสิ่งทุกอย่างโดยรอบนั้นเต็มไปด้วยความวังเวง เต็มไปด้วยความสงบสุขของเวลากลางคืนที่ดึกสงัด และเปนเวลาช้านานจะได้ยินเสียงของลมอันเย็นแผ่วผ่านพระกรรณไปเปนบางครั้งสักคราวหนึ่ง ประกอบกับความรู้สึกใหม่​ที่เกิดขึ้น ตั้งแต่แรกเมื่อเจ้าชายได้ย่างเข้ามาในที่นี้ ได้เพิ่มมากระทบพระทัยเข้าอีก เปนสิ่งเคลือบที่ทำความสะท้านให้เกิดขึ้นทั่วพระวรกายของพระองค์ สิ่งนั้น คือความ
หอมที่ปลิวมาตามสายลมอันอ่อน ๆ เปนความหอมที่ชื่นชูดวงใจอย่างพิศวง เปนความหอมของสิ่งที่หอมหลายชะนิตรวมกัน คือหอมด้วยควันของไม้หอม หอมด้วยกลิ่นอบของเครื่องจันทน์ และหอมด้วยกลิ่นของดอกไม้สดหลายพรรณ เจ้าชายพยายามกวาดพระเนตร์ไปดูจนรอบ แต่ทราบไม่ได้เลยว่า ความหอมอันนั้นเกิดมาจากที่ใด ในภายหลังจึงตระหนักชัดว่า ต้นเหตุแห่งความหอมนั้น ออกมาจากภายในพลับพลาของเจ้าหญิงกนกเลขา
เปิดประตูชั้นนอกอย่างเบาเข้าไปได้โดยง่าย ภายในห้องน้อยนั้นไม่มีคน แต่ไม่ใช่ว่าจะไม่มีอะไรเสียเลย เพราะมีดวงประทีปส่องสว่างอยู่ทั่วห้อง มีกลิ่นกฤษณาและกำยานลอยโชยอยู่ทั่วไป มีดอกไม้​หลายชะนิดวางอยู่บนกลุ่มเบาะที่ริมห้อง ซึ่งเมื่อ
เจ้าชายได้พิจารณาโดยทั่วแล้ว ก็ทรงเชื่อได้อย่างแน่นอนว่า ภายในห้องนั้นยังไม่มีสิ่งสำคัญอยู่อย่างเดียว คืออาวุธที่จะประหารคนให้ตายได้ พระองค์จึงสูดกลิ่นเหล่านั้นเข้าไปจนเต็มความรู้สึกของหัวใจ แล้วก็ทรงรู้สึกอีกว่า กลิ่นเหล่านี้หอมหวานอะไรถึงปานนั้น เปนอีกอย่างหนึ่งแล้ว คือสิ่งนี้เปนอานุภาพของ-กลิ่น !
เจ้าชายทรงแหวกม่านที่กั้นอยู่นั้นออกอย่างเร็ว เจ้าหญิงจึงหันมาด้วยความตกพระทัย แต่แล้วก็ตรัส
“ฝ่าบาท!”
“แม่กนกเลขา! เธอยังไม่นอนอีกหรือ”
เจ้าหญิงยังคงตลึงอยู่ด้วยความตื่นเต้น วงพักตร์ที่อมไว้ด้วยแสงจันทน์นั้น เหมือนถูกทาบทาไว้แล้วด้วยสีของเพทายและไพฑูรย์ พระเนตร์เปนประกายยิ่งขึ้นกว่าแต่ก่อน ริมฝีโอษฐ์เผยออกเล็กน้อย ทำให้​เห็นเปนรูปที่ซึ้งและพิศดารยิ่ง และทำให้เห็นมุกต์แห่งทนต์ของพระนางเปนระเบียบอย่างชัดเจน พระอุระอันเปล่งนั้นกำลังกะเพื่อมขึ้นลงและเหมือนละลอกที่กำลังเคลื่อนอยู่ที่ใต้ท้องน้ำ ท่อนพระกายอันอ่อนระทวยทรง
อยู่บนเพลาและชงค์ที่งออยู่ในลักษณของการพับเพียบ พระกรซึ่งแน่นและนวลกำลังวางอยู่บนพิณเหมือนมิได้ตั้งพระทัย และนอกจากนั้นแสงจันทร์ซึ่งสาดเข้ามาทางหน้าต่างที่กำลังเปิดอยู่อย่างโอ่โถงนั้น ได้ทำให้ภายในห้องเหมือนกับทาบทาไว้แล้วด้วยแสงของเงินยวง ซึ่งสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ ได้ฟื้นความความรู้สึกของเจ้าชายแต่หนนี้ ให้หวลไปถึงหนหลัง ครั้งที่เจ้าหญิงกำลังทรงสิ้นสมปฤดีอยู่บนพระแท่นของพระองค์ เมื่อหลายวันมาแล้วนั้นอีก แต่ครั้งนี้ได้ทำให้เจ้าชายรู้สึกเชื่อมั่นยิ่งขึ้นกว่า
ครั้งนั้นไปอีกว่า เจ้าหญิงไม่แต่จะเปนรูปปั้นที่น่ารักเท่านั้น ยังเปนแม่พระที่มีพระโฉมอันน่าพิศวงที่สุดอีกด้วย พระองค์จึงมั่น​พระทัยนักว่า โฉมอย่างเจ้าหญิงดังนี้ ต้องเปนเทพธิดาจึงจะเหมาะกว่าที่จะเปนนางยักขิณี และนอกจากนั้น ก็ต้องไม่ใช่เปนสิ่งที่ควรจะกลัวแม้แต่อย่างใดเลย นอกจากจะเปนได้อย่างเดียว คือเปนสิ่งควรจะสวาทเท่านั้น แล้วก็เปนอีกครั้งหนึ่ง ที่เจ้าชายจะวางตาให้ผละจากไปเสียมิได้ ความรู้สึกเช่นนี้จึงได้ถูกบั่นไปอีกแล้วด้วยอานุภาพแห่ง-รูป!
เจ้าหญิงทรงตอบอย่างพยายามจะระงับความตื่นเต้นไว้ด้วยความมั่นหมายและมานะเปนอย่างยิ่ง แต่จะบังคับเสียงมิให้สั่นเสียทีเดียวนั้นมิได้.
“แล้วก็ฝ่าบาทเล่าเพคะ”
เจ้าชายเดชานุชิตก้าวเข้ามานั่งร่วมบรรจฐรณ์อย่างปกติภาพ ซึ่งแม้เจ้าหญิงกนกเลขาจะรู้สึกหวั่นพระทัยอยู่ แต่ก็ซ่อนไว้เสียด้วยความองอาจ เจ้าชายจึงยิ้มและตรัสอย่างพอพระทัย
“ฉันอยากจะฟังเสียงพิณและเสียงร้องเพลงของ​เธออีก เสียงเหล่านั้นเหมือนย้อมไว้แล้วด้วยน้ำตา ฉันเข้าใจว่าเธอคงมีความสุขเปนอันมากทีเดียว”
เจ้าหญิงย้อยพระเศียรลงอย่างอ่อนระโหย แล้วก็กลับเงยขึ้นอีกเพื่อท้ากับดวงจันทร์
“หม่อมฉันมีความสุข ? อาจจะจริงกระมังเพคะ เพราะเวลานี้หม่อมฉันไม่ทราบแล้วว่าจะเปนทุกข์ไปทำไมอีก แต่บางทีฝ่าบาทอาจจะรู้สึกได้ว่า คนเราทราบเสมอว่าสิ่งไรถูก แต่มักไม่เข้าใจ ว่าสิ่งนั้นจะเปนไปได้หรือไม่”
“เมื่อเสียงของเธอทำให้ฉันเปนสุขขึ้นแล้ว ฉันจะเข้าใจเธอให้แปลกไปกว่านี้อีกอย่างไรได้ เพราะในสนามรบย่อมมีแต่เสียงโห่ร้อง, เสียงครวญคราง เสียงลงดาบและมีแต่เสียงร้องเพลงปลุกใจที่ดังเหมือนเสียงฟ้าผ่าเท่านั้น แต่เมื่อได้เกิดเสียงของความสุขอย่างอัศจรรย์เช่นนี้ ผู้บรรเลงจะไม่มีความสุขไปด้วย ด้วยอย่างนั้นหรือจ๊ะ.”
​“เปล่าเลยเพค่ะ เพราะหม่อมฉันรู้สึกว่า ได้เปล่งเสียงออกมาด้วยความช้ำใจอย่างหนักหนาเหลือเกิน”
“ถ้าเช่นนั้น ฉันเห็นจะผิดไปเสียแล้ว ในการที่มาหาเธอ ด้วยขณะที่เรากำลังมีทุกข์หนัก”
“ไม่ใช่เรามีความทุกข์ดอกเพค่ะ เพราะฝ่าบาทกำลังสมบูรณ์อยู่ด้วยความสุขทุกประการ คือความสุขในอำนาจ ความสุขในการฆ่ามนุษย์ และความสุขในการที่จะได้ขยี้นครของหม่อมฉันแล้ว”
“แต่ฉันก็มีความทุกข์หนัก ในเรื่องที่ต้องว้าเหว่อยู่คนเดียว เพราะไม่มีเธออยู่ด้วย”
“เดี๋ยวนี้ก็มีอยู่แล้วไม่ใช่หรือเพคะ”
“แต่มีในขณะที่เธอกำลังเปนทุกข์หนัก”
“ทำไมฝ่าบาทจะต้องมาเปนทุกข์ไปกับหม่อมฉันด้วยล่ะเพคะ เพราะหม่อมฉันย่อมตกอยู่ในอำนาจของฝ่าบาท ซึ่งจะทำตามอำเภอพระทัยด้วยประการใด ก็ย่อมได้ทั้งสิ้นอยู่แล้ว”
​“เธอเชื่อหรือว่า ฉันจะทำกับเธอได้ถึงเพียงนั้น”
“หม่อมฉันทราบไม่เลยทีเดียวเพคะ”
“บางทีฉันก็ทราบได้แล้ว ว่าเธอเกลียดฉันเปนที่สุด.”
“รับรองดังนั้นไม่ได้แน่ดอกเพคะ เพราะคนทั้งโลกไม่ค่อยจะจะเกลียดความชั่วนัก แต่มักเกลียดคนที่ได้ทำความชั่วเท่านั้น”
“คือเธอเกลียดฉัน เพราะฉันได้ทำความชั่วเช่นนั้นหรือ? มีความชั่วที่ฉันทำอย่างไรบ้าง ที่เธอเกลียด.”
“หม่อมฉันเกลียดความชั่วทุกอย่างแหละเพคะ”
“ถ้าเช่นนั้น เธอก็ไม่ได้เกลียดตัวฉันเลยน่ะซีจ๊ะ ฉันได้ทำความชั่วอะไรไปแล้วบ้าง เธอจะบอกให้ฉันทราบสักหน่อยจะได้ไหม ?”
“ทุกอย่างที่ฝ่าบาทได้ทำไปแล้วในโอกาศนี้นั่นแหละเพค่ะ เปนความชั่วทั้งสิ้น.”
​เจ้าชายทรงพระสรวลอย่างขบขัน แล้วก็ทอดพระเนตร์ทั่ววงหน้าของเจ้าหญิง
“เปนอันเข้าใจได้แล้วว่า คนทั้งหลายเกลียดความชั่ว แต่ทุกคนก็ทำความชั่ว.”
“ทำไมจึงเปนเช่นนั้นเพคะ.”
“จะไม่เปนอย่างนี้อย่างไรได้ เพราะคนเหล่านั้นต้องการทำอย่างที่ฉันทำทั้งสิ้น เธอทราบไหมว่า ทำไมเขาจึงต้องทำดังที่ฉันได้ว่านี้”
“ไม่ทราบเกล้า เพคะ”
“เขาต้องทำในทุกสิ่งทุกอย่างที่ผู้หญิงต้องการ”
“แต่หม่อมฉันไม่ต้องการสิ่งเหล่านี้เลย เพคะ.”
“ถ้าไม่ต้องการเช่นนี้ เธอจะต้องการอะไร.”
“หม่อมฉันต้องการความสงบ, ความสุข, ความอ่อนหวานและอ่อนโยน, ความอบอุ่นความสงบและความงาม, ความยุตติธรรม, ความดี, ความเรียบร้อย, ​ความสรรเสริญ และยังมีอีกมาก แต่ไม่ใช่สิ่งที่ฝ่าบาทได้ทรงปฏิบัติอยู่ในเวลานี้”
“สิ่งที่ฉันทำเหล่านี้ มีความเสียหายอย่างไรหรือ?”
“เสียหายโดยที่เปนทุกอย่าง ซึ่งเต็มไปด้วยความหลอกลวง เพคะ.”
“ฉันไม่เชื่อว่าสิ่งเหล่านี้จะเปนสิ่งที่หลอกลวงเลย แต่ฉันเชื่อว่า ผู้หญิงต้องการอย่างที่เธอได้บอกฉันมานั้นถูกแล้ว เพราะเธอเปนผู้หญิงผู้หนึ่ง แต่ฉันรู้สึกว่า ยังมีบางอย่างในความต้องการของผู้หญิง ซึ่งสำคัญที่สุดกว่าทุกสิ่งที่เธอได้บอกมาทั้งสิ้นนั้น”
“ผู้หญิงจะต้องการอะไรให้มากไปกว่านั้นอีกเล่าเพคะ.”
“ผู้หญิงต้องการผู้ชายจ้ะ!”
“แต่หม่อมฉันไม่ต้องการผู้ชายที่เต็มไปด้วยความหลอกลวงดอกเพคะ.”
“อะไรเล่าจ๊ะ ที่เธอบอกว่าเปนความหลอกลวง​อย่างหนักหนา.”
“จะมีอะไรเสียอีกเล่าเพคะ นอกจากอำนาจ, ยศหรือศักดิ์ ทั้งหลายเท่านั้น.”
“จะแปลกอะไร เพราะทุกอย่างที่เธอเห็นอยู่รอบกายเหล่านี้ ล้วนแต่เปนความหลอกลวงทั้งสิ้นอยู่แล้ว แต่ด้วยสิ่งเหล่านี้ต่างหาก ที่จะเปนเครื่องมือสำหรับดำเนินการไปสู่ความปรารถนาทุกอย่างที่เธอได้พูดมาแล้วนั้นได้.”
“แต่ฝ่าบาทไม่ได้ทรงใช้สิ่งเหล่านี้ให้เปนเครื่องมือสำหรับความดีแม้แต่อย่างหนึ่งอย่างใดเลย นอกจากใช้สำหรับความชั่วอย่างแสนชั่วที่สุดเท่านั้น คิดดูซีเพคะ ถ้าฝ่าบาทได้ใช้เครื่องมือเหล่านี้ไปประกอบเปนผล ใยความดีทุกอย่างตามที่หม่อมฉันได้ทูลมาแล้ว จะเปนของสง่า, สดวกและเหมาะกว่าที่ฝ่าบาทจะทำดังที่ทำอยู่นี้อย่างยิ่งทีเดียว เพราะสิ่งเหล่านี้ล้วนแล้วแต่ทำให้เกิดความทุกข์, ความลำบากและน่าเกลียด​น่ากลัวทุกสิ่งทุกอย่าง เหลือที่หม่อมฉันจะทูลให้ทรงทราบได้ครบถ้วนทีเดียวเพคะ.”
“จะทำอย่างไรได้เล่า เจ้าหญิง ในเมื่อคนทั้งโลกต้องการอย่างที่ฉันได้ทำมาแล้วดังนี้ ฉันก็เคยบอกให้เธอทราบมาแล้วไม่ใช่หรือว่า คนทั้งหลายยังไม่พ้นความหมุนเวียน ยังไม่พ้นจากความชั่วทุกอย่างไปได้ เพราะแม้แต่คนที่สุจริตก็ยังพยายามปกปิดความลับของตัวอยู่ แต่คนทั้งสิ้นย่อมต้องพึ่งพาในกันและกันเสมอ และคนที่รวมกัน
อยู่ก็ย่อมต้องมีหัวหน้าที่สำหรับให้ความมั่นคงและเด็ดขาดแก่เขา และหัวหน้านั้นก็ต้องทำทุกอย่างในความต้องการของเขา เพื่อดำรงฐานะหัวหน้าที่ของตนให้มั่นคงต่อไปได้ ฉะนั้นจึงเปนความจำเปนอยู่เองที่ฉันจะต้องหาอำนาจ, ยศและศักดิ์ทั้งสิ้น เพื่อความมั่นคงและยิ่งใหญ่ให้แก่พลเมืองของฉัน”
“แต่ฝ่าบาทเปนผู้ที่ฉลาดพออยู่อย่างยิ่งแล้ว ทำ​ไมจะต้องใช้วิธีการเช่นนี้ เพื่อทำตามความมุ่งหมายอย่างเสียหายด้วยเล่า เพคะ เพราะคนเราเมื่อรู้สึกว่าได้อำนาจ, ยศหรือศักดิ์ขึ้นมาแล้ว ยอมหยิ่งยะโสทะนงองอาจ โดยทราบไม่ได้เลยว่า สิ่งที่ตนได้มานั้นเปนเครื่องหมายของอะไรกัน จึงยอมทำตนให้ถูกเครื่องหมายดังนั้น นำไปทุกทาง แม้ว่าจะเปนทางที่ผิดหรือชั่วร้ายอย่างไรก็ดตาม ถ้าฝ่าบาทยังคงปล่อยให้คนทั้งหลายหลงละเลิงไปดังนี้ เมื่อไรจึงจะได้พบความงามได้สักทีเล่าเพคะ”
“ความดีงามของสิ่งทั้งหลายย่อมมีอยู่อย่างเดียว แต่จะให้ทุกคนรู้จักความดีงามอันนั้นให้เหมือนกันหมดย่อมไม่ได้ เพราะคนไม่มีความฉลาดและรู้สึกเหมือนกันทุกคนไป เมื่อคนของฉันเห็นว่าสิ่งเหล่านี้เปนความดีไปทุกคนแล้ว ถ้าฉันเห็นด้วยกับเธอไปคนเดียว ใครจะทราบได้บ้างว่า ฉันจะโง่หรือฉลาดเพียงไหน ?”
​“แต่เปนเพียงการเห็นแก่ตัวของฝ่าบาทเท่านั้นดอก เพคะ เพราะฝ่าบาทย่อมพร้อมอยู่แล้วด้วยอำนาจ, ปัญญาและความรู้ในสิ่งที่ดีและงามทั้งหลาย เพียงใช้ชีวิตของฝ่าบาทให้ถึงที่สุดเท่านั้น คนทั้งสิ้นก็ย่อมฉลาดพอที่จะทราบความมุ่งหมายของฝ่าบาทได้เปนอย่างดี แต่สิ่งที่ฝ่าบาทได้ทรงทำมาแล้ว ไม่แต่จะเปนความต้องการของพลเมืองอย่างเดียวเท่านั้น แต่เปนความปรารถนาของฝ่าบาทอยู่พร้อมด้วย.”
“อ๋อ! แน่นอนทีเดียว เพราะคนของฉันคงไม่ฉลาดพอที่จะรู้ความมุ่งหมายในการกระทำของฉันอย่างที่จะทำดังเธอว่านี้เปนอันขาด แม้ฉันจะได้ตายไปแล้วตั้งหลายร้อยชาติ”
“ถ้าเช่นนั้น ผ่าบาทควรเสด็จไปบรรทมได้แล้วเพคะ เพราะพรุ่งนี้ก็เปนวันที่ฝ่าบาทจะทำความพินาศให้กับนครของหม่อมฉันแล้ว.”
“ฉันจะไม่นอนที่ไหนเลยเปนอันขาด ถ้าฉันไม่ได้​นอนที่นี่เสียก่อน”
เจ้าหญิงแสร้งทำฉงน แล้วก็ตรสด้วยเสียงอันแผ่วเบาแต่ลึกซึ้ง
“ทำไมเพคะ”
“เพราะเธอเปนยาอันวิเศษ ที่สามารถจะสมานความมั่นคงของฉัน ให้มียิ่งขึ้นอีกเปนอันมาก”
“พุทโธ่เอ๋ย! ฝ่าบาทเพคะ”
“ทำไมหรือเจ้าหญิง” เจ้าเดชานุชิตเอื้อมพระหัดถ์ไปลูบปฤษฎางค์ของเจ้าหญิง ซึ่งต้องทำให้สะดุ้ง เพราะบาดแผลอันเกิดจากแซ่ของพระราชบิดานั้น ยังคงเกิดพิษและทำให้มีความระบมตรมตรอมอยู่ แต่ทำให้เจ้าหญิงรู้สึกนึกถึงหน้าที่ ๆ ตนจะต้องทำนั้น ได้อย่างสนิทสนมดียิ่งขึ้น เพราะพรุ่งนี้แล้วความพินาศจะได้ย่างเข้ามาครอบ
ครองนครเทวะปุระ และก็ยังมีครั้งนี้อีกครั้งเดียวเท่านั้น ที่ เปนโอกาศอันเหมาะในการประหารแม่ทัพตัวฉกรรจ์​ของราชสัตรูนี้ให้พินาศไปเสีย แม้ว่าเจ้าชายจะมีคุณธรรมบางประการ ที่ควรจะนิยมนับถืออยู่บ้างก็ตาม แต่ภาพความทรุดโทรมของนครเทวะปุระ, ภาพแขนที่ขาดของพระราชบิดา กับภาพความโศกเศร้าและความตายของชาวพระนครทั้งหลาย ได้มาลบล้างความรู้สึกที่เกิดขึ้นใหม่นี้เสียจนสิ้น ทุกสิ่งทุกอย่าง
ย่อมยุตติธรรมต่อการสงครามและความรัก แต่สำหรับเจ้าหญิงในขณะนี้ คำว่าชาติต้องมีน้ำหนักมากกว่าเจ้าชายเดชานุชิต ฉะนั้นจึงมีความสำคัญแล้ว ในการที่ต้องล้างราชสัตรูตัวร้ายนี้เสียให้สะบั้นไป ความรู้สึกอันนี้จึงมาสิงอยู่เต็มหน่วยพระเนตร์ของเจ้าหญิง แล้วดวงตาคู่เอกที่กำลังคลออยู่ด้วยน้ำตานั้น ก็กำลังมองดูเจ้าชายอยู่ด้วยวงหน้าที่เศร้าและแสนเศร้า ทำให้เจ้าชายเดชานุชิตจะมีหัวใจสำหรับที่จะฆ่ามนุสส์อยู่อีกไม่ได้แล้ว นอกจากตรัสด้วยเสียงที่รัวออกมาจากหัวใจที่เต้นแรง
​“ทำไมเธอจึงเศร้าสลดถึงเพียงนี้ เจ้าหญิงของฉัน”
เจ้าหญิงกนกเลขา ก็ทอดพระกายอันอ่อนระทวย อยู่ที่การท้าวพระกรของนาง แล้วทรงตรัสด้วยเสียงอันสั่นสะอื้น.
“ความเสียใจของหม่อมฉัน ไม่มีวันจะเหือดหายลงไปได้เสียแล้ว เพค่ะ เพราะไม่มีสิ่งใดเลยที่จะดับให้สิ้นไปเสียได้.”
“ฉันควรจะทราบได้บ้างแล้ว ว่าเธอยังมีความเสียใจอยู่ในเรื่องอะไร.”
“ฝ่าบาททอดพระเนตร์ดูซีเพคะ.” ว่าแล้วเจ้าหญิงก็ฉีกแพรด้านหลังให้ขาดออก แล้วจึงหันพระปฤษฎางค์ไปทางเจ้าชาย ซึ่งทำให้พระองค์ต้องตะลึงลาน แล้วก็ตรัสอย่างระงับพระสติ
“ฉันทราบแล้วจ้ะ แม่ยอดหัวใจ”
“ฉะนั้นแหละ เพค่ะ” ก้มพระพักตร์หันกลับมา ​“ความแพ้หรือชะนะของกรุงเทวะปุระ จึงไม่ทำให้หม่อมฉันต้องเปลี่ยนแปลงไปอีกแล้วอย่างใด เพราะความรู้สึกของหม่อมฉันไม่มีวันจะตรงกับผู้ใดได้แล้ว แม้กับความรู้สึกของฝ่าบาทที่หม่อมฉันต้องตกมาเปนชะเลยอย่างนี้ก็เหมือนกัน ความเปนอยู่ดังนี้จึงทำให้ความช้ำใจของหม่อมฉัน ไม่มีโอกาศจะหลีกเลี่ยงให้พ้นไปได้เลย ทำไมฝ่าบาทจึงไม่ฆ่าหม่อมฉันเสียละ เพคะ เพราะดีกว่าที่จะไว้ชีวิตให้นานต่อไปอีกเหมือนเช่นนี้.”
“เจ้าหญิง! แม่กนกเลขา!” เจ้าชายได้โอบพระกรกอด ซึ่งเจ้าหญิงก็มิได้ขัดขืนพระทัยประการ ใด “ฉันบอกแล้วว่าฉันฆ่าเธอไม่ได้ เพราะฉันยังต้องการเธอไว้อีก ความรู้สึกของเธอและของฉันอาจตรงกันได้ เพราะเธอก็ทราบแล้วไม่ใช่หรือจ๊ะ ว่าผู้ชายได้ยอมทำทุกอย่าง เพื่อความต้องการของผู้หญิง และผู้ชายเปนมหากำลังที่จะ
ใฝ่หาอำนาจใน​ความคุ้มครองความสุข มีความจำเปนในการสร้างครัว และหาทุกสิ่งเพื่อมาบำรุงชีวิตและคู่ครองให้สดชื่นอยู่ได้ และส่วนผู้หญิงนั้นก็มีอำนาจในการปลูก เสน่ห์ มีอำนาจในความอ่อนหวาน เพื่อหล่อเลี้ยงน้ำใจชายให้ทรหดอดทน ในที่สุดก็มีความสำคัญในการเปนมารดาโลก ซึ่งทั้งสองเพศต่างก็มีความสำคัญในหน้าที่ดังนี้ จึงขอให้เธอคิดดูบ้างว่า ที่ฉันได้ทำไปแล้วส่วนมากก็ทำไปเพื่อเธอคนเดียวเท่านั้น”
แต่หม่อมฉันไม่มีความปรารถนาเลยจนนิดเดียวเพค่ะ”
เจ้าชายเดชานุชิตรวบพระหัดถ์ของเจ้าหญิงมากุมไว้ในมือหนึ่ง จูบเส้นเกษาอันสยายอยู่ทั่วไปนั้น ด้วยความแสนสนิทเสน่หา เสียงที่ตรัสออกมาร้าวไปทั่วพระเศียร
“แต่ขอให้เธอคิดดูบ้างว่า สิ่งนั้นเพียงเปนหน้าที่ของผู้ชายที่จะต้องทำต่อกันเท่านั้น แต่หน้าที่ ๆ ผู้ชาย​ที่จะทำต่อผู้หญิงนั้นมีอยู่ต่างหาก ถ้าเธอจะให้ฉันทำอย่างใดอย่างหนึ่งเพื่อตามใจเธอแล้ว ต้องเปนสิ่งที่ต้องบกพร่องอยู่อย่างมากนะจ๊ะ แม่กนกเลขา
ของฉัน ฉันรู้สึกว่าเธอแค้นใจ ในการกระทำของฉันนี้อยู่มาก แต่ถ้าจะไม่ให้ฉันทำดังนี้ก็ไม่ได้เหมือนกัน ถ้าเธอแค้นมากนัก ก็ฆ่าฉันเสียซีจ๊ะ เพราะฉันก็ทราบอยู่ไม่น้อยเลยว่า เธอต้องการจะฆ่าฉัน แต่ถ้าฉันตายอยู่ในความต้องการของเธอ ก็ไม่แปลกอะไรนักที่ฉันจะต้องเสียชีวิตไป.”
เจ้าหญิงชบพระเศียรลงกับซอกพระศอของเจ้าชาย ทรงสะอื้นด้วยเสียงอันแผ่วเบา
“หม่อมฉันจะฆ่าฝ่าบาทอย่างไรได้ เพคะ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างที่ล้อมรอบอยู่นี้ ล้วนแต่เต็มไปด้วยความสดชื่นและอ่อนหวานทั้งสิ้น ไม่มีสิ่งไรที่จะเปนอาวุธปนอยู่ด้วยเลย และหม่อมฉันก็เปนผู้หญิงไม่มีกำลังอะไรที่จะทำร้ายฝ่าบาทได้เลยทีเดียว ทั้งคุณ​ธรรมอันดีของฝ่าบาทอันมีอยู่มากดังนี้ แม้จะมีอาวุธทิพย์ที่ไหนมา หม่อมฉันก็ไม่สามารถฆ่าฝ่าบาทได้ดอกเพค่ะ.”
“ผู้หญิงช่างใจดีอะไรอย่างนี้ เราจะได้พบความเมตตา, กรุณาและสงสาร มีเต็มพร้อมอยู่ในตัวของผู้หญิงดังนี้เสมอ ถ้าเช่นนั้นความรู้สึกของเราได้ตรงกันแล้วกระมังจ๊ะ.”
“ชีวิตของหม่อมฉันขณะนี้ แม้ไม่สิ้นไปเสีย ก็เหมือนล่องลอยอยู่ในอากาศที่ว่างเปล่า ที่ฝ่าบาทได้ทรงพระกรุณาแก่หม่อมฉันถึงเพียงนี้ ก็เหมือนกับเปนผู้รองรับชีวิตของหม่อมฉัน ให้ฟื้นคงคืนมาสู่ความชุ่มชื่นอีกครั้งหนึ่ง ความแพ้ชนะของกรุงเทวะปุระจึงจะเปลี่ยนแปลงหม่อมฉันไม่ได้อีกแล้ว เพราะหม่อมฉันได้เปนชะเลยของฝ่าบาทแล้วทั้งกายและใจ เพค่ะ”
พอเสียงหยุด น้ำพระเนตร์ของเจ้าหญิงก็หยดลง​ต้องพระหัตถ์ของเจ้าชาย ทำให้พระองค์ต้องเชยพระหณุของนาง ให้เงยพระพักตร์ขึ้น เปนหน้าที่มีแสงจันทร์ทาบทาไว้แล้วจนทั่ว น้ำพระเนตร์ที่เห็นในขณะนั้น จึงเปนประกายหล่อเยิ้มเต็มดวงตา
“แม่ยอดสวาท ! ถ้าเช่นนั้น ฉันก็ชนะแล้วทั้งกรุงเทวะปุระและตัวเธอ.”
ทรงกอดเจ้าหญิงมาประทับไว้กับอุระ ซึ่งเจ้าหญิงต้องระทวยเข้าหา พร้อมกับต้องอดทนต่อความรู้สึก ซึ่งเกิดจากความเจ็บช้ำทั่วพระปฤษฎางค์นั้น.
“เพค่ะ” เสียงของเจ้าหญิงกนกเลขา ดังเหมือนกับเสียงที่เรากระซิบกัน.
จากนั้น, ถ้าได้ออกไปยืนอยู่เสียที่นอกพลับพลา ก็จะไม่มีโอกาศจะได้ยินสิ่งใดภายในพลับพลานั้นอีกแล้ว นอกจากจะรู้สึกถึงความปรวนแปรของสิ่งทั้งหลายอันเกิดขึ้นภายนอกเท่านั้น ขณะนี้เมฆได้ปลิวผ่านดวงจันทร์ไปเปนริ้วเปนขบวน จึงทำให้ทั่วพิภพ​กระจ่างขึ้นบ้างสลัวบ้าง เปนลำดับไปอย่างขาดความมีระเบียบเรียบร้อย และทั่วทั้งหมู่อากาศก็กาหลอลหม่านไปด้วยอำนาจของสายลม เปลี่ยนแปลงสภาพของดอกไม้และต้นไม้ ให้ทิ้งกลีบของดอกและใบตกปลิวไปตาม
พื้นดินอย่างเกลื่อนกลาด แมลงและผึ้งก็ว่อนอยู่ด้วยการย้ายจับหมู่เกษรของดอกไม้ พื้นน้ำทั้งหลายก็พริ้วไปเปนละลอกเล็ก ๆ และเปนทางขาวไปจนจดฝั่ง แต่จะเกิดสิ่งใดขึ้นบ้างก็ตาม น้ำค้างคงพรมชื้นฉ่ำไปทั่วทุกสิ่งทุกอย่างอันบรรดามีอยู่ทั่วพื้นแผ่นดินตรงนั้น ทำให้เกิดความหวานและสดชื่นขึ้นอย่างเต็มไปด้วยความอัศจรรยบรรดาลยิ่ง จากนี้ก็จะไม่พบเห็นอะไรที่แปลกปลาดอีกแล้ว นอกจากกำไลข้อเท้าของเจ้าหญิงกนกเลขาถูกเปลื้องออกจากความเปนพรหมจาริณี.
เจ้าหญิงโบยโบกพัชนีกระพือลม เพื่อให้ความเย็นชื่นกับเจ้าชาย ซึ่งกำลังบรรทมอยู่อย่างผาสุข​นั้น ด้วยพระพักตร์อันหวานแฉล้ม ทำให้เจ้าชายทรงจ้องดูอยู่อย่างพอพระทัย และปรากฎรอยยิ้มอยู่ในความสงบมิขาดได้ ในที่สุดเจ้าหญิงจึงกุมพระหัตถ์ของเจ้าชายไว้ด้วยอุ้งมืออันอบอุ่นของนางทั้งสองข้าง ตรัสประโลมด้วยสุรเสียงอันแหลมและกังวานซึ้ง
“ฝ่าบาทไม่กลับไปบรรทมที่พลับพลาของฝ่าบาทหรือเพคะ หม่อมฉันไม่อยากให้ฝ่าบาททรงบรรเทิงจนเกินไปนัก เพราะจะทำให้เสียการได้”
“ถูกแล้วจ้ะ แม่ยอดดวงใจ ขอบใจที่หวังดีต่อฉัน” เจ้าชายทรงกายขึ้นนั่ง จูบที่ช่วงไหล่อันนวลละออของเจ้าหญิงพลางรับสั่ง “เมื่อเธอได้มาให้ความเข้าใจกับฉันเหมือนดังนี้ ความผิดทั้งหลายที่ เปนมาแล้ว ซึ่งเปนความถูกของฉัน แม้ว่าพรุ่งนี้จะเปนเวลาที่ฉันต้องทำลายกรุงเทวะปุระ ขอให้เธอเข้าใจเถอะนะว่า มันเปนกิฬาอัน
หนึ่งของหน้าที่เท่า​นั้นนะจ๊ะ เพราะฉันย่อมเข้าใจดีว่า จะควรปฏิบัติตนต่อพ่อตาของฉัน ต่อสุดสายใจของฉัน และต่อพลเมืองของเราอย่างไร ต่อจากนั้นฉันก็จะหาทุกสิ่งที่เปนความดีงามของเราทั้งหมด เพื่อมาเชิดชูสง่าราศีให้กับเธอ จำคำพูดของฉันนี้ไว้ได้ดีไหมจ๊ะ แม่กนกเลขาของฉัน.”
“เพค่ะ” เจ้าหญิงส่งชายพระเนตร์อันซาบพระทัยไปให้กับเจ้าชาย “เราเหน็จเหนื่อยด้วยการสนทนามานานแล้ว ฝ่าบาทไม่ดื่มเพื่อดับความกระหายเสียบ้างหรือเพคะ.”
“จ้ะ, รู้สึกคอแห้งเต็มทีแล้ว” เจ้าชายตอบ
ดังนั้น, เจ้าหญิงจึงเสด็จไปที่คณโฑน้ำโสม เลือกจอกเล็กซึ่งบรรจุน้ำได้ไม่พอกับความกระหาย ขึ้นมาและรินน้ำโสมกลับมายังพระราชสวามี ซึ่งสยุมพรกันด้วยลักษณคนธรรพ์วิวาหะนั้น แล้วจดขอบจอก​ลงที่พระโอษฐ์ของเจ้าชายพลางตรัส
“ดื่มเสียซี เพคะ.”
เจ้าชายรับจอกมาถือไว้ ทรงรับสั่งว่า
“จำได้ไหมเจ้าหญิง เมื่อครั้งที่เธอไม่ได้รับถ้วยน้ำโสมจากฉัน เพราะเปนด้วยครั้งนั้นเรายังไม่เข้าใจกันพอ แต่เดี๋ยวนี้เราเปนคนเดียวกันก็แทบจะว่าได้แล้ว ดังนั้นขอให้เราดื่มด้วยกันเถอะนะจ๊ะ.”
เพียงองค์ละจิบเดียวเท่านั้น น้ำในจอกเล็กก็หมดไป เจ้าหญิงจึงกลับไปรินมาอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งครั้งนี้เจ้าหญิงได้ตรัสว่า
“ฝ่าบาทยังกระหายมากกว่าหม่อมฉันนัก ดื่มเสียให้หมดเถอนะ เพคะ หม่อมฉันจะปลื้มใจในความสุขของพระองค์ และในการภักดีของหม่อมฉันนี้ยิ่งขึ้นด้วย.”
เจ้าชายยิ้มรับจอกมาถือไว้ โอบจูบพระนลาต​ของเจ้าหญิง แล้วดื่มรสโสมอันหวานชุ่มชื่นนั้นเข้าไปจนหมดสิ้น.
ครู่เดียวก็หาว ความตั้งพระทัยที่จะเสด็จกลับพลับพลาก็เปนอันต้องล้มเลิกไป ทรงทอดกายลงเหยียดยาวอย่างง่วงงุน แล้วเจ้าชายก็ตรัสออกมาด้วยเสียงแผ่ว
“ฉันง่วงมากเสียแล้ว แม่กนกเลขา! แต่อย่าลืมว่า พรุ่งนี้เปนวันที่ฉันจะต้องชนะกรุงเทวะปุระ เพราะวันนี้ฉันก็ได้ชนะเธอแล้ว...”
เจ้าเดชานุชิตพยายามจะรับสั่งต่อไปอีกไม่ได้ เนื่องจากพระเศียรหมุน พระหทัยสั่นเทิ้ม ภายในพระนาภีมวนอย่างแปลกปลาด แล้วก็ได้แต่ทรงบิดพระกายอยู่ไปมา พยายามจะดิ้น แต่ก็ดิ้นไม่ได้ เพราะรู้สึกหวาดหวิวไปทั่วทั้งพระองค์ จึงปรากฎอยู่ใต้ก็เพียงทั่วทั้งพระกายนั้นสั่นเทิ้ม จากนั้นพระพักตร์อัน​แสนวิสัยของเจ้าหญิง ก็มาลอยเด่นอยู่ในประสาททุกเส้นของเจ้าชาย ทำให้เกิดความรู้สึกอย่างปั่นป่วนไม่เปนระเบีย
บทั้งหลายขึ้น รูปร่างอันแสนสวย เสียงอันแสนหวานวังเวงและสดชื่น-กลิ่นดอกไม้, กลิ่นเครื่องหอมและกลิ่นอันแปลกปลาดน่าสนิทเสน่หาของเจ้าหญิง และรสอันซาบซึ้งของโลกียวิสัยเหล่านั้น ได้หลอกลวงพระองค์มาแล้วเพียงใด ก็ได้ทราบกะจ่างแจ้งกันแล้วในบัดนี้ ซึ่งทรงทราบเอาต่อเมื่อเวลาได้สายเสียแล้ว เพราะเจ้าชายเดชานุชิตเกือบจะสิ้นพระชนม์อยู่เดี๋ยวนี้แล้วนั่นเอง พระองค์พึ่งทราบตระหนักในบัดนี้เองว่า ผู้หญิงกับผู้ชายนั้นมีธาตุเนื้อเชื้อสายเปนอย่างไรกัน ซึ่งไม่จำเปนจะต้อง
บอกกันเลยก็ได้ว่า รูปร่างอย่างไหนเปนเพศชายหรือเพศหญิง เพราะลักษณะของการเปนผู้หญิงกับผู้ชายนั้นต่างหาก ที่ควรจะรู้สึกและทราบกันเปน​อย่างยิ่ง ทั้งผู้หญิงหรือผู้ชาย ต่างก็คิดว่า ต่างฝ่ายต่างก็หลอกลวงกัน ต่างฝ่ายต่างก็โทษความผิดร้ายซึ่งกันแลกัน ต่างเพศก็ไม่รู้จักที่จะใช้เพศของตนอย่างไร และต่างเพศต่างก็ไม่เข้าใจในลักษณะของอีกเพศหนึ่งว่าเปนอย่างไร ทั้งนี้เพราะมนุสส์โดยมากเปรียบเทียบคน ๆ หนึ่ง เปนลักษณะทั้งหมดของคนทั้งโลก ฉะนั้น, ธรรมชาติจึงได้สร้าง
ความพิศวงอันนี้ไว้ให้กับมนุสส์ เพื่อให้ศึกษาถึงความโง่เขลาของตนเอง เพื่อให้มนุสส์ส่วนน้อยพ้นจากวัฏสงสาร เพื่อให้มนุสส์รู้จักความดีที่แท้จริงนั้นเปนอย่างไร และเพื่อให้มนุสส์รู้สึกว่า การกระทำอันชั่วร้ายของตนนั้นเปนความผิดของตนเอง หาใช่เปนความผิดของความรักไม่ ความรัก! มนุสส์ทั้งหลายรู้จักสิ่งอันนี้ได้ดีแล้วหรือ จึงจะไปให้โทษกับความรักว่าเปนสิ่งที่ชั่วร้าย ความรักไม่ใช่สิ่งที่เต็มไปด้วยความชั่ว แต่​ความรักเปนสิ่งที่ประเสริฐที่เต็มไปด้วยศีลธรรมอย่างเดียวเท่านั้น ซึ่งทางของความ
รักนั่นต่างหากที่มีรากอันขม แต่มีผลอันหวานสดชื่น ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมเปนของยุตติธรรมสำหรับสงครามหรือความรักทั้งสิ้น และที่จะเข้าใจดังนี้ได้ ก็ต้องเข้าใจให้แท้เสียก่อนว่า ความรักนั้นคืออะไร ? ยังมีมนุสส์อยู่อีกเปนส่วนมากที่ไม่รู้จัก และก็ใช้ความไม่รู้จักกันแน่นอนนี้เอง ไปกล่าวขวัญถึงความเสียหายของการซึ่งไม่เข้าใจอะไรจริงอันนั้น บัดนี้! เจ้าชายเดชานุชิตได้สิ้นพระชนม์ไปเสียแล้ว เพราะการที่ไม่เข้าใจอะไรจริง!
ความรู้จักผิดชอบของคน ไม่จำเปนจะต้องตรงกับความรู้สึกเสมอไป เพราะความรู้สึกทั้งหลาย เกิดขึ้นเพียงเหตุการณ์อันมากระทบในทางตรงหน้าเท่านั้น ความรู้สึกอันได้เกิดมาแล้วกับเจ้าเดชานุชิต คือความรู้สึกใคร่ในรูปโฉม, ใคร่ในเสียงอันไพเราะ ​ใคร่ในกลิ่นอันยวนใจและใคร่ในรสสวาทอันซาบซ่านฤดีนั้น ได้ทำความรู้จักผิดชอบของพระองค์ปรวนแปรไปเปนอย่างมาก อันพึ่งเห็นหัวใจของแม่ทัพทั้งหลายในบัดนี้ได้
แล้วว่า ไม่สามารถที่จะฆ่าผู้ที่อ่อนแอกว่าตนได้เลย และยิ่งผู้ที่อ่อนแอนั้น ต้องเปนสตรีที่มีความน่ารักดังเจ้าหญิงกนกเลขานี้ด้วยแล้ว ก็ยิ่งสดวกและง่ายยิ่งขึ้น แม้ว่าตัวอย่างการทำลายแม่ทัพดังนี้จะมีมาแล้วจากการอันนาน แต่ในสมัยของเจ้าเดชานุชิตนี้ จะได้พบตัวอย่างซึ่งได้เกิดขึ้นเพียงครั้งนี้ครั้งเดียวเท่านั้น จึงเปนที่ทราบกันอยู่แล้วว่า เจ้าชายไม่ได้สิ้นพระชนม์ด้วยความรัก แต่ พระองค์ต้องเสียพระชนม์ด้วย
ความใคร่และความหลง ซึ่งมนุสส์ต้องตายด้วยโรคอย่างเดียวกันนี้เปนส่วนมาก ซึ่งแม้ไม่ตายเร็วดังนี้ แต่ก็ต้องตายในโอกาศอันหนึ่งในต่อไปนี้เสมอ เจ้าชายหนุ่มแห่งกรุงราชภุชจึงได้น้ำโสมซึ่งผสมด้วยยาพิษอย่างร้ายแรงเข้าไป และ​ภายในน้ำโสมถ้วยหลังที่เจ้าหญิงกนกเลขาได้ถวายนั้นเอง ได้ผะสมไว้แล้วด้วยยาพิษ ซึ่งยาพิษได้เกิดมีขึ้นมาได้ เพราะในตลับบนพระธำมรงของเจ้าหญิงกนกเลขานั่นเอง ได้บรรจุเอายาพิษเข้าไว้!
โฆษณา