4 ก.ค. เวลา 08:09 • ความคิดเห็น
คำถามน่าสนใจดีนะครับ
ลองคิดดูสิ... เวลาคุณใช้ห้องสมุดฟรี เดินเล่นในสวนสาธารณะที่ใครก็เข้าได้ หรือเรียนในโรงเรียนของรัฐโดยไม่เสียค่าเทอม นั่นแหละ…คือแนวคิดคอมมิวนิสต์แบบหนึ่ง
เพราะแก่นของคอมมิวนิสต์ ไม่ใช่การยึดอำนาจ
แต่มันคือแนวคิดของการแบ่งปัน คือความเชื่อที่ว่าทุกคนควรเข้าถึงทรัพยากรพื้นฐานเท่าๆกัน
มันอาจไม่ใช่ระบบการปกครองที่พวกเราเชียร์ แต่มันคือจิตวิญญาณของความร่วมมือ ที่บางทีเราก็อยากให้สังคมเป็นแบบนั้นเหมือนกัน
สมมุติถ้าเราเปลี่ยนไปถามว่า
ถ้าคอมมิวนิสต์ ไม่ได้แปลว่ารัฐควบคุมทุกอย่าง
แต่แปลว่า ไม่มีใครถูกทิ้งไว้ข้างหลัง
พวกเราจะว่ายังไง ?
ทำไมโลกคอมมิวนิสต์ ถึงยังเป็นฝันของมนุษย์บางกลุ่ม แม้ว่าเวลาจะผ่านมากว่าร้อยปี เพราะมันไม่ใช่แค่การเมือง แต่มันคือความหวัง ที่โลกทุนนิยมไม่มีวันให้ได้
คอมมิวนิสต์ไม่เคยบอกว่าโลกนี้สวยงาม แต่มันคือคำสัญญาว่า มนุษย์ทุกคนจะเท่ากัน ทั้งก่อนเกิด และหลังตาย
มันคือระบบเดียวในโลกที่ปฏิเสธการสะสม และห้ามมนุษย์เอาเปรียบกันในเชิงโครงสร้าง ในขณะที่ทุนนิยมสอนให้แข่งกันจนกว่าคนข้างๆจะอดตาย
แต่ในคอมมิวนิสต์สอนให้แบ่งปันจนกว่าทุกคนจะรอด
ผู้คนส่วนใหญ่อาจไม่ชอบมัน แต่ไม่มีวันปฏิเสธความงดงามของอุดมการณ์นี้ได้
คอมมิวนิสต์มันไม่เคยสมบูรณ์แบบ แต่มันทำให้โลกใบนี้มีคำว่า ยุติธรรม ปรากฏขึ้นครั้งแรก
สังคมที่เราอยู่ในปัจจุบันนี่ คือโลกที่เราชิน คนรวยอยู่บน คนจนแออัดอยู่ล่าง ทุกอย่างมีราคา แม้แต่เวลา แม้แต่ชีวิต และพวกเขาก็บอกว่านี่แหละ... คือ
โลกที่ดีที่สุดแล้ว
แต่มีระบบหนึ่ง ที่เคยท้าทายทุกอย่างที่โลกนี้เคยบอกว่า "เป็นไปไม่ได้"
มันบอกว่า คนเราควรจะมีสิทธิ์อยู่โดยไม่ต้องแข่งขันเพื่อมีชีวิต
มันชื่อว่า คอมมิวนิสต์
มันเริ่มต้นจากคำถามเดียวว่า
ทำไมบางคนต้องอด เพื่อให้บางคนมีกิน
มันไม่ได้ฝันเพ้อ แต่มันศึกษาสังคมจากราก และเสนอทางออกที่ไม่เคยมีใครกล้าพูดว่า "ยกเลิกชนชั้น" ไม่มีเจ้านาย ไม่มีคนใช้ ไม่มีนายทุน มีแค่คนเท่ากัน ทุกคนได้กิน ทุกคนมีบ้าน ทุกคนได้เรียนหนังสือ โดยไม่ต้องเกิดในครอบครัวที่รวย
มีคนส่วนน้อยที่จะรู้ว่า
อเมริกาส่งคนไปดวงจันทร์ได้
เพราะโซเวียตส่งมนุษย์ขึ้นไปก่อน
หรือเด็กในคิวบาที่เป็นคอมมิวนิสต์ ได้เรียนหมอฟรีมากกว่าในประเทศที่ร่ำรวยที่สุดในโลก
และคนส่วนใหญ่คงลืมไปแล้วว่าครั้งหนึ่ง ชาวบ้านเวียดนาม เคยเอาจอบและจิตวิญญาณต่อสู้กับอเมริกาแล้ว"ชนะ"
ผมคิดว่า ที่คอมมิวนิสต์มันไม่เคยสมบูรณ์แบบ เพราะมันเหมาะกับมนุษย์ที่เป็นอริยบุคคลซะมากกว่า มันไม่เหมาะกับมนุษย์ผู้มีตัณหาเลย คอมมิวนิสต์มันจึงไม่เคยสมบูรณ์ แต่ว่ามันมีหัวใจ ที่แม้แต่โลกประชาธิปไตยยังหยิบไปปรับแต่งใช้เป็นสังคมนิยม ที่มีชื่อว่าประชาธิปไตยแบบสังคมนิยม มันคือการผสมผสานระหว่างประชาธิปไตยและคอมมิวนิสต์ สิ่งนี้สะท้อนว่าคอมมิวนิสต์ไม่มีวันหายไปจากสังคมโลกแบบร้อยเปอร์เซ็นต์
คอมมิวนิสต์มันไม่ใช่ระบบที่หวังให้ทุกคนรวย แต่มันหวังว่า จะไม่มีใครต้องจนจนตาย
ในขณะที่โลกทุนนิยมสอนให้เราแข่ง แต่คอมมิวนิสต์สอนให้เราเดินไปด้วยกัน และบางทีนั่นอาจเป็นความฝันเดียวที่มนุษย์ควรมีร่วมกัน
หรือบางทีคำว่า เท่าเทียม
มันอาจไม่ใช่แค่คำหลอกเด็ก
แต่มันอาจเป็นความจริงที่ใครบางคนไม่อยากให้พวกเราเชื่อ ก็เป็นไปได้นะครับ
นี่คือตัวอย่างภาพยนตร์กำลังภายในที่โด่งดังไปทั่วโลกถึงดินแดนตะวันตก ที่สะท้อนอุดมการณ์เพื่อประชาชนในประเทศจีนอย่างงดงาม เป็นภาพยนตร์อมตะ และไม่มีวันลืม
1. Shaolin Temple (1982)
แสดงโดย หลี่ เหลียนเจี๋ย (Jet Li)
ประเทศจีน (หลังปฏิวัติวัฒนธรรม)
จุดเด่น เป็นภาพยนตร์ยุคแรกที่พรรคคอมมิวนิสต์จีนผลิตร่วมกับวงการบันเทิง เพื่อปลุกจิตวิญญาณชาตินิยมและย้ำคุณค่าของ “คนธรรมดา” ที่ได้รับการฝึกฝน กลายเป็นผู้เปลี่ยนแปลงโลก
อุดมการณ์ พระไม่ใช่แค่สัญลักษณ์ทางศาสนา แต่คือ ตัวแทนของประชาชนผู้ลุกขึ้นสู้กับอำนาจอธรรม
2. Once Upon a Time in China (1991)
แสดงโดย เจ็ต ลี
ผู้กำกับ ตู้ฉีฟง (Tsui Hark)
จุดเด่น เล่าเรื่อง “หวงเฟยหง” ยอดนักสู้ผู้ไม่ใช่แค่ปราบโจร แต่ยืนหยัดต่อกรกับอำนาจจักรวรรดินิยมตะวันตกที่รุกรานจีน
อุดมการณ์ ต่อต้านอำนาจต่างชาติ เสนอภาพชนชั้นกลางหัวก้าวหน้าที่ผนึกกับประชาชนเพื่อปกป้องชาติ
ที่สื่อว่าประชาชนจะยิ่งใหญ่ได้ เมื่อพวกเขาหยัดยืนโดยไม่ยอมก้มหัวให้เงินตราและอำนาจภายนอก
3. Crouching Tiger, Hidden Dragon (2000)
กำกับโดย อั้งลี่ (Ang Lee)
จุดเด่น ภาพยนตร์ที่แฝงแนวคิด “เสรีภาพภายในจิตใจ” และตั้งคำถามต่อโครงสร้างชนชั้นและความคาดหวังในสังคมยุคศักดินา
อุดมการณ์ เสียดสีค่านิยมชนชั้น เสนออิสรภาพของผู้หญิง เชิดชูจิตวิญญาณแห่งความเท่าเทียม
ดาบอันยิ่งใหญ่ไม่ได้อยู่ในมือเจ้านาย แต่อยู่ในใจคนที่กล้าปล่อยวาง
4. Hero (2002)
แสดงโดย เจ็ต ลี เหลียงเฉาเหว่ย จางม่านอวี้
จุดเด่น ถ่ายทอดเรื่องราวของ “วีรบุรุษ” ที่ยอมเสียสละส่วนตัวเพื่อรวมชาติให้เป็นหนึ่ง
อุดมการณ์ ความสามัคคีเพื่อประโยชน์ของส่วนรวม เสียสละปัจเจกเพื่ออนาคตของคนทั้งชาติ
“ฮีโร่...ไม่ใช่คนที่ฆ่าศัตรูได้มากที่สุด แต่คือคนที่รู้ว่าเมื่อใดควรวางดาบเพื่อสันติภาพ
5. House of Flying Daggers (2004)
กำกับโดย จางอี้โหมว
จุดเด่น ฝ่ายกบฏที่สู้กับอำนาจศักดินาคือตัวเอก! ผู้หญิงตาบอดผู้มีหัวใจอิสระ ไม่ยอมสยบต่ออำนาจศูนย์กลาง
อุดมการณ์ เสน่ห์ของชนชั้นล่างที่กล้าหาญ ความรักที่เกิดขึ้นท่ามกลางการต่อสู้เพื่อเสรีภาพ
แม้ความรักจะตายได้...แต่ความหวังในหัวใจประชาชนไม่มีวันตาย
6. Red Cliff (2008)
กำกับโดย จอห์น วู
จุดเด่น ยกประวัติศาสตร์สามก๊กมานำเสนอในมุมที่ให้ความสำคัญกับ “พันธมิตรจากรากหญ้า” ที่รวมตัวต้านอำนาจรวมศูนย์
อุดมการณ์ แรงบันดาลใจของการรวมพลังจากหลากชนชั้นเพื่อปกป้องอิสรภาพ
แม้ศัตรูจะแข็งแกร่งเพียงใด...เมื่อหัวใจคนรวมกัน เราจะไม่มีวันแพ้
7. One Second (2020)
กำกับโดย จางอี้โหมว
จุดเด่น ไม่ใช่กำลังภายในในความหมายดั้งเดิม แต่คือหนังที่พูดถึง "พลังของภาพยนตร์" ในยุคปฏิวัติวัฒนธรรม
อุดมการณ์ ทำหน้าที่เป็นเครื่องมือของอุดมการณ์ แต่ก็เป็นเครื่องมือของความหวังและมนุษยธรรมเช่นกัน
บางที...หนังหนึ่งวินาที ก็เปลี่ยนใจคนทั้งชีวิต
ถ้าคุณคิดว่า คอมมิวนิสต์ มีแต่อุดมการณ์แข็งกระด้าง...ลองเปิดหนังจีนกำลังภายใน แล้วฟังเสียงประชาชนในนั้น พวกเขาไม่เคยพูดคำว่า Marx หรือ Lenin แต่ทุกท่าดาบ ทุกหยดเลือด และทุกการยืนหยัด...คือเสียงตะโกนของความเท่าเทียม ที่มันไม่ใช่แค่หนัง แต่มันคือจิตวิญญาณของคนจีน
โฆษณา