4 ก.ค. เวลา 15:04 • วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี
ซอย ลาดกระบัง 54

EP.6 Thomas Edison: The Workaholic

ชื่อนั้นสำคัญฉะนี้ EP.6 Thomas Edison: The Workaholic
สวัสดีท่านผู้อ่านทุกท่าน น้าไก่ขอเปิดบ้านต้อนรับเข้าสู่รายการ “ชื่อนั้นสำคัญฉะนี้” วันนี้ EP.6 ขอนำเสนอเรื่องราวของชายผู้ไม่เคยหยุดทำงาน แม้แต่ตอนนอนยังเหมือนกำลังคิดสูตรคูณในหัวอยู่เลย ท่านผู้อ่านพร้อมหรือยังกับ “Thomas Edison: The Workaholic” ตอนนี้รับรองว่าทั้งฮา ทั้งได้แรงบันดาลใจ แถมมีเกร็ดเด็ดๆ ที่ฟังแล้วต้องร้องว่า “เอ้า จริงดิ!”
เรื่องมันมีอยู่ว่า โทมัส อัลวา เอดิสัน เกิดเมื่อปี 1847 ที่เมืองมิลาน รัฐโอไฮโอ สหรัฐอเมริกา เป็นลูกคนสุดท้องในบรรดาพี่น้อง 7 คน ครอบครัวไม่ได้รวยล้นฟ้า แต่ก็ไม่ได้จนจนต้องกินข้าวคลุกน้ำปลา พ่อเป็นนักเคลื่อนไหวทางการเมือง ส่วนแม่เป็นครู เอดิสันเป็นเด็กที่ชอบถามคำถามแปลกๆ จนคุณครูที่โรงเรียนถึงกับยอมแพ้ ไล่กลับบ้านไปให้แม่สอนเอง
น้าไก่ขอเล่าให้ฟังแบบเพื่อนเม้าท์เพื่อนนะ ท่านผู้อ่านรู้ไหมว่า เอดิสันโดนไล่ออกจากโรงเรียนเพราะครูบอกว่า “เด็กคนนี้โง่เกินไป” แต่แม่ของเขาไม่ยอมแพ้ บอกลูกว่า “ลูกเป็นอัจฉริยะ” จากนั้นเอดิสันก็เริ่มเรียนเองที่บ้าน อ่านหนังสือวิทยาศาสตร์จนบ้านแทบระเบิด สุดท้ายกลายเป็นนักประดิษฐ์ระดับโลกที่ใครๆ ก็ต้องยกนิ้วให้
ชีวิตวัยเด็กของเอดิสันนี่ไม่ธรรมดาเลย อายุ 12 ขวบก็เริ่มทำงานเป็นเด็กขายหนังสือพิมพ์บนรถไฟสายพอร์ตฮิวรอน-ดีทรอยต์ แถมยังเอาเงินที่ได้ไปซื้อเครื่องพิมพ์เล็กๆ มาตั้งโรงพิมพ์ในตู้รถไฟ ผลิตหนังสือพิมพ์ของตัวเองชื่อ “Grand Trunk Herald” ขายคู่กับหนังสือพิมพ์ฉบับอื่นๆ ใครจะคิดว่าเด็กขายหนังสือพิมพ์จะกลายเป็นเจ้าของบริษัทใหญ่โตในอนาคต
พอโตขึ้นมา เอดิสันก็ไม่หยุดแค่นั้น เขาเป็นคนที่ทำงานหนักมาก ขนาดที่ว่าพักผ่อนวันละ 3-4 ชั่วโมงเท่านั้นเอง ท่านผู้อ่านลองคิดดูสิ ถ้าเป็นน้าไก่คงต้องขอเบรกกินข้าวเหนียวหมูปิ้งก่อนสักสองรอบ เอดิสันบอกว่า “ความสำเร็จมีโชคแค่ 1% ที่เหลืออีก 99% คือการทำงานหนัก” นี่แหละที่มาของฉายา The Workaholic ตัวจริง
เกร็ดที่น้าไก่ขุดมาให้ฟัง เอดิสันเป็นเจ้าของสิทธิบัตรสิ่งประดิษฐ์ในสหรัฐฯ มากถึง 1,093 รายการ เยอะจนถ้าจะนับนิ้วมือคงต้องขอยืมมือเพื่อนทั้งหมู่บ้าน ผลงานเด่นๆ ก็มีหลอดไฟฟ้า เครื่องบันทึกเสียง (Phonograph) เครื่องถ่ายภาพยนตร์ (Kinetograph) และแบตเตอรี่อัลคาไลน์ ท่านผู้อ่านรู้ไหมว่า กว่าจะได้หลอดไฟที่ใช้ได้จริง เอดิสันทดลองวัสดุไปกว่า 10,000 ชนิด ลองผิดลองถูกจนเพื่อนร่วมงานแซวว่า “ถ้าไม่สำเร็จรอบนี้ จะเอาไส้กรอกมาเป็นไส้หลอดไฟแล้วนะ”
แต่ชีวิตของเอดิสันไม่ได้มีแต่ด้านสว่างนะ ท่านผู้อ่าน เขาเป็นคนที่ทุ่มเทกับงานจนแทบไม่มีเวลาให้ครอบครัว ลูกๆ ยังบ่นว่า “พ่อรักห้องแล็บมากกว่าบ้าน” ภรรยาคนแรกของเขา Mary Stillwell ก็เคยบ่นว่า “สามีฉันคิดแต่เรื่องประดิษฐ์ ไม่เคยคิดจะพาไปเที่ยวเลย” นี่แหละชีวิตของคนที่รักงานมากกว่ารักตัวเอง
น้าไก่ขอแซะอีกนิด เอดิสันเป็นคนที่มีวิธีคัดเลือกพนักงานสุดแปลก ใครจะสมัครงานกับเขาต้องผ่านด่าน “กินซุป” คือให้กินซุปโดยไม่ใส่เกลือก่อน ถ้าใครใส่เกลือก่อนชิม เอดิสันจะตัดออกทันที เพราะเขาเชื่อว่าคนที่ตัดสินใจโดยไม่ลองก่อน จะไม่เหมาะกับงานวิจัยที่ต้องทดลองซ้ำๆ ฟังแล้วก็แอบขำปนทึ่ง
อีกเกร็ดที่น่าอึ้ง เอดิสันเป็นคนที่ไม่กลัวความล้มเหลวเลย เขาเคยพูดว่า “ผมไม่ได้ล้มเหลว ผมแค่ค้นพบ 10,000 วิธีที่มันไม่เวิร์ค” ท่านผู้อ่านลองคิดดู ถ้าเป็นน้าไก่คงนั่งร้องไห้ตั้งแต่รอบที่ 100 แล้ว แต่นี่คือหัวใจของนักประดิษฐ์ตัวจริง
นอกเรื่องอีกนิด ท่านผู้อ่านรู้ไหมว่า เอดิสันเป็นคนแรกๆ ที่ใช้ทีมวิจัยแบบ R&D ในการคิดค้นสิ่งใหม่ๆ เขาไม่ได้ทำงานคนเดียว แต่มีทีมงานช่วยกันคิด ช่วยกันลองผิดลองถูก นี่แหละที่ทำให้เขาสามารถสร้างสิ่งประดิษฐ์ได้มากมายในเวลาอันสั้น
และที่เด็ดสุด เอดิสันยังเป็นเจ้าของบริษัท 14 แห่ง รวมถึง General Electric ที่ทุกวันนี้ยังเป็นบริษัทไฟฟ้าระดับโลก นี่แหละตัวจริงของคนที่ไม่เคยหยุดทำงาน แม้แต่ตอนแก่ก็ยังนั่งคิดโปรเจกต์ใหม่ๆ อยู่ตลอด
ท่านผู้อ่านครับ น้าไก่ขอสรุปให้ฟังแบบกันเองเลยนะ ชีวิตของเอดิสันคือบทเรียนของคนที่ไม่ยอมแพ้ ไม่กลัวล้มเหลว และกล้าทดลองสิ่งใหม่ๆ อยู่เสมอ แม้จะต้องแลกกับเวลาส่วนตัวและครอบครัว แต่สิ่งที่เขาทำก็เปลี่ยนโลกไปตลอดกาล
ก่อนจากกันวันนี้ น้าไก่ขอฝากไว้ว่า ความสำเร็จมันไม่ได้มาง่ายๆ ต้องลองผิดลองถูก ต้องอดทน และต้องกล้าคิดต่างเหมือนเอดิสันนี่แหละ ท่านผู้อ่านอย่ากลัวที่จะล้มเหลว เพราะทุกครั้งที่ล้ม มันคืออีกหนึ่งก้าวที่เข้าใกล้ความสำเร็จ
ขอบคุณที่ติดตามฟังน้าไก่เม้าท์มอยเรื่องราวของ Thomas Edoson: The Workaholic วันนี้นะครับ เจอกันใหม่ตอนหน้า รับรองว่ามีเรื่องเด็ดๆ มาฝากอีกแน่นอน สวัสดีครับท่านผู้อ่านทุกท่าน!
โฆษณา