5 ก.ค. เวลา 01:16

คำนำเสนอ

ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณ คุณทันพงษ์ รัศนานันท์ ที่ให้เกียรติผมเขียน คำนำเสนอให้หนังสือ “กำเนิดทุนสามานย์ เผด็จการ (เงิน) ยึดโลก” เล่มนี้ คุณ ทันพงษ์ รัศนานันท์ ได้ทุ่มเทค้นคว้าเรื่องยากๆ ที่สำคัญ แต่อาจจะไม่ได้รับความ สนใจจากประชาชนหรือนักวิชาการทั่วไปในสังคมไทยนัก เพราะมักจะรับฟัง รับ อ่าน หรือรับการศึกษามาจากระบบคิดกระแสหลักเดียว
เลยเหมาเอาว่าระบบ คิดกระแสหลักเป็น “สัจธรรม” ที่แตะต้องไม่ได้ ระบบคิด หลักการ หรือทฤษฎีที่ ต่างไปจากความรู้ที่ได้รับการครอบงำมาจนฝังหัว ถูกมองว่า “ผิด” หรือ “น่าสยะ แสยง” ที่ไม่ควรอ่าน ไม่ควรจับต้อง ร้านหนังสือไม่อยากวางขายในจุดที่มองเห็น ได้ง่ายเหมือนหนังสือตลาดทั่วไป
คุณทันพงษ์ได้นำข้อมูลที่ซับซ้อนมาวิเคราะห์อย่างเป็นระบบ โดยเขียนได้ดี มาก ทั้งเนื้อหา โครงสร้าง และการวิเคราะห์ เพื่อหาทางออกให้กับสังคมไทย คือวิเคราะห์ได้ลึกและจับหลักได้ถูกต้องทั้งเรื่องจักรพรรดิทุน หรือทุนจักรวรรดินิยม ตามคำนิยามของเลนิน ซึ่งกล่าวไว้ไม่ผิดว่าเป็นขั้นสูงสุดของทุนนิยม
ซึ่งถูกต้องใน เชิงทฤษฎี เพียงแต่ว่ายุคนั้นปรากฏการณ์ยังไม่เกิด จึงไม่มีตัวอย่างที่เป็นรูปธรรม ในยุคนั้นมาประกอบเหมือนในหนังสือเล่มนี้ อย่างไรก็ตาม เนื้อหาที่มาร์กซ์และ เลนินวิเคราะห์ไว้ก็เหมือนกับยุคโลกาภิวัตน์ในปัจจุบัน คือทุนการเงิน (ทุนวอลล์ สตรีท) ครอบโลก หรือทุนจักรวรรดินิยมเป็นด้านหลักที่สร้างกติกา ระบบการเงิน และการค้าโลก เพื่อเข้ายึดครอง​ชาติอื่นอย่างชอบธรรม (เรื่องลิขสิทธิ์ สิทธิบัตร)
การลดภาษี FTA) โดยผ่านชนชั้นปกครองซึ่งประกอบด้วยนักการเมืองและกลุ่ม ทุน กลุ่มนักวิชาการที่ยอมให้ครอบ บวกข้าราชการระดับสูงจำนวนหนึ่ง แล้ววาง ระบบขูดรีด ระบบค่านิยม สร้างระบบกฎหมายมารองรับ เพื่อการสะสมทุนของ ชนชั้นของตน
ในเรื่องการผลิตยุคใหม่มิใช่การผลิตเพื่อการบริโภคอีกต่อไป เพราะ สินค้าเกือบทุกประเภทล้นโลกแล้ว แต่เป็นการผลิตเพื่อ “กำไร” หรือ “เพื่อเงิน” โดยไม่คำนึงว่าผู้ใช้มีความจำเป็นต้องใช้หรือไม่ หรือไม่คำนึงถึงการถลุงทรัพยากรโลก และสร้างมลภาวะ
ตัวอย่างเช่น รถยนต์ที่ออกรุ่นใหม่ทุกปี ทั้งๆ ที่แต่ละคันมีอายุ การใช้งานไม่ต่ำกว่า ๑๐ ปี สินค้าแฟชั่น โทรศัพท์มือถือและสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ พวกทีวี จอแอลซีดี เครื่องเสียง คอมพิวเตอร์ เครื่องเล่นเกมเด็ก ฯลฯ ซึ่งผลิตรุ่น ใหม่ทุกปี ทั้งๆ ที่แต่ละเครื่องมีอายุใช้งานไม่ต่ำกว่า ๑๐ ปี เช่นเดียวกับรถยนต์
เครื่องสำอาง แฟชั่น อาหารเสริม เกมคอมพิวเตอร์ หนังและเพลง ฮอลลีวูด แม้แต่หนังสือและนิตยสารโป๊เปลือยหรือน้ำเน่า ก็ผลิตออกมาวางตลาด เกลื่อนก็เช่นเดียวกัน
ระบบบริโภคนิยมทำให้ชนชั้นกรรมาชีพถูกขูดรีดซ้ำซ้อน ต้องเจียดเงิน ค่านม ค่าอาหารลูก ค่ารักษาพยาบาล ฯลฯ มาจ่ายค่าโทรศัพท์มือถือโหดแทน ทำให้คุณภาพชีวิตของครอบครัวย่ำแย่ลง
คุณทันพงษ์ตั้งโจทย์อย่างท้าทายว่าจะให้น้ำหนักกับการเปลี่ยนแปลง “อำนาจรัฐ” ซึ่งเคยคิดว่าเป็นอำนาจที่คอยควบคุม ปกครอง อันเป็นการมองปัญหา แค่เพียงขอบเขตปริมณฑลของรัฐชาตินั้น หรือจะให้ความสำคัญกับ "อำนาจโลก” ในยุคโลกาภิวัตน์ซึ่งโลกทั้งใบเชื่อมโยงกันเป็นหนึ่งเดียวนั้น น่าจะเป็นประเด็นให้ ถูกกันในสังคมว่า การคิดแก้ปัญหาความขัดแย้งในสังคมในปริมณฑลของรัฐชาติ นั้นจะแก้ปัญหาของชาติได้จริงหรือไม่
โจทย์ที่สอง คือ กำลังหลักหรือเจ้าภาพที่มีศักยภาพในการนำการเปลี่ยน แปลง สร้างระบอบเศรษฐกิจสังคมที่ไร้การขูดรีด ซึ่งลักษณะการขูดรีดมีความ ซับซ้อนทั้งทางเนื้อหาและรูปแบบ เช่น ระบบแฟรนไชส์ ระบบขายตรง ระบบ การเหมาจ้าง (Out sources) ระบบการผลิตแบบตีตรวน (Contract farming) ระบบการค้าแบบตีตรวนของห้างค้าปลีกยักษ์และห้างสรรพสินค้า
ผู้ขูดรีดและผู้ถูกขูดรีดมีความซับซ้อนขึ้น ผู้ถูกขูดรีดก็ไม่รู้ตัวเพราะความ ซับซ้อนข้างต้น แรงงานยุคใหม่กลายเป็น "แรงงานจนตรอก” “แรงงานสนตะพาย" “แรงงานตีตรวน” หรือ “แรงงานจำยอม” ซึ่งมีภาวะย่ำแย่กว่าแรงงานทาสใน อดีต ซึ่งนายทาสต้องหาอาหาร ที่พัก และดูแลสุขภาพให้ทาส (เพื่อจะได้มีแรง ทำงานให้) เมื่อทำงานครบเดือนก็ไม่มีหนี้สิน
แต่แรงงานยุคใหม่ คนงานต้อง ดูแลตัวเองทุกเรื่อง เมื่อทำงานครบเดือนกลับกลายเป็นต้องติดลบ เพราะเงิน เดือนที่ได้รับน้อยกว่ารายจ่าย ต้องไปกู้หนี้ยืมสินเงินนอกระบบ ถูกขูดรีดด้วย ดอกเบี้ยโหดซ้ำ
การขยายตัวของอุตสาหกรรมภาคบริการ เช่น ภาคการเงิน ภาคการประกัน ภาคบริการสุขภาพเชิงพาณิชย์ รวมทั้งภาคบริการความเชื่อและความศรัทธา เชิงพาณิชย์ ในหลายๆ ประเทศที่พัฒนาแล้ว การจ้างงานในภาคบริการมีสัดส่วน สูงกว่าภาคการผลิตจริง
นายทาสในอดีตยังต้องลงทุนกับชีวิตทาส แต่ผู้ขูดรีดยุคใหม่แค่ปล่อยให้แรงงานสร้างหนี้ แล้วเก็บเกี่ยวด้วยดอกเบี้ย
Ai
การเติบโตของอุตสาหกรรมภาคบริการทำให้เกิดกองทุนปีศาจหลาย รูปแบบ เช่น กองทุนเฮดจ์ฟันด์ (Hedge funds) กองทุนรวม (Mutual funds) ตราสาร หนี้และอนุพันธ์ (Derivatives) รูปแบบต่างๆ ที่มีการซื้อขายกันวันละประมาณ ๒ ล้านล้านเหรียญ (2 trillion) หรือ ๗๐๐ ล้านล้านเหรียญต่อปี ในขณะที่ตัวเลข รวมของการค้าในโลกมีตัวเลขประมาณ ๑๑ ล้านเหรียญเท่านั้น
จนกระทั่งมีการตั้งชื่อปรากฏการณ์ใหม่นี้ว่า ระบอบเศรษฐกิจกาสิโน (Casino Economy) หรือ ทุนนิยมกาสิโน (Casino Capitalism)
ปรากฏการณ์ข้างต้นนี้ได้สร้างชนชั้นขูดรีดใหม่ที่ไม่ใช่เจ้าของปัจจัย การผลิต แต่เป็นผู้บริหารและพนักงานของกองทุนเหล่านี้ รวมทั้งผู้ซื้อหุ้นกองทุนซึ่งเป็นเงินสะสมของผู้ใช้แรงงานในประเทศที่พัฒนาแล้ว ซึ่งได้ ประโยชน์จากกองทุนที่มาปล้นสะดมในตลาดเงิน ตลาดทุน ตลาดโภคภัณฑ์ และตลาดเงินตราต่างประเทศ ซึ่งหมายความว่าชนชั้นกรรมาชีพในประเทศ ที่พัฒนาแล้วก็มีส่วนได้ประโยชน์หรือมีส่วนในการขูดรีดชนชั้นกรรมาชีพและ เกษตรกรในประเทศกำลังพัฒนาและประเทศด้อยพัฒนาด้วย
ในขณะเดียวกัน เจ้าของปัจจัยการผลิตที่เป็นบริษัทมหาชนอันได้แก่ผู้ ถือหุ้น ก็ถูกผู้บริหารขูดรีดอีกทีหนึ่งด้วยการตั้งเงินเดือน โบนัส และหุ้นตอบแทน
จำนวนมหาศาลในแต่ละปี
นี่คือโจทย์ที่ซับซ้อนขึ้นของยุคทุนจักรวรรดินิยมที่ท้าทายซึ่งคุณ ทันพงษ์ฝากให้คิดต่อว่า ใครจะเป็นผู้นำในการเปลี่ยนแปลงให้เกิดสังคมที่ไร้การ ขูดรีดตามวิสัยทัศน์ของคาร์ล มาร์กซ์ เพราะว่า ชนชั้นกรรมาชีพเริ่มแยกไม่ออก ว่าคือใครกันแน่ และสังคมที่ไร้การขูดรีดนั้นหน้าตาจะเป็นอย่างไร รัฐชาติจะดำรง อยู่ได้อย่างอิสระได้อย่างไรในยุคจักรวรรดิทุนที่ไร้พรมแดน
กมล กมลตระกูล
มีนาคม ๒๕๕๓
โฆษณา