5 ก.ค. เวลา 06:32 • ประวัติศาสตร์

คำแปลโคลงรุไบยาต โอมาร์คัยยาม

โคลงนี้แต่งเทียบตามรุไบยาตของฮะกิมโอมาร์คัยยาม ซึ่งรจนาเปนภาษาอังกฤษ ความเดีมก็เปนอุทานแถลงธรรมประมัยอย่างลึก อ่านแล้วต้องตรองมาก ๆ จึงจะเอาความได้ ในบางบาทแลบางบทก็ง่าย ครั้นจะแต่งขยายความหรือก็เกรงจะเสียรศรุไบยาตเดีมไป อนึ่งเดีมคิดว่าจะแปลหัวใจธรรมให้ตื้นเปลื้องลำบากท่านผู้อ่านที่บางท่านอาจจะยังไม่เข้าใจ ก็คร้ามว่าจะใม่ถูกต้อง ด้วยอาจจะแปลได้หลายนัย ตื้นลึกสุด
แท้แต่ปรีชาญาณของผู้แปล แต่เมื่อรู้ทางบางบทแล้วก็อาจจะแปลเอาความได้สดวกขึ้น มีผู้อ่านหนังสือรุไบยาตโอมาร์คัยยามที่นิพนธ์เปนโคลงสุภาพภาษาไทย​ใม่เข้าใจ เร้าขอให้อธิบายตามผู้นิพนธ์เข้าใจ จึ่งจำใจอธิบายไปตามรู้ตามเห็น แต่สุดปัญญาจะยืนยันได้ว่าเปนอย่างถูกต้อง นอกจากเปนอัตระโนมัตถาธิบายของผู้แปลผู้หนึ่งเท่านั้น บางทีท่านผู้ปรีชาในธรรมะยิ่งกว่าก็อาจจะเข้าใจได้ลึกยิ่งกว่าที่แปลไว้นี้ขึ้นไปอิกก็เปนไต้ การจะควรมิควรประการใดขออภัยโทษแก่ผู้แปลนี้ ผู้มีสติปัญญาวิชาชาญอันน้อยด้วยเถีด
บทที่ ๑
แสดงความใม่ประมาท พูดประหนึ่งปลุกใครให้ตื่นว่าสว่างล่วงเข้ามาอยู่ในเล้ามืดแล้ว เปรียบโลกเหมือนเล้าขังเป็ดไก่ แลที่ว่าเล้ามืดนั้นก็เพราะมืดย่อมเปนเจ้าเรือนอยู่เสมอ เหมือนเจ้าของเล้า ต่อสว่างโผล่มาจึงสว่างอยู่พักหนึ่ง หมดสว่างแล้วก็คงมืดอยู่เสมอ ดาวลอยอยู่เต็มฟ้าก็เลี่ยงลับหายไปหมดแล้ว ดวงอาฑิตย์เรียกพรานตกันออกนั้น เพราะพรานเปนผู้ประหารชีวิตสัตว์ ดวงอาฑิตย์ก็เปรียบพรานประหาร
ชีพให้ดับ เพราะอาฑิตย์ขึ้นหนหนึ่งหนหนึ่งก็ชักชีวิตให้ใกล้เข้าไปหาความตายความทำลายทุกครั้ง แสงสว่างที่ฉายมาก็เปรียบเหมือนพรานโถมมายืนคร่อมคล้องชีวิตให้พินาศ แม้แต่ปราสาทซุ่ลต่านอันแข็งแรง ก็ยังติดลุกด้วยแสงอาฑิตย์ พูดประหนึ่งเพลีงไหม้ เพราะแสงอาฑิตย์มาต้องวันหนึ่งก็ใกล้ความทำลายเข้าไปทุกที เราหาควรจะนอนนิ่งอยู่ไม่ มีกิจสิ่งใดที่พอจะก่อให้เกีดประโยชน์ก็ควรรีบทำเสีย เพราะความตายรุกเข้ามาหาอยู่ทุกทีแล้ว เฉยชาใม่ดี
บทที่ ๒
พูดประหนึ่งว่ายามเช้ามืดฝันแว่วว่าชีวิตของตัว​เองปลุกให้ตัวรีบตื่นขึ้นปลื้มอกปลื้มใจซดองุ่น ชีวิตเปรียบเบญจพิธะกามะคุณ คือ ตาเห็นอไรที่ปลื้ม หูได้ยินอไรที่เพราะ จมูกดมอไรที่ชื่น ลิ้นลิ้มอไรที่อร่อย แลกายถูกต้องอไรที่สำราญ บรรดาจะชวนใจให้สำเรีงสุขเสียแต่ก่อนตายจะได้ไม่เก้อเปล่า แต่กล่าวเปนว่าก่อนชวดได้ดื่มน้ำองุ่นชีวิตที่จะแห้งเสียหมดชั่วนิรันดร คือเตือนให้เร่งหาความสุขบำรุงชีพ อย่ามัวหลงไหลอยู่อย่างอื่นจะตายเสียเปล่า
บทที่ ๓
ใจความก็อย่างบทที่ ๒ แต่พูดเปนเวลาไก่ขัน (เช้ามืด) เสียงเหมือนใครมาตโกนเรียกให้เปีดประตูโรงเหล้าจะด่วนดื่มเหล้า ด้วยใม่มีใครลอยหน้านั่งอยู่นานได้ จะต้องไปอื่น ลงได้ไปแล้วเปนใม่มีที่จะได้กลับ แปลว่า เตือนเราให้รีบดื่มเหล้าเมา ๆ หลง ๆ กล่าวคือ ​เสพเบญจพิธกามะคุณเครื่องสำเรีงสุขเสียเถีด ชีวิตอยู่ไม่ช้าปานใดดอก ตายแล้วเปนไม่รู้กลับ เกีดใหม่อิกได้
บทที่ ๔
หมายความว่าเวลาล่วงมาความหลงไหลของโอมาร์คัยยามก็สิ้นไป กลับได้ความคิดใหม่ ข้อที่พอใจบวชเรียนภาวะนาเคร่งขรึมก็สลัดเสีย เพราะเห็นป่วยการ ดูแต่โมเซพระเจ้าองค์ก่อน แลพระเยซูคฤสต์ วิเศษวิเศโษปานใดก็สูญสิ้นไปหมด แต่พูดเปนท้าว่าไหนอยู่ที่ไหน ใครชี้พระองค์ให้ดูทีหรือ หมายความว่าวางตัวเปนพระเจ้าคนนิยมปฏิบัติทรมานกายใม่เสพเบญจพิธะกามะคุณขลังปานใดลงท้ายก็สูญหายหมดลเมอเปล่า ๆ
บทที่ ๕
อีรัมเจ้าแผ่นดินแขกอาหรับที่ล่ำลือพระบุญะ​เดชาภินิหารนัก ก็เสื่อมสิ้นพระอานุภาพสูญไปหมด ถ้วยดื่มสุรารศมีหูถึง ๗ หูล้วนประดับสัปตะรัตนามาศมีค่าของยัมชิดเจ้าแผ่นดินแขกผู้มีบุญบาระมีอุดมด้วยยศโภคศฤงฆารยิ่งนักก็ชวดป้อนสุรารศถวาย
(ด้วยสิ้นชีพลับไปหมด) พูดเย้าว่ายังเหลือแต่รัศมีทับทิม (ที่ประดับหูถ้วย ๗ หู) ของบรมกษัตริย์นั้นดอก ฉายมาติดศรีน้ำองุ่นอยู่ให้แดงคู่กะพระราชอุทธยาน ที่ครั้งโน้นยอดสนุกสนานมโหฬารนักก็เหลือแต่ธารน้ำไหลพลั่งๆ อยู่ตามธรรมดาโลก ล่อให้คิดถึงอยู่เท่านั้น ล้วนเตือนใจโลกมิให้ประมาทลเลีงชีพมิช้าก็ตายสูญไปตามกันหมด
บทที่ ๖
เดวิดเปนคนมีชื่อเสียงทำนองพระเจ้าองค์หนึ่ง ช่างเทศนาคล่องก็ดับสูญไปหมด แต่ที่พูดเปนว่าถึงไปอยู่​เมืองสวรรค์ก็ถูกอุดโอษฐ์ตรัสเทศนาจ้ออยู่เหมือนแต่ก่อนใม่ได้เสียแล้ว เยาะว่ายังเหลือแต่เสียงนกส่งสำเนียงร้องอยู่แทนพระสุรเสียงพระเจ้าช่างเทศนา ร้องว่าองุ่น ๆๆๆ แดง ชวนดอกกุหลาบ (เปรียบคนเรา) ให้ดื่มองุ่นคือเสพเบญจพิธะกามะคุณเสวยสุขด้วยดอกกุหลาบมีศรีเหลือง แลศรีแดง จึ่งพูดเปนทีว่าให้ดื่มองุ่นเถีด แก้มทีเหลืองจะได้แดงเปล่งด้วยฤทธิ์เมา คือจะได้สำเรีงสุขด้วยหลง
บทที่ ๗
ชวนให้สำเรีงชีพด้วยเสพเบญจพิธะกามะคุณ แต่พูดว่าให้รินอง่นซดเถีด เปนรดูอุ่นสบาย ให้ทิ้งศาสนาที่เคยถือเสียเถีด แต่พูดว่าให้ถอดเสื้อหนาวที่เคยสรวมทิ้งเสียเถีด ด้วยนกคือเวลาชีวิต ลงได้จับออกบินแล้วก็ถึงที่มุ่งหมายคือความตายในไม่ช้าพลัน แล​ทำเหมือนสดุ้งตกใจว่า นกกระพือปีกจะออกบินอยู่แล้ว อุประมัยเราอาจจะมีอุบัติเหตุตายลงเมื่อไรก็ตายได้ทุกเมื่อ เพราะแต่ระหว่างเกีดจนตายใม่ช้าเหมือนรยะทางที่นกจะบินบรือโผจากที่หนึ่งไปอิกที่หนึ่งเท่านั้น
บทที่ ๘
ถึงใครจะอยู่ในเมืองชื่อไนชาปุระ หรืออยู่ในเมืองชื่อบาบิโลน แลถ้วยที่รินน้ำองุ่นจะหวานหรือขม ศรีงามหรือศรีทรามเศร้า น้ำองุ่นคือชีวิตเราก็มีแต่จะงวดแห้งหายไปเสมอ เหมือนกลีบดอกไม้ คือชีวิตร่วงด้วยเวลาหมุนเปลืองไปเปลืองไป ฉนั้น แสดงความใม่เที่ยง
บทที่ ๙
ในโลกเรานี้มีสิ่งล่อให้ปลื้มปราโมทย์ก็ตั้งพัน ๆ อย่าง ยังสิ่งทำให้ฉิบหายไปทุก ๆ คนก็ตั้งพัน ๆ อย่าง เวลาดอกไม้สดที่งามดาษไปในรดูอุ่นสบายของยัมชิดเจ้าแผ่นดินแขกอันมีบุญมากรื่นรมย์เสวยสุขนั้นเอง ก็กลับเปนเวลาสิ้นพระชนม์หมดความสุข
บทที่ ๑๐
เตือนอย่าให้ไปเพ้อถึงผู้มีบุญผู้ศักดิ์สิทธิ์ที่ไหน คืออย่าให้ตื่นไปบูชาพระเจ้าองค์ใด ๆ เลย แต่รบุออกนามไกโกบาด แลไกโคซูรเจ้าแผ่นดินแขกที่ถเกองพระกฤษฎาภินิหารมาก ออกนามรัสดัมผู้เปนนักรบ ต่อยมวยเก่ง มีฤทธิ์มาก ออกนามฮาติมชอบเสพรศโพชนาหารเอร็จอร่อยมาก ให้ลืมเสียให้หมด เพราะใช่ธุระของเราจะไปวุ่นเพ้อถึง หมายความอย่าให้ตื่นไปตามเขาหลงนิยมสิ่งใด ๆ เปนจริงเปนจัง นอกจากเสพเบญจพิธะกามะคุณสำเรีงชีวิตของตัว
​บทที่ ๑๑
ชวนฟังโอวาทของโอมาร์คัยยามดีกว่า นักปราชญ์ศาสนาผู้ใด จะวิเศษวิเศโษปานใด คลั่งนิยมอย่างไร จะบวช จะสวดมนต์อย่างไร ก็ปล่อยให้อุตริเพ้อแผลงไปตามฤทธิ์ตามเดชเถีด จะเชื่อนรก ตื่นตกายสวรรค์อย่างไร ก็อย่าไปพลอยตื่นห้ามปรามหรือประพฤติตามด้วยเลย เพราะล้วนเปนวิธีเหลวไหลลวงหลง มีจริงแต่เกีดเสวยสุขแล้วก็ตายสูญไปหมดเท่านั้น
บทที่ ๑๒
ชวนหาสุขอย่างโอมาร์คัยยาม แต่พูดเปนชวนให้ไปเสวยสุขที่สวนของโอมาร์สร้างได้หว่างป่าแลหว่างสวรรค์ เพราะใช่สวรรค์อย่างเลมอกัน แต่อยู่ในโลกนี้เองเปรียบประดุจสวรรค์ในสวนของโอมาร์นั้น ​พระมหากษัตริย์กะทาษก็เสวยราชย์ชีวิตเยี่ยง
เดียวกัน หมายความว่า ตามธรรมะของโอมาร์ พระเจ้าแผ่นดินหรือทาษก็อาจจะหาความสุขบำเรอชีพด้วยเบญจพิธะกามสำเรีงใจได้เช่นกัน ดีกว่าอ้าหล่าพระเจ้าแขก ไปค้างอยู่เพียงแค่สวรรค์เท่านั้น ทั้งส้อนมนุษย์ด้วย หมายความว่าธรรมะของโอมาร์เปนสุขกว่าสวรรค์ที่พรรณนาแลเปนสุขได้จริง ใม่ต้องเหมือนอ้าหล่าใม่มีตัวจริง
บทที่ ๑๓
พูดเปนทีชี้บอกว่ามีเข้าอร่อย ๆ กิน มีน้ำองุ่นโอชารศดื่ม มีสมุดกาพย์เพราะ ๆ อ่านสำเรีงจิต ยังได้ฟังเสียงสาวร้องเพลงชื่นใจ นี่แหละเปนสวรรค์ของมนุษย์ละ จะทิ้งโลกนี้ไปควานคว้าสวรรค์อื่นที่ไกล คือไม่มีจริงจังเพ้อไปทำไมอิกเล่า หมายความว่าสวรรค์​อย่างพรรณนาได้ในคัมภีร์นั้น ใม่มีจริงดอก ไปทรมานกายตกายหาทำไม ความสุขในโลกคือเบญจพิธะกามะคุณนี่แหละ เปนตัวสวรรค์แท้ของเรา
บทที่ ๑๔
ธรรมะที่ดีๆ ก็น่าชอบใจ ยังโลกสวรรค์วิเศษงดงามก็น่าไปอยู่ แต่ก็นั่นและกำทุนคือหาสุขที่ตาเห็นก่อนหากำไรที่มีจริงหรือไม่จริงก็ไม่เห็นนั้น ตัวเราเองกลับจะมั่งมีกว่าดอกกระมัง ไปตื่นกลองสวรรค์ คือเรื่องสวรรค์วิมานทำไม ถึงเพราะก็อยู่ไกลหูนัก หมายความว่าถึงวิเศษกว่าโลกที่เราอยู่ก็จะจริงหรือมิจริงจะได้ไปหรือมิได้ไปก็รู้เห็นด้วยญาณหรือด้วยตามิได้
บทที่ ๑๕
ชวนให้เรามักน้อยเช่นนิสัยความพอใจของโอมาร์ ​มีครอบครัวเครื่องห่วงใยมากมายให้ยุ่งใจรกเรี้ยวเหมือนแมงมุมชักใยทำไม คนทีมีเครื่องห่วงพรุงพรังอยู่รอบตัวนั้น หวังประโยชน์ไฉน โอมาร์แลใม่เห็น เพราะเราจะตายเมื่อไหร่ ใครสามารถจะไปเกี้ยวหรือไปขู่ไปคัดค้าน ผัดวันตายได้เมื่อไรเล่า
บทที่ ๑๖
ชมดอกกุหลาบในสวนปานสวนเมืองสวรรค์ ชื่นใจยั่วยิ้ม ด้วยดอกกุหลาบ (คือเบญจพิธะกามะคุณเครื่องสำเรีงชีพ) หยอกแลเย้าเราให้ชื่นชมโศมนัศ เหมือนจะร่องบอกว่าแม้กลีบของดอกกุหลาบงามวิไลยราวกะเพชร์ ก็เชีญปลิดปาเล่นตามสบายใจให้เกลื่อนสนามสวนเถีด หมายความว่า มิพอที่จะห่วงใยหน่วงเหนี่ยวไม่หาสุขใส่ตนเชีงเสพเบญจพิธะกามประการใดเลย
​บทที่ ๑๗
เราทั้งปวงต่างพากันคลั่งแผลงฤทธิ์แผลงเดชกันไปต่าง ๆ โดยโลภะเจตนา เดี๋ยวปราถนาใดใม่สมประสงค์ก็เหี่ยวเศร้าเจ่าจ่อย เดี๋ยวปราถนาใดได้สมหวังก็คึกคนองโลดเต้นเผ่นโผนครึกครื้นฟูใจ เปรียบเหมือนก้อนน้ำแข็ง กองได้บนกองฝุ่นฝอยถึงจะรับแสงสว่างงามแวววาวปานใด (ยามฝุ่นพัดกลบก็มัวมล ยามปราศจากฝุ่นแสงก้อนน้ำแข็งก็แวววาว) กระนั้นครู่เดียวความงามก็ละลายหายจมกองฝุ่นฝอยไปหมด หมายความชีวิตเราจะมีบุญมีกรรม ยุบยากหรือเฟื่องฟูประการใด ๆ ใม่ช้าก็ต่างสูญหายไปหมด เหมือนก้อนน้ำแข็งลลาย
บทที่ ๑๘
บางท่านทำคุณประโยชน์แก่โลก เช่นหว่านกล้า​ที่เปนทองคำลงไปในแผ่นดินหวังให้เปนผล บางท่านก็ทำการเหลวไหลเช่นฝนตกไหลเฟอะไป แต่ลงท้ายก็สูญหายลลายไปเช่นกัน เหมือนศพที่เอาไปฝังแล้ว ใครจะกลับขุดเอามาได้อิกมีหรือ ถึงอยากจะฟื้นก็ฟื้นไม่ได้ ตามธรรมดาโลก น่าจะหมายความว่าทำการเหลวใหลเปล่าก็ดี กอบกุศลกรรมก็ดี ทำดีก็คงเปนคุณประโยชน์ดีแก่โลกตามเหตุของความดี แต่จะไปสนองผลแก่ตนในชาติหน้าอิกมิได้
บทที่ ๑๙
แสดงความใม่เที่ยงตามทางของโลก เปรียบถาวรสถานหรือโลกเหมือนโรงกำมลอ มีประตู ๒ ประตู ผลัดกันเปีดกันบิดทอยกันอยู่เสมอ หมายความว่า กลางวันแลกลางคืน พระเจ้าแผ่นดินมีบุญะเดชา​บารมี ถเกองพระเกียรติยศเกียรติคุณ อย่างไรก็ดีทุก ๆ ราชธานีใหญ่น้อย ใม่เลือกว่าพระองค์ไหน ๆ หมด ล้วนเสด็จมาประทับอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็เสด็จพระราชดำเนีรออกประตูนั้นหาย ๆ ไปตามกัน ไม่มีใครมองเห็นพระกายหรือแม้พระเกียรติได้อิกต่อไป
บทที่ ๒๐
สัตว์เดรฉานเสือราชสีห์ หรือที่สุดจนคางคก ก็อาจจะทำอย่างพระเจ้าแผ่นดินสูงสุดได้ ลาป่าที่เปนสัตว์อันทราม ก็อาจจะฆ่าพรานอันเก่งฉกาจยอดอมหิต มีชื่อว่าอพราหมได้ สุดแต่โชค แลใช้โชคนั้นให้ถูกทางที่ควรใช้
บทที่ ๒๑
อธิบายบทที่ ๒๐ ให้กระจ่างว่า วังวิเศษที่สร้างอุทิศถวายพระเจ้าบนสวรรค์ พระเจ้าแผ่นดินผู้มี​อำนาจสูงสุด ยังต้องมาฟุบพระนดาตถวายอภิวาทอยู่โดยสักกัจจะเคารพ แปลว่าใครใม่อาจจะโลดโผนอึกะทึกได้โดยมิต้องรับพระราชอาญา แต่นกเขาที่อยู่ในนั้นไม่พักยำเกรงใคร เย่อหยิ่งคูขันได้ตามลำคนอง ก็ไม่มีโทษหรือกลับนิยมกันเปนดีไปได้ เพราะทำถูกช่องความนิยมของมนุษย์ฉนั้น อมาตย์ราชเสนาที่วิเศษกว่านกแต่มิใช่นกไปเต้นรำร้องอไรขึ้นอย่างนกในเวลานั้นบ้างก็ลองดูเอา
บทที่ ๒๒
แสดงอนิตยะธรรมถึงผู้มีฤทธานุภาพ ที่สุดก็ใม่พ้นถูกพิฆาฏ แต่แกล้งพูดเปนประหนึ่งสดุ้งใจ ว่าเอ่นี่ศรีดอกกกุหลาบเศร้าสลดกว่าศรีโลหิต ซีซาโรมันที่ตีเกาะอังกฤษได้ครั้งปฐมกาลโพ้นที่แผลงมาเปนพระนามราชาธิราชเยอรมันว่าไกซาหรือไกเซออัน
ไหลหยด​ในเวลานั้นแล้วหรือ แลแกล้งพูดว่าดอกไม้ที่แดงฉานอยู่ในสวนนี้ รองรับย้อมศรีเลือดอันหยดจากศีรษะเกล้าใครนี่น่ารักมวญมนุษย์นิยมกันมายุคหนึ่งครั้งไหน จึ่งแดงอยู่ดอกกระมัง โอมาร์ใม่เห็นวิเศษในการทรงอิทธิฤทธิ์เปนผู้มีเดชาภินิหาร แลแม้มหาชนนิยมปานใด ด้วยมีวันพินาศสาบสูญไปเช่นกันหมด
บทที่ ๒๓
ก็หมายความแสดงอนิตยะธรรมเยี่ยงบทต้น ว่าสนามหญ้าริมน้ำหญ้ารบัดใบเขียวสดน่าเอ็นดูงอกงามอยู่ปริ่มเฉนียนน้ำดูชื่นใจ โอมาร์หมายจะเอนตัวลงพักก็สดุ้งเสียวใจ เกรงว่าหญ้าเหล่านี้จะงอกจากปากใครที่หน้ารักแต่ครั้งไหนที่ถูกพิฆาฎก็จะไปรู้หรือ หมายความว่ามีอเนกจนเหลือคณนา
บทที่ ๒๔
ชื่นใจด้วยรินองุ่นด้วยถ้วยไสดื่ม ไม่มีทุกข์ ​ใจคอรื่นเริงสบายอยู่ในเวลานี้ เปรียบด้วยยามกำลังเสวยสุขบำเรอชีพด้วยเบญจพิธะกามะคุณอยู่ ครั้นคิดถึงวันพรุ่งนี้คืออนาคตกาลขึ้นมาก็ออกสดุ้งใจกลัวตัวจะตาย แต่หวลคิดได้ว่าเปล่า ๆ ตัวโอมาร์หนีไม่ต้องภยันตรายรอดอยู่ได้ตั้งแสนปี หมายว่าชั่วนิรันดร คือใม่ตาย เพราะการตา
ยก็เปนธรรมดาของสังขารเหมือนตาแลเห็นดวงอาฑิตย์ขึ้นแล้วตก ชีวิตโอมาร์คงอยู่ชั่วนิรันดร นอกจากสิงศริรกายนี้หรืออันตรธานไปอื่นเท่านั้น แน่ใจว่าไม่ถือเอาเปนเครื่องตระหนักหรือทุกข์โทรมนัศ ในเหตุที่สักว่าสภาวะเปลี่ยนแปลงไปตามธรรมดาโลกะวิสัยฉนั้น
บทที่ ๒๕
ครวญปรารกถึงเพื่อนรักคู่ชีวิตทั้งหลาย เวลาของโลกแลโชคของเราคอยรุนเร่งให้ตายอยู่เสมอ เรา​ต่างดื่มเบญจพิธะกามะคุณปลื้มอกปลื้มใจชื่นชม สมสุขหวังดีต่อกันอยู่เมื่อนี้ด้วยกันแล้ว ต่างคนก็ต่างหลบละกันเข้าไปพักในห้องหุรารสถาน คือที่ในโลกหน้าอันแสนไกล แปลว่าตายจากกันสูญ ๆ ไป
บทที่ ๒๖
บัดนี้เหลือแต่พวกชุดเราอยู่ในโลก เปรียบว่าอยู่ในห้องสนุกสนานเพลีดเพลินอึงคนึงอยู่ด้วยกัน คนชุดเก่าหลีกเราหายห่างไปหมด คือตายไปเสียหมดแล้ว แต่ถึงบทเราพิณพาทย์ทำเพลงเดีนก็จับออกเดีนบ้างอยู่แล้ว คือล่วงเข้าปัจฉิมะกับย่ำเข้าไปหาความตายทุกที ชุดใหม่รุ่นหลังก็รุนไล่หลังเข้ามาแทนที่ ธรรมดาโลกเปนอยู่เช่นนี้เสมอ ใม่มีใครหนีพ้นได้
บทที่ ๒๗
คนชุดก่อนก็ลงไปนอนอยู่ในหลุมน่ายเปนดินไป ​คนชุดใหม่ก็มิใช่จะแผลงฤทธิ์แผลงเดช หนีไปข้างไหนพ้นได้ ชุดหน้าหรือชุดใหม่ ๆ ต่อไปอิกเท่าไร ๆ ก็อย่าคิดเลยว่าจะรอด เปนเช่นกันได้ทุก ๆ ชุด ล้วนฝังดินทับ ๆ ซับซ้อนกันลงไป เล่นตลกถามว่าใครหนอจะเปนคนอยู่ยอด
บทที่ ๒๘
โอมาร์แนะนำว่า มีอไรที่จะจ่ายใช้บำรุงชีวิตให้เปนสุข น่าขวนขวายจ่ายกว้านความสุขเสียก่อนตายเถิด ด้วยธาตุดินก็คงจะรนลงไปยัดเยียดอยู่เปนดิน ดินไม่มีชีวิตเปนชิ้นเปนอันอย่างไรหมด นอกจากสูญ
บทที่ ๒๙
ปลงอนิตยะธรรมสังเวช ว่าเราจะต้องจากวัดจากบ้านจากความทเยอทยาน จากความย่อท้อ จากเพื่อนจากศัตรูแลจากพี่น้อง (บุตร์ภรรยาด้วย) จากตัวคือ​ร่างกายของเราเอง จากความรัก จากความสุขแลจากความโศก จากความได้ยินได้ฟัง จากขับร้อง แลจากเหล้าคือความเมา หลงเสวยกามะสุขสูญสิ้น เปนอันจบกันเท่านั้นเอง
บทที่ ๓๐
บางท่านเตรียมวันนี้ หมายความว่าเตรียมสำหรับจะได้ดิบได้ดีในชาตินี้ บางท่านเตรียมต่อวันพรุ่งนี้ หมายความว่าเตรียมสำหรับได้ดิบได้ดีในชาติหน้า พูดประหนึ่งเทวะทูตร้องตโกนบอกว่าเขลาทั้งเรื่อง ความจริงมันใม่มีสมบัติอไรจะให้รางวัล ทั้งชาตินี้แลชาติหน้าเหมือนหมายดอก หมายความว่านมัศการพระอาหล่าป่วยการเปล่า
บทที่ ๓๑
พูดเปนที่ว่าสาวน้อยนอนหลับอยู่มีเสียงมาร้องตโกนบอกว่า ดอกไม้จะบานต่อเช้า หมายความว่าญาณมนุษย์จะตรัสรู้ได้ ต่อเมื่อทราบธรรมดา​โลกะวิสัย พูดต่อไปเปนทีว่าสาวน้อยนางนั้นตกใจสดุ้งตื่นขึ้นมองหา ก็ซ้ำได้ยินเสียงแว่ว ๆ เหมือนใครกระซิบบอกว่า ดอกไม้ที่บานแล้ง ย่อมไม่รู้จักตายอยู่ชั่วนิรันดร หมายความว่าคนที่ตรัสรู้ธรรมดาโลกะวิสัยแล้วใม่รู้จักตาย คือชีวิตใม่รู้สูญ โอมาร์น่าจะเชื่อว่าชิวิตมนุษย์ไม่รู้สูญ แต่ใม่มีพยานยืนยัน จึ่งอุบายพูดประหนึ่งสาวน้อยนอนฝันแกมลเมอ ๆ
บทที่ ๓๒
ตำหนิว่าไฉนนักปราชญ์ยังแค่นเถียงกันถึงเรื่องชาติก่อนชาติหน้าอยู่ได้ จนกว่าขยากจะอุดปากแน่นต้องนิ่งไปเอง คือจนตายก็เอาแน่เอาจริงตรงไหนมิได้ การโง่ที่จะเอาชนะคะคานกันด้วยโง่ฉนี้นั้นดีหรือ
บทที่ ๓๓
ขอให้ฟังคำคัยยาม ขยอกกลืนหรือบ้วนคำนักพรตอื่น ๆ เสียเถีด อย่าถือเอาเปนอารมณ์เลย ความ​จริงนะมีแต่มีชีวิตเที่ยวว่อนอยู่ในโลก สุดแต่บัจจัยจะปรุงแต่งธาตุให้เปนรูปแลเปนนาม (ใม่ใช่ชื่อคือชีวิต) เท่านั้น ที่แท้ก็นั่นสักแต่ว่าของกลางหมดใม่ใช่ของใคร แต่เกีดมามีชีวิตแล้วก็ย่อมหลงทนงว่าเปนของเรา เปนตัวเปนตนเรา แสดงอนัตระธรรมที่ขีวิตสังขารเปนของกลาง หาใช้าตัวใช่ตนของใครใม่ หากอุปาทานตัณหา อวิชาพาให้ถือมันเอาเอง
บทที่ ๓๔
ร่างกายแลชีวิตเรานี้เปนของเรา หริอมิใช่นั้น ยกไว้ทีเถิด นึกเสียว่าร่างกายแลชีวิตเรานี้ของนายเรา (คือธรรมดาโลกะวิสัย) ท่านมอบให้เราเปนพี่เลี้ยง เราก็จำเปนจะต้องเอาธุระถนอมกล่อมเกลี้ยงประคับประคอง (บำเรอด้วยเบ็ญจพิธะกามะคุณ) ไปจนสุดปัญญา (ด้วยโอมาร์เชื่อว่าธรรมดาร่างกายชีวิตต้องการเบ็ญจพิธะกามะคุณเปน
เครื่องบำเรอสุข) สุด​จะคิดบิดตกูดทิ้งลูกนายแขวะนายเอาความสุขเฉภาะตนได้ หมายความว่าการฝืนธรรมดาโลกะวิสัยไปบำเพ็ญพรต ใม่บำเรอชีวิตร่างกายด้วยเบ็ญจพิธะกาม โดยเหตุประการใด ๆ ก็ตามฉนั้น เปนการทรยศต่อเจ้านาย คือธรรมดาโลกะวิสัย เห็นแก่ตัวแหวกช่องน้อยหาความสุขแต่เฉภาะตน
บทที่ ๓๕
บุหงาหอมเราถนอมไว้ก็สำหรับเมื่อเราจะได้ดมหอมชื่นใจ ชีวิตเราถนอมได้ ก็สำหรับเพื่อเราจะได้ชื่นชมความสุขปลื้มอกปลื้มใจ จึ่งเตือนอย่าให้ลโมภมากกระเวนกระวายวุ่นกอบโกยสิ่งอื่นเลย หมายความว่าสวรรค์วิมานเพ้อไปเลย เสียแรงเกีดมาชาติหนึ่ง รักขีวิตแล้วจะไปหลงเอาอย่างคนที่เผยย โดยหลงเขลาเอาเรื่องเาราวิไร ชวนแต่ให้หาความสุขบำเรอชีวิตด้วยเบ็ญจพิธะกามะคุณเปนกำไรเท่านั้น
​บทที่ ๓๖
เมื่อยังเด็ก ๆ เราก็เอื้อเฟื้อที่จะแสวงหาวิชาสดับตรับฟังคำสั่งสอนของครูบาอาจารย์ แลนักพรตศาสดาต่าง ๆ เพื่อทราบลักษณ์สังสาระวัฎ คือการเวียนตายเวียนเกิด แลอมัตะธรรม หมายความว่าชีวิตคงอยู่นิรันดร เช่นพวกคฤศตังแลอิสลามถือ ใม่ใช่พระนฤพานอย่างพุทธศาสตร์ แลธรรมะนิเทศทั้งปวงจนเกีนพอ แล้วก็คายออกมาเสียช่องเดียวกันกะทางที่กรอกความรู้อย่างใหม่อันวิเศษเฉลีมปัญญานั้นเข้ามาแทนที่
บทที่ ๓๗
เมล็ดอันเปนตัวพืชของพิชานั้น โอมาร์พึ่งครูบาอาจารย์เภาะขึ้นให้ แต่โอมาร์ใช้น้ำพักน้ำแรงของตัวเอง อุตส่าห์รดน้ำจึงได้งอกงามขึ้นเปนต้นได้ โคลง​อุทานธรรมเหล่านี้ แต่ละล้วนเปนผลของต้น พิชาที่อุสาหะสงวนปลูกจนโตขึ้นมาออกลูกได้ เมื่อมาก็มาเหมือนน้ำไหลมา เมื่อไปก็ไปเหมือนลมพัดไป
บทที่ ๓๘
บรรยายบทที่ ๓๗ ว่า เราเกีดมาในโลกนี้ทำไม ก็ไม่มีใครรู้จริงได้ มาแต่ไหนก็ไม่มีใครรู้จริงได้ เหมือนน้ำไหลมาแต่ไหนก็เปนเลีกที่ใครจะหยั่งรู้จริง (เห็นแต่มาแต่ธารเขา หรือตกมาแต่ท้องฟ้า แต่ก็ต่อนั้นขึ้นไปอิกเล่า) เมื่อชิวิตจะจากไปก็ไปเหมือนลม เหลือรู้ว่าจะพัดหวนไปข้างไหนบ้าง
บทที่ ๓๙
ป่วยการถามว่ายามชิวิตออกจากร่างกายนี้แล้ว มันจะไปข้างไหน (ถึงถามมันก็ไม่รู้จะเอาอะไรที่ไหนมาตอบได้) ป่วยการซักว่า ทำไมมันถึงจะไปเสียจาก​ร่างกายนี้ ขอแต่เสพเบ็ญจะพิธะกามะคุณปลุกใจให้สำเรีงอยู่จนถึงเวลาตายเถีด ขอสนุกสนานอยู่เสมอ ขี้เกียจชเง้อเจ๋อสวรรค์ เพราะมันใม่มีจริงเช่นหลงตกาย
บทที่ ๔๐
พูดเปนทีว่าจากโลกนี้ไปเที่ยวสวรรค์ทั้ง ๗ ชั้นออกทั่ว (ด้วยสวรรค์แขกอาหรับมี ๗ ชั้น) กระทั่งแท่นทิพอาศน์พระเสาร์ ก็ได้สอึกเข้าไปเฝ้าถึง (พระเสาร์เหมือนท้าวสกรินทร์ คืออพระอินทร์ของแขกอาหรับ) หมายความว่าตรองรู้เสียหมดแล้วว่า สวรรค์แลพระเสาร์มันใม่มีจริง นอกจากลมปั้นขึ้นเพ้อ ๆ เชือกที่ขอดขวางทางหลายเส้นก็แก้คลายออกได้หมด แต่ขมวดโชค คือทำไมอยู่ดี ๆ จึงมียามเคราะห์ดีเคราะห์ร้ายกับขมวดตาย แล้วจะเปนอย่างไรต่อไปนั้นต้นขมองหมดปัญญาแก้ไม่ออก คือใม่รู้จริงแน่ได้
บทที่ ๔๑
ที่ว่ามีประตู แต่ใม่รู้ว่าทำอย่างไร จึ่งจะไขออกได้นั้น หมายความว่าเห็นอยู่ดี ๆ ก็บรรดารให้เคราะห์ดีแลเคราะห์ร้ายประจักษ์ตา แต่ไม่รู้ที่ว่าจะทำอย่างไร ถึงจะปั่นให้โชคดีแลร้ายได้ ที่ว่ามีหน้าซุกอยู่ในโปง แต่สุดจะมองเห็นได้นั้น หมายความว่าเห็น
คนตายอยู่ตำตา แต่ไม่รู้ว่าตายแล้วขีวิตเปนอย่างไรต่อไป ไปข้างไหนบ้าง เสียงพูดกันว่า พวกเรา พระเจ้า ออกแส้ร์หนวกหู แต่สักหน่อยพวกเรา หรือพระเจ้า เงียบเสียงหายไปหมด ใม่กล้ากระโตกกระตาก แปลว่าพากันตายไปหมด พระเจ้าหลอก ๆ คุ้มเกรงรักษาใคร ก็ใม่เห็นได้สักหน่อย
บทที่ ๔๒
แผ่นดินใบ้พูดใม่ได้ ทเลบ้าใม่รู้จักเซาคนองคลื่นโพล่งๆ อยู่เสมอนั้น เหมือนกันกะท้องฟ้า น่าจะ​เปนอยู่ประจำโลกชั่วนิรันดร เวลากลางวันกลางคืนปกโลกเหมือนมุ้ง ผูกครอบลงมาจากพื้นฟ้า หมายความว่า แผ่นดินทเลดแลฟ้าน่าจะเปนของคงอยู่ชั่วนิรันดร แต่ก็ใม่แน่ใจ
บทที่ ๔๓
ทำเปนทูลถามพระเจ้าว่า คนจะไปสวรรค์จะเอาอไรเปนโคมนำทางดี เพราะมวญมนุษย์โง่เขลามืดมลอยู่ในโลกอลเวง ทำเปนว่าพระเจ้าตรัสตอบว่า โคมบอดบอดดี คืออย่ารู้อไรจริงนั่นและ เปนทางไปสวรรค์ละ เพราะรู้จริงมันเข้าแล้วก็มีแต่สูญเปล่าหมด ใม่มีอไรเปนแก่นสารจริงจังอยู่ตรงไหน
บทที่ ๔๔
ทำเปนทีพูดกะโลกว่า เวลามีชีวิตอยู่จะปฏิบัติไฉนจึ่งจะดีสมชีพ ทำเปนเสียงใครกระซิบบอกว่า เวลายังมีชีวิตอยู่ให้รีบโศมนัศ ให้ดื่มความสุขเสมอ ๆ ​ไว้เถีด เมื่อตายแล้วจะใม่ได้พบเห็นอิกต่อไป
บทที่ ๔๕
โอมาร์ว่าตุ่มดินตอบ ผะชดศาสนาอิสลาม เพราะตุ่มกะคนก็ทำนองเดียวกัน เปนของคนอื่นปั้นให้ เพราะว่ามนุษย์เปนมาเพราะพระเจ้าสร้าง เหมือนช่างม่อปั้นตุ่ม จึ่งแกล้งว่า ชรอยตุ่มทิ่แอบตอบตามบทที่ ๔๔ นั้น คงมีใครสิง มีชีวิตเช่นคนจริงมาสักครั้งหนึ่ง จึ่งรักสนุก อยากหาความสุขฉลองชีวิตอย่างฉลาด ถูกอารมณ์โอมาร์ แลจุ๊บเสียหลายครั้ง
บทที่ ๔๖
กลางวันวันหนึ่ง โอมาร์พูดเปนทีว่าไถลเข้าไปเที่ยวในตลาด เห็นช่างม่อคร่ำกำลังขยำดินเปียก ๆ เคล้าอยู่ เอามือทุบดินถุบ ๆ แลได้ยินดินครางว่า ค่อยพี่ ค่อยหน่อย ขันไหม เปรียบความว่า แม้ก้อนดินเมื่อ​ใครขยำเข้า ก็ยังอาจจะออกเสียงดังออดแอดได้ ผะชดศาสนาอิสลาม ที่เชื่อว่าพระเจ้าสร้างมนุษย์ เมื่อสาบสันข่มเหงหนักเข้า มนุษย์ก็อาจจะออกเต้นหลีกได้บ้างเปนเหมือนกัน
บทที่ ๔๗
ก้อนดินอันเปนธาตุเลวทราม พระเจ้าขยำๆเปนโคลนปั้นมนุษย์ คือพระเจ้าสร้างมนุษย์นี้ มิใช่นิทานแต่ครั้งดึกดำบรรพ์ บรรพะบุรษย์คือ ปู่ ย่า ตา ชวด หลายชั่วคน เชื่อแลเล่าสืบ ๆ ต่อกันมาจนถึงหูเราดอกหรือ
บทที่ ๔๘
พูดต่อบทที่ ๔๗ ว่า ใม่ใช่อยาดน้ำที่เราสาดรดไม้เลื้อยที่เฉาด้วยถูกไฟเผาลวกข้างล่างนี้ เพื่อให้ไฟอันส้อนซึกอยู่ลึกลับลี้มาไม่มีใครรู้ช้านานดับดอก แปลว่าเปนสักแต่ว่านิทานนึกขึ้นเล่าๆต่อมา ใม่ใช่​ความจริงที่จะแก้กังขา หรืออวิชาที่เราเดือดร้อนอยากรู้ความจริงอยู่
บทที่ ๔๙
เหมือนเวลานางสาวน้อยยกถ้วยองุ่นสด อันเปนทิพรศขันซดอร่อยปาก เราจะยอมถ่อมพยศอดเปนจอกเปนถ้วย รององุ่นจิ้มปากให้เจ้าหล่อนซดอร่อยอยู่คนเดียวทนอดอย่างไรได้ หมายความว่ายอมถ่อมตัวเลวยกพระเจ้า ที่ไม่มีฤทธิ์เดชจริงจังแลใม่ใช่เจ้าบุญนายคุณอย่างไร ให้ได้เกียรติยศป่วยการ
บทที่ ๕๐
แกล้งพูดถึงดอกดุลิป คล้ายดอกทุเรียนของไทยเรา ยามเช้ามีน้ำหวานหล่ออยู่ในดอกซดหวานหอมแปล้ม ๆ บอกให้เร่งจิบชื่นใจยามบัจจุสสมัยเถีด อย่าตละ (โลภสวรรค์) เชื่อพระเสียโชคเสียเปล่าเลย ​ซดเมื่อขว้ำถ้วยเหล้าลงแล้วจะดีที่ไหน เปรียบความว่ากำลังอุดมวัยเชีญเสพเบญจพิธะกามะคุณ อย่าหลงลเมอเชื่อนักพรตจนปัจฉิมะวัยจึงรู้ศึกตัวเลย
บทที่ ๕๑
ขยายความบทที่ ๕๐ ว่า แทนเวลาครู่หนึ่งที่จะนมัศการพระเจ้า จงชิงกอดสาวน้อยชื่นอกชื่นใจก่อนแม่ (คือความตาย) แร่กลับมากอดลูกของแม่เถ้าเถีด กอดหน่อยแล้วก็ปล่อยแขนเจ้า เปนอันกอดครั้งท้ายลาจากกัน หมายความว่าชีวิตมนุษย์อยูใม่ช้าได้เหมือนหวัง ถึงรักแวนรักก็จำต้องลาจากกันไปทั้งรัก
บทที่ ๕๒
เตือนสหายให้เร่งดื่มองุ่น คือบำเรอชีพด้วยเบญจพิธะกามะคุณอย่าพักเลย ด้วยวันคืนสิล่วงไปล่วงไป ถึงตายแต่วานนี้จนพรุ่งนี้ยังไม่เกีด ก็อย่ากลัว​เลย ถ้าวันนี้ได้สนุกน้ำใจสำเรีง หมายความมิให้ห่วงโลกหน้ายิ่งกว่าห่วงบำรุงชีพให้บรรเทองสุขในชาตินี้
บทที่ ๕๓
ขณะหนึ่งเราพะวงชีวิตในการทำบุญ หรือขณะหนึ่งเราพะวงชีวิตในการสร้างคุณะประโยชน์ก็ดี ก็เหมือนดาวในท้องฟ้ากับพวกเกวียนเดีนทางในยามราตรี ต่างมุ่งอรุณรุ่งเปนที่ตั้ง แต่ครั้นรุ่งขึ้นแล้วจะมีอไร ก็เปล่าทั้งเรื่อง หมายความว่าทำบุญก็ดีทำคุณก็ดี หวังว่าจะบังเกีดผลให้บรรดุโลกสวรรค์นั้นเหลวเปล่า
บทที่ ๕๔
เราช่วยโลกๆช่วยเลี้ยงบรรโลมชีวิตเราให้ชมชื่นมีความศุข ช่วยพระเจ้าๆดีแต่ช่วยโหมชีวิตเราให้แห้ง (หมายความว่ามีแต่ชอบให้บำเพ็ญพรตงดเสพ​เบญจพิธะกามะคุณ) หวังสวรรค์เปล่า ๆ เชื่อสวรรค์เปล่า ๆ ใม่มีประโยชน์อย่างใดเลย ใครขืนทิ้งองุ่น (คือเบญจพิธะกามะคุณ) ไปหมกมุ่นแต่ในทางศาสนา ที่เหมือนได้แต่แท้งลูกออกมาเปนแต่ความเท็จ ก็เสียทีเกีดมาชาติหนึ่งเปล่า ๆ
บทที่ ๕๕
น่ากลัวตายน้อยกว่าน่ากลัวเปนๆอยู่ ด้วยตายแล้วทเบียนก็ลบรูปโฉมก็อันตรธาน ความกลุ้มกล้ำในทรวงก็ดับ น้ำทิพก็หยัดยิบๆเปนพรมอยู่ในตัวเองนิรันดร คุ้มชีวิตสงัดแลจำเรีญอยู่มิรู้สิ้นสุด หมายความตามความเห็นของโอมาร์คาดว่าชีวิตมนุษย์มิรู้สูญ ยามออกจากกายแล้วก็ลอยอยู่ชั่วนิรันดร แต่ไม่มีหลักพยานพิศูจน์จึ่งมิกล้ายันยัน
​บทที่ ๕๖
เมื่อเราท่านหลบเข้าหลังโปงปิดแล้ว คือตายแล้ว กว่าโลกที่เราอาไศรยจะประลัยกัลบ์ก็ยังอิกช้า ส่วนมนุษย์เกีดแล้วตายเหมือนวิ่งวนเวียนกันอยู่ เช่นคลื่นในมหาสมุทร์ฉนั้น
บทที่ ๕๗
เฆาะคนที่ถือศาสนะลัทธิเชื่อสวรรค์ ว่ามัวง่านใจกลุ้มเปนเกลียวอยู่ทำไมใม่รู้แล้วรู้รอด เดี๋ยวโน่นเดี๋ยวนี่วุ่นอยู่เสมอ มาหาช่องสำเรีงชีวิตให้เปนสุขจะฉลาดกว่า (บำเพญพรต) ดอกกระมัง เหนื่อยเปล่า อยากจะอร่อยสิหลงเขลาไปคว้าเอาฃมมาเคี้ยวทำไม หมายความว่าผลของการนมัศการพระ หรือบำเพ็ญพรตใม่มีผลสวรรค์เช่นหมายดอก ทนลำบากเหลว ๆ เปล่า ๆ
​บทที่ ๕๘
เพื่อนรู้ว่าโอมาร์อยู่บ้านเหงาหรือ เปล่าดอกหมู่นี้โอมาร์แต่งงารใหม่ (หมายความว่าถือศาสนาอย่างใหม่) เมียหมันก๋ากั่นแก่ (คือศาสนาอิสลามเปรียบหญิงหมันถึงอยู่ด้วยกันก็ไม่มีบุตร์ เพราะหมายสวรรค์ก็ไม่มีสวรรค์จริง นอกจากเพ้อไปตามความเชื่อหลงๆแต่บุรมสมะกัลป์) ใจขยะแขยง อย่าเสียแล้ว (คือเดีมโอมาร์บำเพ็ญพรตศาสนาอิสลามแล้วศึก) ชื่นชมแต่แม่องุ่นเมียใหม่กระดิกกระดี้รี่รักใคร่ถนอมไว้ชื่นชีวิต (แปลว่าประพฤติแต่บำเรอชีพด้วยเบญจพิธะกามะคุณถ่ายเดียว)
บทที่ ๕๙
ธรรมะอย่างใดว่าสิ่งใด มีก็ดี ใม่มีก็ดี แม้เปนของจริงเช่นทอดบรรทัดเปนแนวจำกัดสูงต่ำ ให้อยู่ที่​แจ้งตระหนักแน่ โอมาร์ก็มิพักทยาทแยแสรเหมือนองุ่น (คือเบญจพิธะกามะคุณ) โอมาร์เห็นอไรๆในโลก ใม่สำคัญเท่ากับบำรุงชีวิตให้เสวยสุขโดยชอบธรรม
บทที่ ๖๐
โอมาร์เห็นว่าน่ามนุษย์ผุดเกีดมาแล้ว จะฉลองชีวิตให้สมชาติที่เกีดมา ประพฤติตามความจริงอันลี้ลับอย่างฉลาด อย่ามัวโรเรหลงเลมออยู่เปล่า ๆ ผมเส้นเดียวถ้าฉลาดแล้วอาจจะกั้นปันความเท็จแลความจริงออกเปนคนละแผนกได้ มีชีวิตเจริญอยู่หวังอไร น่ารู้แลน่าเรียนคิดถนอม (เชื่อว่าชีวิตเกีดมาสำหรับสำเริงเบญจพิธะกามะคุณเท่านั้น เปนกำไรแล้วก็ดับสูญ)
บทที่ ๖๑
ความเท็จแลความจริงนั้น ผมเส้นเดียวก็อาจ​จะสกัดให้จากกันได้ ชีวิตเดียวก็สืบพยานได้ยืดยาว ขอให้ดูเหมือนพระคลังมหาสมบัติของพญามหากษัตริย์ กับดูองค์พญามหากษัตริย์เองด้วยเถีด ก็อาจจะชี้ปัญหาข้อนี้เฉลยได้เด่น ๆ (ใครเปนเจ้าของใครแน่)
บทที่ ๖๒
ใม่ว่าความลึกลับอย่างใดย่อมกลับแจ้งตระหนักด้วยดวงแก้วคือปัญญาคน เมื่อฉนี้ก็ควรเลี่ยงหนีทุกข์ที่พอจะเลี่ยงได้ เยี่ยงปรอดดีคอยดิ้นอยู่ในตัว เลียนมาไถ่มาฮี (มาแลมาฮีเปนมหาอมาตย์นักปราชญ์แขกอาหรับ) แลเห็นเถีด ใครเปลี่ยน (ถานันดรยศ) ใครเตียนสิ้น (พินาศตาย) ท่านตั้งตัวท่านอยู่ได้ (คือเลี่ยงหลีกอลุ่มอล่วย เอาตัวรอดจนตลอดรอดฝั่ง ทั้งยามเปลี่ยนวงค์กษ์ตริย์)
​บทที่ ๖๓
บอกว่าเมื่อตรองครู่หนึ่งแล้ว จงเข้าไปห้องหลังจอฉายหนังเถีด ทนนั่งมืดตึดตื้ออยู่จนกว่าโคมฉายจะฉายหนังจะเชีด เวลาไหนเปนอดีตะกาลอยู่นิรันดร ท่านก็ทราบเองแน่ใจ (คือชีวิตเหมือนฉายหนังปรากฏแวบเดียว นิรันตระกาลนั้นก็เวลามืด)
บทที่ ๖๔
ถ้ายังไม่เข้าใจขอให้โดดลงไปชิดดิน แลให้เผ่นขึ้นไปบนฟ้า รู้สวรรค์บิดก็อย่าเก้อ ผะชด วันนี้แน่ใจว่าตัวของเราเปนตัวเราแท้แล้ว จงคอยดูพรุ่งนี้เถีด (อนาคต) เราคงจะต้องเว้นเปนตัวของเราวันหนึ่งแน่
บทที่ ๖๕
กาฬโรคที่มาผจญชีวิตมนุษย์เปนอยู่เสมอเมื่อไร ชุมวันนี้พรุ่งนี้ก็ซาแล้วก็หาย จงหย่อนชีวิตลงไปในควง​หนีบให้มันหนีบเถีด เข้ารีตนอกรีตฉนี้และ สนุกสำราญแท้ เปนตัวสวรรค์ละ (หมายความว่า ชีวิตเรามีความทุกข์มารันทำ แต่ใม่ทุกข์ไปเสมอดอก สำเรีงชีวิตด้วยเมาเบญจพิธะกามเถีด ถึงเจ็บแสบบ้างก็ทำเนาเสีย)
บทที่ ๖๖
พูดเหมือนมองเห็นใครแง้มประตูโรงเหล้าโผล่ออกมา รูปสวยราวกับนางฟ้า เดีนล่อย ๆ มา ประคองผะอบองุ่นมาให้ดื่ม (เปรียบเบญจพิธะกามเปนของเมา ๆ หลง ๆ)
บทที่ ๖๗
ตรรกสงเคราะห์วิเคราะห์ด้วยองุ่น (คือเบญจพิธะกามะคุณ) เห็นได้ง่ายกว่าวิเคราะห์ด้วยสวรรค์ ที่ต้องเถียงกันใม่รู้จักจบ นักปราชญ์ผู้ชำนาญการแปรธาตุ ฉลาดหลอกแกล้งล่อให้มนุษย์หลงฉมังนัก ชีวิตตกั่วของเราก็เทศนาเอาให้เห็นเปนประหนึ่งทองคำไปได้
​บทที่ ๖๘
พระมหมัดผู้เปนพระเจ้าอันทรงฤทธิ์ชัยชนะโลก ฆ่าคนที่ใม่นับถือเสียเตียน จนคนกลัวฤทธิกลัวภัยต่าง ๆ สั่นสท้านใจเสียเสียหมด ทั้งฆ่าด้วยคมศัสตราวุธ ทั้งฆ่าด้วยพระขรรค์มนต์เอาสวรรค์ลงล่อ
บทที่ ๖๙
เหตุไฉนเชื้อความเชื่อพระเจ้าจึ่งเจรีญนักก็ไม่ทราบ พระเจ้าอาจจะสาปแช่งได้จริง หรือพเอีนเปนประจวบเล่า เถีดพระพรพระสรรเสริญนั้น พอสมมนุษย์จะนิยมได้ แต่ข้อที่พระสาบแช่งต่าง ๆ นั้น ร้ายแก่เลือดเนื้อเหลือกลืนทีเดียว
บทที่ ๗๐
จึ่งได้ขบถยักกระถดมาเลี้ยงชีวิตประสาพอใจ เคยเชื่อพระเจ้า ครั้นเชื่อก็หาให้ผิดไผล้จากโลกะวิสัยไป ​ด้วยมัวหลงแต่จะคลั่งหวังดื่มสวรรค์วิเศษอยู่แล้ว รศที่หลอกนั้น กลับทำให้หกคเมนลงมาแอ้งแม้งหน้าขยะแขยงนัก (ตัวโอมาร์เองถืออิสลามจนแก่จึ่งได้ทิ้ง)
บทที่ ๗๑
หากศาสนะลัทธิใดสอนให้ทิ้งองุ่น แลสอนให้ทิ้งเสน่ห์ว่าเปนทางนักพรตไปสู่สวรรค์แล้ว น่าสงสัยว่าทางสวรรค์แพรกนั้นจะลวงโลกละกระมัง คมแต่ในฝักครั้นชักออกเหน้า ปราศจากผลที่สมควร
บทที่ ๗๒
น้อยใจที่ศาสนาเอาแต่นรกมาขู่ เอาสวรรค์มาล่อ เห็นแต่มีชีวิตว่ายป้วนอยู่เท่านั้น มีจริงสิ่งเดียว อื่น ๆ ปดทั้งนั้น คือ ดอกไม้ที่บานแล้วไม่รู้จักตายชั่วนิรันดร (หมายความว่าชีวิตคนที่ตรัสรู้แล้ว ย่อมคงอยู่นิรันดร แม้จะแตกออกจากเบญจขันธ์แล้ว)
​บทที่ ๗๓
ปลาดมนุษย์นับหมื่น ๆ ไปก่อนตัวโอมาร์ เดีนออกประตูที่มืดตื้อออกไปออกไปแล้ว ใม่เห็นผันศีร์ศะกลับมาสักท่านหนึ่งเลย บอกให้โอมาร์ทราบว่า เมื่อจะไปบ้างจะหมายอไรเปนที่ยึด
บทที่ ๗๔
คำสั่งสอนอย่างดีของนักปราชญ์แลนักพรตที่เกีดก่อนตายก่อนทั้งปวง เอาแต่คลั่งเพ้องมงายเหมือนนิยายปด ๆ ปนโง่ฉงน สอนศิษย์แต่ให้คอยตกายชเง้อแต่หลับ (คือตาย) แล้วก็จะได้ขึ้นสวรรค์เท่านั้น
บทที่ ๗๕
ถ้าชีวิตหลุดพ้นออกจากร่างกายได้ ลอยอยู่บนฟ้าแล้ว ก็สมยศอายใยควรหยิ่งเถีด ด้วยกเลวะรากเราสักแต่ว่าโคลนใม่วิเศษอันใด ควรหน่ายแท้
​บทที่ ๗๖
รูปะกายเราคล้ายกะท่อมศาลเจ้า สำหรับเจ้าคือชีวิตสิง คอยให้พญามัจจุราชมาฉีกเนื้อตาย เมื่อชีวิตถูกบีบคั้นสวิงสกายออกจากศาลคือรูปะกายแล้ว ธรรมดาโลกก็รื้อศาลคือรูปะกาย แลปลูกใหม่เอาธุระใหม่สำหรับให้เจ้าคือชีวิตใหม่เข้าสิงใหม่
บทที่ ๗๗
พูดเปนทีลองใช้เจตภูตไปเมืองตาย สืบหลักฐานที่เปนลายลักษณ์อักษรเรื่องตายมาให้แน่ ว่าตายแล้วจะเปนอย่างไรต่อไปบ้าง ทูตที่รักคือเจตภูตหายไปหลายปักษ์ (ตั้งเดือน ๆ) พึ่งกลับมาบอกว่าตัวโอมาร์เปนเปล่า (สูญใม่มีอไร) ทั้งเปนสวรรค์แลเปนนรกด้วย รวมอยู่ในกายตัวเองอันเดียวเสร็จ
บทที่ ๗๘
สวรรค์นั้นก็ปราถนาใดได้สมหวัง นรกก็เงา​เขลาเทยอทยานยุ่งร้อนใจปราถนาใดมิได้สมหวัง เปนตัวก็ง่วนซานคลำมืดตกายไปตามเพลง เมื่อผละตัวแล้วตัวก็ลอยหาย (สูญ)
บทที่ ๗๙
ลองคิด ๆ ดูก็ขำสดุดใจด้วยข้อโอวาทมีไว้ว่า ให้เทียบเข็มทิศมนุษย์กับเวลาให้ตรงกันจึ่งจะดี ก็ถ้ายกเข็มเสียจากปฏิทินแล้ว แม้ตายแต่วันนี้จนพรุ่งนี้มิยังใม่เกีดหรือ (แกล้งผะชดศุภาสิตโบราณที่โอวาทไว้ให้ประพฤติตัวสมแก่กาลเวลา)
บทที่ ๘๐
เถีดปล่อยนักปราชญ์อาละวาดโต้เถียงกันเรื่องศาสนาตามใจท่าน เรื่องปราบโลกนั้นรับเปนภาระของโอมาร์เอง จะแอบกรอกแผลงฤทธิ์ใม่ให้น้อยหน้าพระมหมัดทีเดียว (แปลว่าเชื่อว่าธรรมะนี้เปนของประ​เสรีฐของจริงแท้ ถึงยังใม่กล้าประกาศโลกโต้ง ๆ ได้ก็คงย่อมจะมีวันเฟื่องฟูวันหนึ่ง)
บทที่ ๘๑
ข้างในก็ดี ข้างนอกก็ดี ที่สูงก็ดี ที่ต่ำก็ดี ละล้วนลวงตาสิ้น เหมือนเชีดหนังกลหยอก ๆ โคมฉายหนังก็ดีก็คือดวงอาฑิตย์ที่ส่องโลก เงารูปหนังที่วูบวาบดิ้นรนอยู่ก็ด้วยเดชเผยอกันไม่รู้หยุดรู้หย่อนเท่านั้นเอง
บทที่ ๘๒
ดูลครแล้วนึกขำใจ ฉงนทำไม่แม่เอ๋ย เราก็เล่นลครคนกันอยู่ คึกโลกมิใช่หรือ เปนตลกละ เปนพระละ เปนนางละ อย่างลครเล่นกันอยู่มิใช่หรือพ่อ แปลกแต่ชุดเร็วกะชุดช้ากว่ากันเท่านั้นและขวัญเอ๊ย!
บทที่ ๘๓
เมื่อจิบองุ่นขยิบปากแล้วละก็ ลองพิเคราะห์​ผลดูถีว่าเปนอย่างไรบ้าง ถ้าหากว่าเปล่าใม่มีอไรเลย เหล่าโลกทั้งหลายก็เปล่าใม่มีอไรเลยด้วยกันทั้งนั้น ขอให้คิดถึงตัวเถีดว่าตัวคนต่างว่าเปนเช่นไรบ้าง ก็จะต้องรู้ศึกว่า เปนเปล่าเท่านั้นเอง เปนอย่างอื่นน้อยไปอย่างไหนอิกมิได้ (อุทาหรณ์เหมือนดังกินขนมอร่อยอิ่มแล้ว ผลต่อไปเปนอย่างไรบ้าง เปล่าเท่านั้น เพราะฉนั้นใม่ว่าอไรในโลก มันก็หลง ๆ สมมตกันเปนตอเปนตาไปกระนั้นเอง ที่จริงล้วนเหลวเปล่าหมดทุกเรื่อง)
บทที่ ๘๔
ดอกกุหลาบชื่นแฉ่งแดงเรื่ออยู่ตามเวิ้งแม่น้ำแลลลัว องุ่นก็ฉ่ำอกคัยยามผู้ชินชอบดื่มอยู่ ถึงครามฤตยูคือพญามัจจุราชบินเอาน้ำหมึกมากรอก ก็เตรียมตัวเถีด น้ำหมึกก็ดื่มทั้งน้ำหมึกยิ้มแย้มอยู่กระ​นั้นอย่าต้องสยดสยองอันใดเลย คัยยามสอนโลกว่ายามสุขก็สำเรีงสุข ครั้นถึงยามทุกข์แม้จะถึงตายก็อย่าทุกข์ยิ้มไว้ให้เสมอ กลัวเกรงอไรไปทำไม (เพราะกลัวหรือใม่กลัวก็หนีใม่พ้น)
บทที่ ๘๕
แม้หมออย่างฉลาดแลนักปราชญ์เอก จะเทศนาตามต่างใจต่างหาเหตุมาอ้างฉันใดก็ดี โซ่โลกตลอดพิภพก็ย่อมขึงขมวดตึงเครียดอยู่อย่างเดีมอย่างเดียวใม่มีแปรผัน ใครจะลอดจะข้ามหรือจะแก้ได้เปนไม่มี (หมายความเปนต้นว่าคนเราเกีดแล้วเจริญ ๆ แล้วโทรม ๆ แล้วดับ ๆ แล้วสูญ ตามธรรมดาโลกะวิสัยฉนี้ ถึงใครจะเทศนาอย่างใดทำอย่างใดก็คงเปนอยู่ตามธรรมดาโลกเช่นว่านี้ อยู่ตาชาติ)
บทที่ ๘๖
ตากระดานหมากรุก (มีสีดำแลขาว) ก็เหมือน​กลางวันแลกลางคืนวนเวียนกันอยู่ ตัวหมากรุกมนุษย์ชุดพนันขันแข่งก็ย่างแต้มกันไปทางนี้ทางโน้นโผนผันรุกฆาฎกันไปตามฤทธิ์ตามเดช แต่ทั้งข้างชนะแลข้างแพ้ ล้วนใม่พ้นต้องถูกกินแลถูกตั้งใหม่อยู่ร่ำไป (คือต้องเกีดแล้วตาย ใม่เปนอื่นไปพ้นได้)
บทที่ ๘๗
เราเบียดเบียฬเขา ๆ ก็เดือดร้อน เขาเบียดเบียฬเราเรากิเดือดร้อน หมดเบียดเบียฬก็เพราะหมดเงาต่างเบียดเบียฬกันแลกัน เหตุฉนั้นนักปราชญ์จึ่งโอวาทต้อนให้มนุษย์ะโลกละทิ้งทางเบียดเบียฬกันเสีย สุดแต่จะทำได้
บทที่ ๘๘
อยู่ตัวคนเดียวเปลี่ยวชีวิตเอาสุขสบายมิได้ จึงมนุษย์จำต้องอยู่พึ่งหมู่คณะ แบ่งแรงช่วยเกื้อกัน​แลกันให้เกีดความสุขสำราญด้วยกัน (เช่นเราจะทำนาด้วย ตำเข้าด้วย หุงเข้าด้วย ตกปลาด้วย ทำนาเกลือด้วย ปลูกฝ้ายด้วย ทอผ้าด้วย ฯลฯ เลี้ยงชีวิตคนเดียว จะมีเวลาหาความสุขมาแต่ไหนได้ เราอยู่ด้วยกัน ต่างคนต่างทำมาปันกันจึงพอหาสุขได้) เพราะฉนั้นการเมตากรุณาอนุเคราะห์ต่อกัน เปนของมีคุณหาที่จะเปรียบมิได้ นักปราชญ์จึงโอวาทเชื้อเชีญมนุษย์ะโลก ให้เอื้อเฟื้อต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกันโดยสามัคคี
บทที่ ๘๙
หาสุขจักมีความสุขได้ก็ด้วยมีทุนก่อน หาทุนอย่าหาอย่างรวบรีรวบขวางกว้าน ๆ เข้าไว้เอาสุดแต่จะได้ ด้วยทุนชั่วย่อมส่อชักหนุนให้เกีดผลชั่วฉลองแรง ทุนชอบย่อมตอบผลชอบให้บังเกีดความสุข เหตุหาได้ด้วยดี
บทที่ ๙๐
ถ้าเชื่อเขาว่าใม่ว่าอไร พระเจ้าทรงบรรดารให้เปนหมดทั้งนั้นแล้ว พวกที่นับถือพระเจ้าถวายนมัศการอยู่เสมอ กับพวกที่หุนหันไม่เชื่อใม่นับถือเลย ทำไมพระเจ้าจึงปล่อยให้คนทั้ง ๒ จำพวกเหล่านั้น ต้องเจ็บแลต้องตายเสมอกันเล่า
บทที่ ๙๑
ธรรมดาลูกกลมเช่นตกร้อก็ดี แต่พลอยผสมกลิ้งไปเท่านั้นตอบโต้อไรใครใม่เปนหามิได้ ใครเตะขวาเตะซ้าย ก็เอาแต่กระเด็นไปตามต้อนจะให้ไป พระเจ้าท่านชุ่นให้แล่นเพราะเห็นเคยกระชุ่นแล้ว ก็แล่นไปตามสนาม ท่านรู้ดีว่าเพื่อนจะสท้อนไปท่าไหนบ้างถ้าท่านกระชุ่นท่านั้น (หมายความว่าตามศาสนาอิสลามเชื่อว่ามนุษย์นั้น สุดแท้แต่พระเจ้าจะแต่งให้เปนไปเช่นตกร้อลูกกลม)
​บทที่ ๙๒
มือเสมียนที่เอาแต่เขียนหนังสือเรื่อยต่อไปตบึง ถูกหรือผิดก็ไม่คิดกระถดมาขีดแก้ (เปรียบพระเจ้าสร้างแต่มนุษย์เรื่อยมา อไรบกพร่องก็ใม่แก้ไขให้ดีขึ้น) น้ำตาหากล้าหยดลบตัวอักษรที่พระเจ้าเขียนผิดได้ใม่ เอาแต่เขียนต่อฉนี้ดีหรือ
บทที่ ๙๓
กะทะขว้ำเราสำเหนียกกันว่าฟ้าฝังอกฝังใจ เราเกีดเราตายกันในใต้ฟ้า คือกะทะครอบเรานี้ทั้งนั้น ยกมือไหว้อ้อนวอนหาใครช่วยป่วยการเปล่า ๆ ดีแต่มุ่นวุ่นบี้แล้วก็ปั้นอยู่เสมอ ขันสุดใจละ (เย้ยพระเจ้า)
บทที่ ๙๔
โคลนสวรรค์ปั้นมนุษย์คนท้ายขยำ ๆ แล้วก็ควักหนีบเอาชีวิตท้าย ตำลงไป ขุ่ยทิ้งไปตามยะถากรรม ​เรียกกันว่า วันพระเจ้าทรงพระมหากรุณาทนุกนิมิตร์มนุษย์ เออก็วันพระเจ้าพิภากษา จะยักเรียกได้อย่างไรบ้างเล่าหนอ (เย้ยพระเจ้าอิก)
บทที่ ๙๕
วานนี้กะวันนี้ความคลั่งคลุมหัวใจ พรุ่งนี้กลับมีชัยเฉียบขาด หรือเงียบสงบ หรือทุรนเร่า เราดื่มองุ่นมิใช่ปราถนาจะทราบว่าเรามาจากไหนจึงได้มาเกีด แลมาเกีดทำไมกัน เราดื่มองุ่นมิใช่ปราถนาจะทราบว่าใยจึงตาย แลตายแล้วจะไปสู่สาระทิศใด
บทที่ ๙๖
เอาเถีดเราจะบอกให้ ยามเราผละจากพระหัดถ์พระเจ้าที่ท่านพลุ่ยขว้างผลิวมาแล้วนั้น ท่านจำกัดความประพฤติไว้ทุกฝีก้าว แทบจะกระดิกตัวไปไหนมิรอด กระนั้นเรายังสร่ายกายสร่ายใจใช้ความคิด ฉีกอุ้งอวนที่ท่านดักไว้ออกได้
​บทที่ ๙๗
องุ่นเลื่อยตระการร้านองุ่นงามใจเราอยู่ (เชยชมเบญจพิธะกามะคุณสำราญ) เถีดปล่อยโง่ของโซฟี (พระแขกอาหรับ) ให้เกย่งเพ้อสวรรค์อยู่นั่นเถีด ถึงเราเปนธาตุสถุลเลวทราม ก็ยังพอจะแกะเปนลูกกุญแจไขประตูเข้าไปหาความสุขข้างในนั้นได้ ตาครูพระแขกเงิ้มชโงกเข้าไปข้างในมิได้
บทที่ ๙๘
เมื่อทราบจริงว่าสิ่งนี้เปนศรีชีวิตแล้ว ถึงรักถึงชังก็จะขอสู้ทนทอดสู้ ได้เห็นแสงสว่างแวบแปล๊บเดียวในกระท่อมสุรา ก็ยังน่าชื่นชมมากกว่าอยู่ในโบถมโหฬาร แต่มิได้เห็นแสงสว่างเลย (หมายความรู้ว่าเบญจพิธะกามะคุณ เปนตัวกำไรของชีวิตมนุษย์ฉนี้แล้ว ถึงจะสุขบ้างทุกข์บ้างอย่างไรก็ขอสู้ทนทอดเสพแม้น้อยเวลา แลยากจนฉันใดลยังดีกว่า​อยู่ในที่ไพโรจอุดมสมบูรณ์ แต่มิได้ประสรบรศกำไรชีวิตเลย)
บทที่ ๙๙
เอามือทิ่มไฟพองปวดแสบ ถึงสวดอ้อนวอนพระเจ้ามือไหว้ปลก ๆ ก็หายใม่ได้ เพราะธรรมดาโลกสุดแท้แต่เหตุผลที่ปัจจัยประกอบกับการที่ทำ ตัวควรพึ่งตัวของตัวเอง ดีกว่าจะไปมัวโง่เชง้อพึ่งพระเจ้าเหลวๆทำไม
บทที่ ๑๐๐
คือพยายามยึดแต่รวังความประพฤติชั่วหรือดีเถีด ว่าประพฤติสิ่งใดเปนประโยชน์ สิ่งใดเปนโทษต่อแผ่นดินที่บังเกีดเกล้าตนมา (เลือกประพฤติแต่ที่ชอบ) เพราะประพฤติชอบย่อมส่อให้ทวีผลเปนความศุขตามผลสวัสดิเต็มที่ ประพฤติความชั่วก็เร้าให้เกีดทุกข์ร้ายสนองผล
โฆษณา