5 ก.ค. เวลา 06:33 • ประวัติศาสตร์

​บทที่ ๑๐๑

เลีกเบียดเบียฬเพื่อนมนุษย์ แลสงเคราะห์เพื่อนมนุษย์ตามยถาพะลังนี้ นักปราชญ์ศาสนาทุกท่าน (ย่อมแนะนำสั่งสอน) เหมือนเภาะ (ศมอง) เพื่อนโลกให้พากันประพฤติ ชือว่าเฉลีมชาติ (ใม่เกีดมาเปลืองเข้าสุกเปล่า) อย่างดีก็แสวงข้อที่จะเลี้ยงชีพให้สำเรีงสุขยืดยาวสืบไป ใครประพฤติได้เช่นว่าถึงอยู่ดินหรืออยู่ฟ้า (ก็เหมือนกันหมายความว่าจะเปนคนสูงหรือต่ำ) ก็ชื่อว่าเปนศรีมนุษย์
บทที่ ๑๐๒
โลกเรานี้แจ้งชัดว่า รศของความรักนั้นเบรียบประดุจจะรศทิพ ชุบชีวิตมนุษย์ที่รู้จักผูกเสน่ห์ให้สดชื่นสร่างหมางม้านซึมเศร้า ตัณหาหรือราคะจริตนั้น เปรียบสนุกใจเหมือนฤทธิ์ดื่มสุราเมามาย ใม่ใช่ความรักดอก แต่เปนเครื่องกระตุ้นความรักให้​เซีบสร้านรักมากขึ้น สบายใจมากขึ้น (ยิ่งกว่าใม่เจือการประเวณี)
บทที่ ๑๐๓
พวกนักบวชก็พากันชวนจะให้ทเยอทยานอยากขึ้นสวรรค์ นักองุ่น (หมายความว่าโอมาร์คัยยาม) ก็ชวนแต่จะดื่มน้ำองุ่น คือเศพเบญจพิธะกามะคุณสำเรีงชีพอยู่ท่าเดียว เตือนเราว่ามัวตลึงอึ้งงันอยู่ทำไมเล่า (ควรจะมาประพฤติอย่างโอมาร์คัยยามด้วย) สวรรค์อยู่ที่ไหนใครอาจจะเห็นได้ด้วยสัตยะญาณจริงหรือ ใครขืนเชื่อโดยเขลาตกายสวรรค์ก็ท้องแขวนเขวผิดทางเสียชาติเปล่า (ด้วยมันเปนของหลอกๆไม่มีผลจริงจัง เหมือนบำเรอชีวิตด้อยเบญจพิธะกามะคุณดอก)
บทที่ ๑๐๔
สวรรค์ตามศาสนากล่าวนั้นเปนอย่างไร สวรรค์​ของโอมาร์คัยยาม ก็เปรียบได้ว่ามีแต่จะดีกว่านั้นขึ้นไปทุก ๆ อย่าง (ทั้งทางจริงแลทางได้ความสุขสมชาติเกีดมา) ขืนเชื่อนักบวชไปวุ่นแต่สวดมนต์ปฏิบัติคอยจะขึ้นสวรรค์อยู่ ก็อดเปล่า (ใม่ได้จริง) เชื่อโอมาร์คัยยาม (เสพเบญจพิธะกามะคุณ) ก็มีความปรีดาปราโมทย์ โอมาร์คัยยามท้าได้ว่าลงท้ายเมื่อตาย (ประพฤติอย่างโอมาร์คัยยาม หรือประพฤติตกายสวรรค์ตามศาสนะลัทธิ) ก็เหมือนกันสิ้น (หมายความว่าตายแล้วสูญเปล่าด้วยกันหมด)
บทที่ ๑๐๕
พญายัมชิดเจ้าแผ่นดินแขกที่สิ้นพระชีพแล้ว แม้ถ้ากลับมาเกีดขึ้นใหม่เปนใคร คนนั้นก็รู้ตัวใม่ได้ ทรัพย์สมบัติที่พญายัมชิดมั่งมี สติปัญญาวิชาความรู้ของพญายัมชิดที่ปราชญ์เปรื่อง ก็ใม่ได้มาตกเปนของคนที่ต่างว่าพญายัมชิดกลับมาเกีดใหม่ เพราะฉนั้นก็เห็นได้ว่า​ไม่มีโชคที่จะใช้ผละคุณผละโทษของชาติโน้น แม้เกีดได้ใหม่ มาสนองในชาตินี้ได้ (หมายความว่าความดีชั่วเราทำในชาตินี้ ที่จริงไปสนองผลแก่เราแม้เรากลับไปเกีดชาติหน้าใหม่อีกใม่ได้จริงดอก)
บทที่ ๑๐๖
การทำทานนั้น ทำทั้งความชั่วแลความดี สุดแต่เหตุแต่ผลลักษณะที่ให้ (แก่คนชนิดไร เช่นให้ทานคนฉกรรจ์ ก็ส่อผลชั่วชักให้คนเกียจคร้านเอาเปรียบ ให้แก่คนชราพิการขัดขวางเลี้ยงชีพตัวเองใม่ได้ ก็ส่อผลชอบเปนบุญกุศล เพราะขึ้นชื่อว่าเปนมนุษย์แล้ว ควรชอบกันเต็มตามกำลังที่พอช่วยได้) บาปก็ดี บุญก็ดี คุณก็ดี โทษก็ดี
ของมนุษย์นั้น สักแต่ว่าเปนคแนนของผู้ที่ทำตามยุคนิยมกันอยู่ในเวลาทำนั้น ถ้าหวังชอบแลทำให้ถูกช่องที่ชอบแล้ว การที่ทำชอบนั้นก็ได้ผลคุ้มแรงที่ทำ (หมายความว่าธรรมดาโลกะวัสัยใครทำ​ความดีชั่วอย่างไรก็ดี ผลดีหรือร้ายใม่เสมอกัน สุดแท้แต่ช่องโชก แลอาการที่ทำ เหมาะหรือหาใม่แก่เวลาเท่านั้น)
บทที่ ๑๐๗
หวังใจจะไปท่าน้ำอาบน้ำ ว่ายน้ำเล่นให้สบายใจ (หมายความว่าปราถนาหาความสุข) แล้วอย่างไรเผ่นขึ้นไปใต่กิ่งไม้ตากแดดทนเร่าร้อนอยู่ เชื่อว่าจะชุบโฉมที่เลวให้กลับดีเปนทองอล่องฉ่อง (หมายความว่าไปทรมานกายใจ ใม่เสพเบญจพิธะกามะคุณตามศาสนะลัทธิ นึกว่าจะได้ขึ้นสวรรค์ ที่เปนของใม่มีจริง)
บทที่ ๑๐๘
อยากดื่มน้ำ (คืออยากหาความสุขใส่ชีวิต) แต่ใม่ดื่มดื้อใจ หมายว่าการอดดื่มนั้นจะหายกระหายน้ำ ​แลจะหายหิวแสบท้อง (ต่อไปทรมานกายใจใม่เสพเบญจพิธะกาม) องุ่นปลื้มใม่ดื่ม ไปตกายจะดื่มเพชร์ที่แข็ง (คือเบญจพิธะกามสำหรับความสุขชีวิตใม่เสพ ไปทรงพรตทรมานฝืนธรรมดา) ใม่ชอบความจริง ชอบอด คอยแตง่ว ๆ อยู่เหลว ๆ เช่นนั้น น่าอายใม่อายหรือ (ที่ละโมบเขลา)
บทที่ ๑๐๙
อยากบาปสาบมนุษย์ให้เปนโขลงแกะ เอาแต่เดีนตาม ๆ กันไปเข้าคอกหรือ สมองมีใยจึ่งใม่ตริตรอง ด่วนใจเร็วไปตามเอาอย่างเขา ชอบผิด น่าจะตริตรองเค้าเงื่อนให้สมงามจริงก่อน จึงค่อยประพฤติตาม (หมายความว่าเปนมนุษย์มีสมองหาควรด่วนเชื่อศาสนะลัทธิอย่างใดตาม ๆ กันไม่ ควรตรองว่าจริงหรือใม่ ให้สมเหตุผลก่อนจึงค่อยเชื่อ)
​บทที่ ๑๑๐
ท่านเยาะ (คือคำภีร์โก้ร่านแลไบเบล) ว่ามนุษย์นั้นเคราะห์ร้ายเลวทรามด้วยแรงบาป โทษถูกพระเจ้าสาบแช่งจึ่งเปนเช่นว่า คือขอบเชื่อแต่สิ่งที่เหลือรู้ เหลือจะสรบวิสัยมนุษย์ตามธรรมดาโลกได้ (เช่นเชื่อว่าประพฤติตามศาสนะลัทธิจะได้ขึ้นสวรรค์ ความจริงสวรรค์เช่นว่าใม่มี แม้จะมีความประพฤติเช่นนั้นก็ใม่แน่ว่าเปนทางไปสวรรค์) สิ่งเห็นได้ชัด ๆ กลับติดใจใม่เชื่อ (เช่นบอกว่ากำไรของชีวิตที่เกีดมา คือการเสวยสุขด้วยเสพเบญจพิธะกามะคุณแล้วก็ตายสูญเปล่า)
บทที่ ๑๑๑
ชอบพนันขันต่อฉ้อฉนฉิบหายทรัพย์ (ที่ใม่ดีใม่ควรชอบ) ชอบเชื่อหมอดูทำนายเวลาภายหน้า ​(ซึ่งหลอกเสียโดยมาก) ชอบหลอกบอกว่ามีสวรรค์ ก็ตกายอยากขึ้นสวรรค์ (ที่ใม่มีจริง) ชอบฤทธิ์ศักดิ์สิทธิ์ขบวนเวทมนต์อาคมขลังบ้าระห่ำต่าง ๆ (บรรดาเปนจริงใม่ได้) ฉนั้นดีหรือ
บทที่ ๑๑๒
เราเปนมนุษย์เปรียบเหมือนมงกุฎเฉลีมศักดิ์โลก คือวิเศษกว่าบรรดาสัตว์มีชีวิตทั้งปวง ทำไมพอใจวางตัวดุร้ายให้คนกลัวเกรงอย่างยักษ์ ทำไมพอใจอยากเหาะได้เช่นนกมันบิน ทำไมอยากดำน้ำได้เช่นดังปลา อันเปนสัตว์เดรัจฉานอันว่ายดำไปได้ (หมายความว่าสันชาติมนุษย์ จะสมเกีดมาก็ด้วยได้เสวยสุขบำเรอชีพด้วยเบญจพิธะกาม ไปเปนนักบวชทรมานกายอุตริเปล่า ๆ)
บทที่ ๑๑๓
ไฉนหนอคนเรา ยามมั่งมีศรีสุขปราถนาใด​ได้สมหวังแล้ว เสียดายชีวิตนัก ยังอยากจะป๋ออยู่ ใม่อยากตายเลย ยามเกีดวิบัติขัดสนหวังใดมิสม หรือรทมด้วยทุกข์ร้อนแล้ว เปนเบื่อชีวิต อยากสลัดชีวิตแลร่างกายหนีไปไหนเสียให้พ้นทุกข์พ้นร้อน
บทที่ ๑๑๔
ชีวิตเปนของศักดิ์สิทธิ์เช่นแก้วสาระพัดนึก ใจนึกจะให้เปนอย่างไหนก็เปนอย่างนั้นได้หมด ฝึกได้อย่างหัดสัตว์เดร์จฉาน (เช่นหัดลิงให้รำ) เล่นได้สนุกใจ คนฉลาดอาจจะปั้นชีวิตให้เปนไปอย่างไรได้ดังประสงค์ทั้งนั้น
บทที่ ๑๑๕
เราควรเลี้ยงชีวิตเราเหมือนพี่เลี้ยงเลี้ยงเด็ก ปางปงอบๆ พิษม์เดือดร้อนก็ต้องคอยปลอบประโลมใจให้ร่าเรีง ปางกำเรีบเสีบสารแผลงฤทธิ์ลเลีงซุกซน​ก็ต้องคอยขู่บำราบ ปางนอนก็ต้องคอยกล่อมให้หลับไหล ปางหิวก็ต้องคอยป้อนภักษาหารให้อิ่มหนำ
บทที่ ๑๑๖
เราเปนนายหัวใจเรา ชี้นิ้วบงการสั่งให้เปนฉันใดได้เช่นเจ้าเงินบังคับทาษ (มันไปไหนใม่พ้น) แต่เราใม่ใช่นายร่างกายเรา มันเปนราวขนาดลูกจ้างเท่านั้น (ยามมันพิการก็ดี บอบรทมก็ดี บังคับใม่ทำตามก็ได้) ชีวิตเราเหมือนพระเจ้าแผ่นดินเปนเกราชอาจจะบังคับการในกายตัวเราได้เช่นพระมหากษัตริย์มีราชบรรชาราชการในพระราชอาณาจักร์ได้ หาควรจะถ่อมยอมเปนเมืองขึ้น เอาแต่กลัวตื่นหลับหูหลับตาทำอไรไปตาม ๆ เขา ใม่รู้ว่าจริงเท็จชั่วดีอยู่ที่ไหนไม่
บทที่ ๑๑๗
ชีวิตเราเหมือนเรือกำปั่น ใจเราเหมือนลูกเรือ ​ช่วยกันเดีนเรือ ร่างกายเราเหมือนตัวเรือแล่นทเล (คือเปนอยู่ทุกวันนี้) บรรทุกความทุกข์แลความสุข หมายไปค้าเหล้าเหลว (หมายความว่า สุขทุกข์ล้วนเปนของเมา ๆ หลง ๆ ลวง ๆ ลงท้ายก็เหลวสูญเปล่า หายไปหมดสิ้น)
บทที่ ๑๑๘
เสียดายชีวิตมนุษย์มาพากันเคว้งคว้างอยู่เปล่า ๆ หลงไหลด้วยฤทธิ์ศาสนะลัทธิพาให้เพ้อไปเหมือนบ้า ประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับชีวิตเราก็มีแต่หาความสุขใส่ตน เหมือนอภิเษกชีวิตให้สำเรีงราชสมบัติสุขเท่านั้น พากันหลงคลั่งโดยเขลาชเง้อหาความเท็จทิ้งความจริงเสียอย่างไรเล่า (หมายความว่าเพ้อจะขึ้นสวรรค์ ละความเสวยสุขบำเรอชีวิตด้วยเบญจพิธะกาม)
บทที่ ๑๑๙
สันชาติใจคนเผยอจะหาสุขอย่างเทวะดา แต่​สันชาติร่างกายคล้ายสุนักข์ ก็เมื่อกายติดอดักอยู่อย่างเดรัจฉานฉนี้ ใจจะผวาไปขึ้นวิมานมันจะสมได้หรือ เห็นก้อนหินดังจุมปุกอยู่แค่นหยิ่งจะรั้นเอาอย่างใม่กระดิกกระเดี้ยบ้างจะเอาความสุขมาได้แต่ไหนเล่า (เปรียบความว่าคนเกีดมาสำหรับเสวยสุขด้วยเบญจพิธะกามแล้วก็ตายสูญเช่นสุนักข์ ใจอยากทำเยี่ยงเววะดาที่นึกเห็นขึ้นลม ๆ ใม่มีจริง บำเพญพรตจะเอาธรรมวิเศษอย่างใดผิดสันชาติ ก็ไม่มีได้เช่นหวังเหนื่อยเปล่าเท่านั้นเอง)
บทที่ ๑๒๐
องุ่นทิพจิบแล้วจะเปนอย่างไรบ้าง องุ่นโลกก็สบายใจได้เช่นนั้น (หมายความว่าถึงมีสวรรค์ขึ้นไปเสวยทิพยพิมานได้จริงจะรู้ศึกสุขอย่างไร คนเสวยสุขด้วยเบญจพิธะกามอยู่ในโลกก็รู้ศึกสุขเช่นกัน) ถ้วย ๆ เดียวถึงน้ำไหลเชี่ยวมาไม่รู้กี่ลำน้ำก็จุในถ้วยเกินปริ่มขอบ​มิได้ (น้ำมากกว่าเต็มก็ไหลบ่าไปหมดเปนธรรมดา เหมือนความสุขล้นมาเท่าไรก็มากเสียเปล่า เรารู้ศึกได้เพียงเท่าที่รู้ศึกเท่านั้น มาเสวยสุขเชีงเสพเบญจพิธะกามเถีด) ถึงทุกข์โศกบ้างก็ช่างมัน (ทนเอา) ด้วยใม่รู้ศึกทุกข์โศกแล้วไฉนจะรู้ศึกสุขเกษมได้เล่า
บทที่ ๑๒๑
สันชาติมนุษย์ใม่ใคร่ผิดสัตว์เดรัจฉานนัก ดีที่สมองคิดได้มากกว่าดีกว่ากันเท่านั้น กินนอนร่อนหาสุขก็อย่างสัตว์เดรัจฉานนั้นเอง หากสูงกว่าประณีตกว่า หลงเขย่งเกีนวันชาติจนลอยเคว้งคว้าง (หมายตกายสวรรค์สู้บำเพญพรตทรมานชีวิต) ก็ชวดคว้าความสุขสำหรับชีวิตเกีดมาสำหรับเสวยเท่านั้นเอง
บทที่ ๑๒๒
โลภมากวุ่นมากก็ร้อนใจมาก อยากมีความ​สุขละอย่าอยากโลภมากวุ่นมากเลยไปเลย จงอยากแต่มักน้อยเถีด ตัวโขนสนุกออกทุก ๆ ฉากก็ชวดได้พักผะคบผงมกาย ง่านเหงื่อไหลใครย้อยไปเปล่า ๆ (เปรียบชีวิตมนุษย์วุ่นเหวไปเปล่า ๆ เมื่อตายแล้วก็สูญเปล่า) เมื่อเลีกแล้ว (คือตายแล้ว) เหลือแต่นึกแต่ฝันโจทกันลเมอ ๆ เท่านั้น
บทที่ ๑๒๓
ซุ่นต่าลผ่านราชสมบัติแม้มไหศวรรย์จะไพโรจน์วิเศษปานใดก็ดี คนขอทาน คนขับเพลงขอทานอันเลวอย่างต่ำช้าปานใดก็ดี ก็ใม่แปลกกัน นอกจากฝันไปภายนอกกระนั้นเอง ล้วนอิ่มมื้อหนึ่ง หลับมื้อหนึ่ง แล้วก็ตายมื้อหนึ่งเสมอกัน
บทที่ ๑๒๔
ตุ่มเตียบที่น้ำเต็มปริ่มขอบปากแล้ว เตีมให้ล้นให้จุกว่าเต็มอิกใม่ได้ ถึงน้ำอิกหมื่นครุแสนครุ​เทเตีมลงไปใหม่ก็ไหลบ่าสร้าไปอื่นหมด เปรียบประทุกความทุกข์หรือความสุขขนานกันลงไปในทรวงมนุษย์ พอนึกก็รู้สำนึกว่าทุกข์หรือสุขได้ ถ้ามากเกินไปจนล้นเกีนพอนึกได้แล้ว ก็ลลายแผลวหายไปหมด
บทที่ ๑๒๕
คนมีเดชแผลงเดชผล้าผลาญคนให้พินาศ กับคนมีเดชแผลงเดชอนุเคราะห์คนให้มีความสุข เดชสองประการนี้เดชร้ายเหมือนฤทธิ์เหล้า เมาคู่พักเดียวก็สร่างสูญ (คือว่าแผลงเดชได้แต่ชั่วแล่นเวลาทรงเดชอยู่) แต่เดชชอบนั้น ย่อมเชีดชูความชอบอยู่เปนนิตย์ (คือถึงหยุดแผลงเดชแล้ว ผลของความสุขก็เปนที่ชื่นชมนิยมประพฤติกันต่อไป) ฉนี้ อย่างไหนจะดีกว่ากัน
บทที่ ๑๒๖
การสงวนเงินแลการสงวนศักดิ์นั้น อย่างไหน​จะดีกว่ากันเล่า โลกว่าการสงวนเงินตำคัญกว่า ฝ่ายธรรมะว่าการสงวนศักดิ์สำคัญกว่า แต่โอมาร์คัยยามโอวาทว่า ชีวิตจะเปนสุขได้โดยสุจริตสมที่เกีดมาชาติหนึ่งได้ด้วยสงวนเงินหรือสงวนศักดิ์ก็ควรสงวนอย่างนั้นเถีด
บทที่ ๑๒๗
ทางไปสวรรค์มีหลายแพรกหลายขบวน คัมภีร์โก้ร่านก็ค้านกันเองออกกลุ้ม (เดี๋ยวอย่างโน้น เดี๋ยวอย่างนี้) ธรรมดาลัทธิของนักบวช มักถนัดเอาชนะขบวนหลอกๆหลงๆ ตัวโอมาร์คัยยามเลีกถือศาสนาเลี่ยงมาอุ้มองุ่น (คือเสวยสุขบำรุงชีพด้วยเชีงบำรุงเบญจพิธะกามคุณ) พ้นภัยสวรรค์ (หรือพ้นต้องทรงพรตทรมานชีพ)
บทที่ ๑๒๘
ทุกเช้าทุกเย็นใม่ได้เว้นนะหมาดนมัศการพระ ​จนรีดเอาชีวิตโอมาร์คัยยามหรอไปเสียปวดแล้ว หากบุญมาพบองุ่นได้ผวามาดื่มองุ่น (หมายความว่า มารู้ศึกว่าศาสนาเหลวๆ ลวง ๆ ใม่จริง มาเศพเบญจพิธะกามด้วยรูปว่าเปนตัวกำไรของชีวิตแท้) ปล่อยนักบวชให้งมเขลาทรงพรตโกร้อยู่ อด (เสพเบญจพิธะกามเฉลีมสุข) แตง่วๆ แห้งอยู่ (สมน้ำหน้า)
บทที่ ๑๒๙
ปากปงับๆคอยขยับเคี้ยวขนมอันชูชีพอยู่ (เปรียบชีวิตมนุษย์กระหายเสพเบญจพิธะกาม บำเรอชีพตามโลกะกิสัยอยู่) แค่นบอกให้ (เอาขนม) กรอกรูหูเถีดอิ่มสบาย (เปรียบให้ทรงพรตทรมานชีพจะได้ขึ้นสวรรค์) เราเกีดครั้งเดียวน่าหวังฉลองขีวิต ให้ได้เสพรสหรู (ชื่นชีพสมสันชาติ) ก็แค่นขู่แค่นหลอกให้เลมอเชื่อโอวาทเบีงตกายจะเอาสวรรค์โหลอยู่ (คือใม่มีจริง ทรมานกายใจเสียแรงเปล่า)
​บทที่ ๑๓๐
ถ้าโอมาร์ คัยยามขี้ปดบ้าง จะมารยาหลอกบอกว่า ใครดื่มองุ่น (เสพเบญจพิธะกาม) จะได้บุญได้ขึ้นสวรรค์ชาติหน้า ด้วยแมวสวรรค์มารับขวัญยื่นคำภีร์โก้หร่านอย่างใหม่ให้ (ผะชดมหมัดที่ประกาศตนว่าเปนทูตพระเจ้า ด้วยพระเจ้าตรัสบอกพระคัมภีร์โก้หร่านให้หาว่าเท็จ) นมัสการพระเจ้าแขกละเปนชั่วช้าบ้าหลังบาปตายแล้วตกนรกทีเดียว
บทที่ ๑๓๑
โอมาร์คัยยามบอกความจริงสิ่งที่ตรองเห็นประจักษ์แก่ญาณได้ (พวกอิสลาม) หนิกลับเห็นว่าโอมาร์คัยยามโง่บ้าง คลั่งบ้าง พูดปลดบ้าง กลับโกรธบ้าง กลับถือเปนโทษผิดบ้าง โอมาร์คัยยามเอ็นดู กลับเกลียดขัง (โอมาร์แสดงว่า) เถีดถึงจะคิดทำร้ายอย่างไรตอบ (ก็ไม่กลัว) เพราะต่อแต่ตายแล้วทำอไรกันอิก​ใม่ได้ (หมายความว่า ทำร้ายกันได้อย่างที่สุดก็แต่ฆ่าชีวิต เมื่อรู้ว่าตายแล้วสูญ แลใม่เห็นความตายเปนอัศจรรย์แล้ว ก็มิพักเกรงอันใดอิก)
บทที่ ๑๓๒
ยอมคับแค้นใม่ขอยอมตายละ ครั้นลองปล่อยให้อยู่โกฏิปีกลายเปนเบื่อชีวิตอยากตาย ยามเกีดทุกข์ฉุกเฉินเข้ากลับหวลคิดใคร่ฆ่าตัวเสียให้ตาย เพราะฉะนั้น สันชาติใจคนเอาแน่เอานอนมิได้ดอก
บทที่ ๑๓๓
ตัวรักตัวของตัวแล้ว ก็ควรจะรักคนอื่นที่เขาต่างคนก็ต่างรักตัวของเขาด้วยเหมือนกัน อย่างเลวที่สุดก็เกลียดกลัวความทุกข์แลความตาย เราช่วยอนุเคราะห์ท่าน ท่านช่วยอนุเคราะห์เรา เยี่ยงคนครัวเรือนเดียวกัน กลมเกลียวช่วยกันแล้ว โลกจะดีขึ้น ด้วยเดช​ต่างคนต่างช่วยอนุเคราะห์กันแลกัน ต่างมีความสุขไปด้วยกัน
บทที่ ๑๓๔
การที่ต่างคนต่างคิดอย่างโง่น่าอายที่สุด ว่าตัวของตัวและสำคัญยิ่งกว่าเพื่อนมนุษย์อื่น ๆ หมด ใครฉิบหายตายไปเกลื่อนโลกก็ช่างใคร ขอเอาแต่ตัวของตัวรอดคนเดียวได้เท่านั้นเปนแล้ว ธรรมดาคนมีชีวิตย่อมรักชีวิต การที่บ้าคิดอย่างว่านี้ เปนทางฉิบหายแก่โลก ดีแต่กอดคอพากันวอดลงไปตามกันเท่านั้น
บทที่ ๑๓๕
ไฟไหม้เรือนล้านหลัง กะไหม้หลังเดียว สองอย่างนี้ต่างกันตรงๆเห็นได้จัง ๆ ถึงเสียชีวิตคนคนเดียว แต่ชีวิตคนอื่นรอดได้มากก็ควรยอมเสีย ถ้าต่างมากใจพากันคิดเห็นร่วมกันฉนี้ ก็เหมือนขันเฉนาะบ้านเมืองให้เจรีญบรรลือโลก
บทที่ ๑๓๖
อิศริยคือยศศักดิ์ก็ดี อานุภาพคืออำนาจก็ดี ศฤงฆารคือทรัพย์สมบติก็ดี ที่สุดจนศริราตม์คือร่างกายของตัวเองก็ดี ญาติบริพารคือญาติมิตร์บุตร์ภรรยา และบริวารบ่าวไพร่ก็ดี ยอมเพีกทิ้งหมดแต่อาศน์มรณาศคือเตียงที่นอนตาย ทยานพิโยคแต่เดียว คือตายไปแต่เอกา คุณะฤทธิ์ศักดิ์สิทธิ์คือคุณความดีแลฤทธิ์เดช ความศักดิ์สิทธิ์ฉันใด ๆ หมด (ก็ใช่จะคงอยู่) ย่อมกลิ้งทิ้งเกลื่อนกระเถีดไปขว้างเสียเพียงที่หลุมฝังศพเท่านั้น
บทที่ ๑๓๗
คนวิเศษที่มีอำนาจ มีชื่อเสียงขึ้นยวดยาน (มีรถเปนต้น) แผลงฤทธิ์เดชผลุนผลันตึงตังไปก็ดี คนชั่วช้าทูนกบาล ความจรรไรซุนเซ่อไปก็ดี ไปไหนกันหนอ (วุ่นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน นึกว่าจะไปข้างไหน​หรือเปล่า หมุนวนไปวนมาก็ไปแค่หลุมฝังศพตัวเองเท่านั้น พอถึงแล้วก็ผละหมด (ทั้งความดีแลความชั่ว) ลงไปนอนขดเหน้าอยู่ในนั้นตามกันใม่เลือกหน้าไหนหมด โอ้อนารถหนอ เหลือแต่ควันฝัน ๆ เลมอพูดกันเพ้อๆเคว้งอยู่เหลวๆเท่านั้นเอง
บทที่ ๑๓๘
ศรีของความชั่วก็ดี ความดีก็ดี มันเปลี่ยนขาวเปนดำได้ (เดี๋ยวว่าชั่วเดี๋ยวว่าดี) กลับไปกลับมาสุดแต่อัคติจะชักให้ป่วนไป ลงต้นเหตุป่วนแล้วผลก็พลอยปั่นผิดไปด้วย (ตามยุคนิยม) ความนิยมติก็ดี ชมก็ดี กว่าจะเอาแน่ได้ต้องนาน ๆ ในหยก ๆ นั้นเปนธรรมดา มักวนป้วนเปี้ยนประจบกันเปนพื้น รู้จริงใม่ได้ดอก
บทที่ ๑๓๙
ความฤศยาอย่างหนึ่ง ความอาฆาฎอย่างหนึ่ง เปรียบเหมือนเสี้ยนคอยสอึกหักอกอยู่เสมอ ความ​โกรธอย่างหนึ่ง ความโลภอย่างหนึ่ง เหมือนโกบขยากโสโครกเหยอะเปื้อนกาย ความหลงเขลา (ไปตามเขา) นั้นเหมือนเข้าพวงคอโขยกเขยกน่าขยะแขยง ใครรักสอาด รักตัว กระเถิดหรือโหย่งตัวให้พ้นเสียได้แล้ว ใจก็งาม (หมายความว่า อย่าอิจฉา อย่าจองร้าย อย่าโกรธ อย่าโลก อย่าหลงเขลา หลับหูหลับตาเอาเยี่ยงท่าน โดยใม่ตริตรองก่อนนั้น ใจก็เสบย)
บทที่ ๑๔๐
ตายดีก็ดี ตายร้ายก็ดี ตกในต้องจำตายหนหนึ่ง กลัวตายก็ดี ใม่กลัวตายก็ดี ตัวก็ตกายหนีความตายไปข้างไหนใม่พ้น ตายทื่อ ๆ ดื้อด้นเถีด กล้ำขำคมดีกว่า)
บทที่ ๑๔๑
คนตายนั้นคล้ายนอนหลับแล้วใม่ฝัน ละกระมัง ​(แปลว่าโอมาร์เชื่อฉนั้นแต่ขัดพยานพิศูจน์จึ่งเติมคำว่ากระมังไว้ให้คลอนได้) ย้ายเปนนั้นคล้ายนอนหลับแล้วฝันเห็นคิดฟุ้งวุ่นป้วนอยู่ เวลาว่าง ๆ (พักจากการทำงารหาเลี้ยงชีพ) จงเบีกบานชีวิตรินน้ำองุ่นจิบเจรีญใจเถีด (หมายความว่า เสพเบญจพิธะกาม) ด้วยความสุขก็ดี ความสั่วก็ดี ความดีก็ดี ความชั่วก็ดี ล้วนแต่เปนของเหลวๆ ฮือกันไปชั่วมื้อเดียวเท่านั้นก็สูญเปล่า
บทที่ ๑๔๒
สิ่งซึ่งเปนขวัญโลกเวลากลางวันก็ดวงอาฑิตย์บนฟ้า เวลากลางคืนก็ดวงจันทร์ (ทำให้โลกกลายเปน) ราวลหารหิ้งห้อย ดาวหรือก็อร่ามพร่างท้องฟ้าราวกะพวงเพชร์งามๆ ตัวโอมาร์คัยยามเปรียบประหนึ่งธุลีน้อยแหมะโลกอยู่เท่านั้นควรละหรือจะทนงได้ (ว่าเปนผู้วิเศษเยี่ยงท่านที่แสดงตนว่าเปนศาสดาโลก เพราะ​จะสู้ดวงอาฑิตย์ดวงจันทร์หรือแม้แต่ดวงดาวก็ใม่ไหว
บทที่ ๑๔๓
สงสารมนุษย์ในโลกแต่ครั้งดึกดำบรรพ์ เที่ยวเร่ร่อนอ่อนแอพลำโดดเพ้ออยู่ตามกัน เห็นดวงอาฑิตย์ หรืองูอันมีอสรพิษม์ก็นึกขอเปนที่พึ่งตพัดไป (ที่สุดจน) เขาต้นไม้แลไฟ ก็ชเง้อปงกไหว้ (ขอเอาเปนที่พึ่ง) ด้วยกลัวภัย (เพราะฤทธิ์เขลา)
บทที่ ๑๔๔
มนุษย์เองนิมิตรพระเจ้าอันเปนบิดาโลกจุฬามงกุฎสวรรค์ขึ้นลมๆ แล้วจึงสมมตว่าพระอ้าหล่านิมิตร์มนุษย์ใหม่อิกต่อ อิทธิฤทธิ์ (พระอ้าหล่า) ก็ศักดิ์สิทธิ์ที่สุด เอาแต่สาบโลกตลุยไป พระมหมัดแอบไปงัดคัมภีร์โก้หร่านออกอุบายมาอ้าง (ยกตนเปนทูตของพระเจ้า หมายความว่าใม่จริงหมด นึกๆหลอกๆกันทั้งเพ)
​บทที่ ๑๔๕
คนทั้งกลัวทั้งเชื่อทั้งนับถือพระมหมัดไปทั้งนั้น ทั่วทิศาภาคพวกอิสลามเลื่ยงลือยำเกรงอ่อนน้อมราบเรียบ ตัวคัยยามศิษย์อิมาม (โนวัฟฟัก) เองยังมือสลามนะหมาดอยู่เสมอ จนองุ่นหนุนย้อมญาณ (คือตรองเห็นศาสนะนัยใหม่) ยั่วให้กล้าใม่นับถือ (ตามกล่าวลวงไว้นั้น ๆ ได้)
บทที่ ๑๔๖
เบญจพิธะกามที่เปรียบด้วยน้ำองุ่นนั้น หวานก็เฉียบฉุนก็เฉียบชักให้เคลิ้ม (หลงไหลเมา) ถ่านที่ร้อนน้อยๆ แม้เหยียบเพลาๆ ลุยโหย่งๆ ก็พอผ่านไปได้ ยั่วเย้าชีวิตเราให้สำเรีงสุข (เปรียบเสพเบญจพิธะกามเหมือนลุยไฟ) ถึงเดือดร้อนบ้างก็พอทน ได้ความสุขดีกว่าใม่ลุยเสียเลย)
บทที่ ๑๔๗
​เปนธรรมดาโลกะวิสัย ใช่โอมาร์คัยยามตะกลามหลงเบญจพิธะกามดอก ดื่มองุ่น (เสพกามะรศ) มุ่นอกมุ่นใจทนงร่านสเรีงปลื้มปราโมทย์เพลีดเพลีน ธรรมดาสันนิวาศนี้น่าพิศวงนัก รุนมนุษย์จนจนใจที่จะยิ้มเยี่ยงเอาอย่างผล้าชีวิตให้เฉาใด้ไหว
บทที่ ๑๔๘
เปนคนกะเปนต้นไม้ผิดกัน จักดูดชีวิตมนุษย์ให้กลายเปนง่าวเปนดุ้น ซึมงึมนั่งขรึมติดแตง่วๆอยู่อย่างไรได้ไหว ขู่นรกยกสวรรค์มาล่อ พอคุ้นเรารู้เล่ห์เสียแล้ว ก็เหลือตามทีเดียว
บทที่ ๑๔๙
เราเกีดมาเปนคนก็สำหรับจะเกื้อกูลชีวิตเรา ใม่ใช่เกีดมาสำหรับปะเหลาะหรือขวิดพระเจ้า เราเกีดมาสำหรับเสวยสุขสมมนุษย์อิ่มองุ่น (คืออุดมด้วยเบญจพิธะกามบำเรอ) ป่วยการประคบป่วยการรบเร้า​เรียงค้าสวรรค์เหลว ๆ
บทที่ ๑๕๐
ไฟลุกฮือ ๆ ร้อนสำหรับเผาประลัยดอก ใม่ใช่น้ำที่จะให้ชุ่มชื่นได้ องุ่น (คือการเสพเบญจพิธะกาม) ของโอมาร์คัยยามนี้ เปนกำไรสำหรับเฉลีมชีพมนุษย์ ใช่ต้นไม้ใช่ไม้เลื้อยสำหรับเลื้อยชึมงึม (หมายความว่า มนุษย์เกีดมาสำหรับเสวยสุขเชีงบำรงด้วยเบญจพิธะกาม ใม่สำหรับไปบวชบำเพ็ญพรตชึมงึมทรมานกายใจ)
บทที่ ๑๕๑
ล้อ ๆ พระเจ้า เอ๋! มาฉิวกริ้วโอมาร์คัยยามผิดอไร โอมาร์คัยยามใม่รักสวรรค์เพราะเบื่อร้องโล่ๆอยู่เนืองนิตย์ (เพราะนัยว่าบนสวรรค์เทพยดาที่รอบล้อมพระเจ้าร้องเพลงสำเรีงเรื่อย) รักองุ่นคู่ชีวิตจรุงชีพ (หมายความว่า ใม่พอใจไปสวรรค์ พอใจเศพเบญจพิธะกาม) เปนพ่อค้าปิดช่องป้องกัน (มิให้ซื้อคนอื่น) ​ควรหรือ (หมายความศาสนามีต่างๆเหมือนพ่อค้าหลายห้าง จะห้ามให้ซื้อของแต่ห้างเดียวเปนยุติธรรมหรือ)
บทที่ ๑๕๒
ความกลัวนั้นชั่ว ใช่เปนชิ้น (ที่วิเศษ) เหมือนความอาย การทนง (จองหอง) หนักไป ใม่ใช่ศักดิ์ของลูกผู้ชายเฉลีมชาติ การมื่อทื่อใม่ใช่ซือ (โง่) อุบายลวงๆใม่จริงต่างๆนั้นก็ใม่ใช่ธรรมะ การเห่ออยากขึ้นสวรรค์วุ่นนั้น ก็ไม่ใช่องุ่นที่รัก ซึ่งโอมาร์คัยยามบำรุงเฉลีมชีวิตให้สำเรีง
บทที่ ๑๕๓
การทำดีต่อเก่งก้อกว่าเก่งรบ (ตั้งวิวาท) การวางตัวเปนกลางดีกว่าตึงเครียด แลหย่อนเทีบทาบทบกันสองสายเทียบ ฟุ้งสร้านแพ้ฐานสงบ โลภแพ้พอ องุ่น (การเสพเบญจพิธะกาม) ของโอมาร์คัยยาม​นั้นว่าที่แท้เลิศฟ้ากว่าสวรรค์ที่ว่า
บทที่ ๑๕๔
ความกตัญญูนั้นเปนเครื่องชูมนุษย์ให้เจรีญยืดยาวไปได้ เปนเครื่องผูกโลก (ให้สมานไมตรีต่อกันเช่น) โพกเครื่องประดับเศียรเปรียบคือความรักให้เปนสง่าราษี การอดทนเหมือนมนต์ถอนพิษม์ผิดสำแลง ความหมั่นเหมือนทหารเอกเข้าล้างขี้เกียจให้การงารหรูคือสำเร็จได้เปนอย่างดี
บทที่ ๑๕๕
ป่วยการไล่ไพร่ฟ้า (ออกจากห้องที่จะพัก) ขึ้นนั่งเอกเขนกเอ้เตอยู่บนเตียงแต่ผู้เดียว (ควรคิดแต่ว่า) ขอพัก (อยู่ในโลกด้วย) สักคน พอหายเหน็จเหนื่อยเมื่อยล้า (สำเรีงสุขไปชั่วชีวิต) นึกเสียว่าเปนแขกแปลกหน้ามาเข้ามาในเมืองใหม่ อาไศรยอยู่พักหนึ่งเท่านั้น เกะกะไปทำไมป่วยการ มิใช่ใครจะอยู่ช้านานไปได้ถึงไหน ​(แสนกล้า) ก็ชวดกล้าตายตามกันไปหมด
บทที่ ๑๕๖
นับเปนศรีชีวิตขวัญชีวิตแท้ ถ้าใครทำอันใดโดยชอบ (สุจริต) ปลอบใจตัวให้สดไสปราศจากความโศกเศร้า ดำรงชีพอยู่เปนสุขตำราญ ใม่เบียดเบียฬใครๆหมด เปนแต่อนุเคราะห์เขา สมานใจไปจนชีวิตเจ้าจบฉนี้ดีนัก
บทที่ ๑๕๗
ขึ้นชื่อว่ามนุษย์เกีดมาในโลกนี้แล้วเลยไปเปนไม่มี ใม่อนุเคราะห์ก็คงล้างผลาญโลกมื้อหนึ่ง ใครอยากเก่งฉกาจน่าเขย่งแข่งใครคจะสูงกว่ากัน คมกว่า ฉุดขากัน (คร่าคนที่สูงกว่าลงมาให้ต่ำกว่าตัว) ด้วยเปนการรื้อโลกให้มีแต่เตี้ยลงเสียแรงเปล่า ๆ
บทที่ ๑๕๘
ส่วนมหาโจรเที่ยวปล้นฆ่ามหาชนนั้น ด่ากันว่า​อุบาทว์ มีกฎพระราชทัณฑ์ฆาฎโทษไว้สำหรับลงโทษ แลมีอาณาพยาบาลคอยปราบป้องกัน ส่วนมหาราชที่ยกทัพหลวงไปราวีมหานครต่าง ๆ ละ ชมกันว่าแกล้วกล้าเรืองวีระเดช เปนพระเกียรติยศกนั้น ขันไหม
บทที่ ๑๕๙
อยากเปนอยู่แล้ว เปนต้องอยากทำการงารเปนเพื่อเลี้ยงชีวิต เมื่อชีวิตเบิกบานแล้ว ก็ควรช่วยอนุเคราะห์ผู้อื่นด้วยอย่างเอื้อเฟื้อเราช่วยท่านท่านช่วยเราอย่างตัวเราช่วยตัวเราเอง ถนอมชีวิตอย่างชีวิตเกื้อกูลชีวิตกัน ดีหาไหนเหมือนได้เล่า
บทที่ ๑๖๐
ขึ้นชื่อว่าความชั่วแล้วคงชั่วอยู่เสมอ ฟื้นเปนความดีไปอย่างไรได้ ถึงว่าดีก็ดีไปฤทธิ์เคลิ้มเขลาหลงไหล ความดีย่อมดีอยู่เสมอ ถึงใครว่าชั่ว ก็คงจะมีวันเยี้มเยื่อให้เห็นว่าดีวันหนึ่งเปนแน่
​บทที่ ๑๖๑
ถึงเสื้อเลวเสื้อดามแต่สอาดสรวมสบาย ถึงเรือนเล็กแต่เอาใจใส่พินิจบรรจงจัดเกลี้ยงเกลา ถึงเมียจนแต่น้ำใจเปนมงคลรักใคร่ร่วมใจสามี มีงารทำหน่อย ได้เงินหน่อย เลี้ยงชีพยิ้มเปนสุขริม ๆ กะขึ้นสวรรค์
บทที่ ๑๖๒
ยามตื่นจงฝืนสติยั้งไว้อย่างม้าเวลาตื่น อย่าเฆี่ยนดึงบังเหียนโยยุดไว้ ขืนลเลีงทเล้นโลดเผ่นโผนไป เผื่อตกลงมาเถอะเฮอปวดนัก ยากจักให้เหืยดเคว้งคว้างขวัญบิน
บทที่ ๑๖๓
เมาเหล้าเมาใม่เหมือนเมาเขลา เมายศ เมายอ แลเมาลาภด้วย แต่เมาอื่นหมื่นเมายังทุเลากว่าเมาศาสนา เมาที่สุดสาบมนุษย์ให้ตายเปล่าใม่รู้จักหรู (คือสำเรีง​ชีวิต ด้วยเบญจพิธะกามะคุณ สมชาติที่เกีดมา)
บทที่ ๑๖๔
เมายศยศช่วยคุ้มตายใครได้มีหรือ เมาลาภลาภก็เปนของเหลวไหลอย่างยืมเขามาใช้ เมายอก็อิ่มยอไปนานหน่อยเท่านั้น เมาองุ่น (คือหลงเบญจพิธะกาม) เถีด ด้วยองุ่นพาปลื้มปลอบใจใกล้ไปสวรรค์
บทที่ ๑๖๕
อกเรากะอกโลกอกเดียวกัน เดี๋ยวก็น่าฝนเดี๋ยวก็น่าหนาวเดี๋ยวก็น่าร้อน เหมือนเรือกำปั่นแล่นไปในท้องทเลหลวงไกลแลใม่เห็นหาด สงบคลื่นพักเดียว ประเดี๋ยวคลื่นก็กลับซัดขยักขย้อนซ้ำพายุสำทับอีกด้วย จะทำไฉนเล่า (ก็ทนไปตามธรรมดาโลกะวิสัยเท่านั้นเอง สุดแล้วแต่มันจะเปนไปตามธรรมดาของมัน)
บทที่ ๑๖๖
หมอวิเศษมียาวิเศษรู้จักรงับโรคใจดับพิษม์แล​ดับเดือดร้อนได้ ของแสลงที่จะแสลงก็กำจัดเสีย เล้าโลมปลอบใจให้ชื่นชอบ ป้อนเข้าน้ำครำถนอมใจ (ให้เบีกบานจนกว่าจะตาย)
บทที่ ๑๖๗
ต้นไม้นั้นมันก็มีชีวิตเหมือนกันกะมนุษย์ แลสัตว์เดรัจฉาน แต่ใม่มีความคิดตริตรองอันใดได้ สมองสัตว์เดรัจฉานเล่าก็ใม่สามารถ เหมือนสมองมนุษย์ ๆ นับเปนยอดชีวิต ควรหรือจะบีบชีวิตมนุษย์ให้เหี่ยวแกล้วกล้าร่าเรีงไกลจากสำเรีงสุข (คือไปบวชบำเพ็ญพรตเคร่งขรึมเสียทำไม หลงไร้ประโยชน์เปล่าๆ)
บทที่ ๑๖๘
กลัวตายขายศักดิ์ซื้อโลภตะกละอย่างกะสือแทนลโมบสุขจนทิ้งสุขเสียไม่รู้สำนึก เกีดมาชาติหนึ่งก็น่าหมายเปนอิศระสำเรีงชีวิต ไฉนเล่ามาหลงหลอกหลงขู่ คลั่งเฝื่อนคร้ามไปตามๆเขา
​บทที่ ๑๖๙
อยู่ก็อยู่ อยู่แล้วละก็ลำพองชีวิตเถีด ตายก็ตาย ตายคนองอย่างยิ้มกริ่ม ตายหรือเปนอย่าเห็นน่ากลัว หรือน่าสนุกอย่างไรเลย มันเปนเรืองเล่นๆ เช่นดื่มน้ำผึ้งมิ้มจิบเข้าไปหวานแปล้ม ๆ ลิ้นอยู่ครู่เดียวก็หาย (เปรียบชีวิตเกีดแล้วมิช้าก็ตาย อไรๆก็หายสูญเหลวลลายไปหมดใม่มีชิ้น)
บทที่ ๑๗๐
ยามเปนอยู่ก็หลงว่าจะอยู่ไปเสมอไม่รู้จักตาย ครั้นเมื่อถึงยามจะต้องตายก็หลงว่าตายไปแล้วคงจะได้ขึ้นสวรรค์ หลงทั้งสองอย่างถีบหัวใจให้ไถลเลยแหล่งที่ควรชีวิตจะได้ความสุข (คือไปเพ้อบำเพญวัตระปฏิบัติตามศาสนะลัทธิงดเสพเบญจพิธะกามบำเรอสุข) ความจริงนั้น ความสุขของชีวิต มันอยู่ชิดดินนี่เอง (คือรูปเสียงกลิ่นรศสิ่งถูกต้องนี่เอง) มัวไปเพ้อเอื้อม​จะคว้าเอาอไรอื่นเหลวๆ ที่เขาหลอกก็งมโง่อยู่ทั้งชาติ
บทที่ ๑๗๑
ไหนโรคภัยไข้เจ็บตามธรรมดาของสังขารร่างกายเอย ไหนความทุกข์โศกที่จะเพ้อคิดไปรันทำให้เอย ไหนโชคเคราห์ดีเคราห์ร้ายจะยั่วโลภะเจตนาให้ฟุ้งซ่านเอย ไหนลาภสักการจะยั่วให้ตะกลามคว้าเอย ไหนนักบวชจะหลง ๆ สั่งสอนเหมือนลวงกดชีวิตให้ปฏิบัติ (เว้นเศพเบญจพิธะกาม) ทรมานชีวิตให้ม่อยอยู่ (เพื่อเพ้อตกายขึ้นสวรรค์) เอย เราจะรอดทุกข์ได้ความสุขมาแต่ไหนเล่า ถ้าใม่ได้องุ่น (คือเบญจพิธะกาม) เหมือนน้องมาถนอมชีวิตให้เกษมสำเรีง
บทที่ ๑๗๒
ความอิจฉาอย่าง ๑ พิษม์ของเวลาที่ล่วงไปล่วง​ไปอิกอย่าง ๑ ข่มเหงโรมรันสังขารร่างกายเราให้ทรุดโทรมหันหาทางพินาศ ยังความโกรธอย่าง ๑ ความโลภอิกอย่าง ๑ โฉบชีวิตเราให้เพ้อตกายเหลวๆใม่เข้าเรื่อง หากมีองุ่น (คือเบญจพิธะกาม) เปนเครื่องอุ่นชีวิต เปนขวัญชีวิต ช่วยผดุงชีวิต (จึ่งได้หวลมาหาความสุขสำเรีงชีพได้) หาใม่ไฉนเลยเราจะชเง้อพ้นโง่มาประสรบความสุขได้เล่า
บทที่ ๑๗๓
ใครเดีนผิด (คือหลงถือทางที่ผิดธรรมดาโลกะวิสัยตามเปนจริง) จะมามัวอิดเอื้อนลอายใจอยู่ทำไมเล่า ทิ้งทางที่ผิดเสียเถีด ถึงเสียพยศก็ใม่เสียหลายดอก อย่าดื้อไปคลั่ง ๆ เลย เกีดมากะเขาชาติหนึ่ง (ตายแล้วก็สูญ) มิใช่ว่าชีวิตตายแล้วเกีดใหม่อิกได้ (อย่างหลอกให้หลงเพ้อ) เมื่อไร เราแสวงความสุขใส่ตัวชั่วมื้อก่อนตายตามธรรมดาโลกะ​วิสัยเท่านี้ จะอายใครทำไม
บทที่ ๑๗๔
คำของโอมาร์คัยยาม รำพรรณไว้ยั่วปัญญานักปราชญ์ชวนให้ใฝ่ญาณตริตรอง ด้วยยิ่งตรองก็ยิ่งลึกซึกซึ้ง เปนธรรมะจริงๆ ใม่ใช่โอมาร์หยิ่งนึกขึ้นแค่นคุยเล่นเปนสำบัดสำนวนดอก วานนักอ่านอย่าอึ้ง อ่านแล้วโปรดเฉลียวตรองเอาความจริงให้ประจักษ์ด้วยปัญญาเถีด
บทที่ ๑๗๕
ถ้าใม่ไร้ฉลาดแล้ว หลงลเมออยู่ทำไมเล่า คนเอ๋ยจงถนอมชื่อ ถือตัวให้สมศักดิ์เปนมนุษย์ ไสลูกล้อชีวิตแล่นไปทุกแพรกทุกทาง แหวกแสวงหาความสุขสำเรีงบำเรอชีวิตให้สมชาติที่เกีดมาเถีด แต่ความคดโกงข้อ ๑ ความเบียดเบียฬตนแลผู้อื่นข้อ ๑ ​แลความหยาบช้าอุลามกอิกข้อ ๑ ขอเสียทีอย่าประพฤติเลย
บทที่ ๑๗๖
ทำเปนพูดกะพระเจ้าว่า สัตว์เข็ญใจ คือมนุษย์ จะต้องใช้นี่อไรถวายพระเจ้าบ้างเล่า บอกหน่อยเถีด พระเจ้าตอบว่าให้ใช้ทองคำ ค่าโคลนที่พระเจ้าชโลมมนุษย์ แล้วเลยมอบเหมาว่ามนุษย์ซื้อขาดไปแล้วนั้น พระเจ้าทวงนี่ที่มนุษย์ไม่เคยเปนลูกนี่พระเจ้าหรือใครมาเลยโอมาร์เหลือจะตอบได้ ด้วยพระเจ้าใช้ค้าลัทธิตู่ฉ้อมนุษย์ดื้อๆฉนั้น จะเปนพระเจ้าที่ไหนได้เล่า
บทที่ ๑๗๗
ขยะแขยงพิษม์สงที่ร้ายกาจอย่างอมหิดเที่ยวพาโลมมุษย์เอาลอย ๆ ยอมอโหสิข้ออยุติธรรมให้เอา​เปนแล้วกันไปเสียทีเถีด ศิษย์พระแม้จะโผมาพึ่งเพียงกะท่อมเหล้ายามเมาเฟะ เปนขอเตะแอ๊วออกไปให้พ้นถนนโอมาร์ทีเดียว
บทที่ ๑๗๘
พูดเปนพ้อพระเจ้าว่า พระเอยพระนิมิตร์ข้าเปนคนแล้ว ไฉนจึ่งวางกับวางเหลวกลคอยดักแกล้งปิดตาคร่าให้ไปถึงที่ๆดัก เสมอสร้างลูกมาให้แอ้งแม้งอยู่ในนรกฉนี้จะดีที่ไหน
บทที่ ๑๗๙
พูดพ้อพระเจ้าอิกว่า พระเจ้านิมิตร์ฝูงมนุษย์ด้วยดินเลวๆ แล้วมิหนำซ้ำนิมิตร์อสรพิษม์ตามตอดผล้าผลาญ มนุษย์บาปราวกะฉาบครามเคลอะหน้าเลอะเทอะแล้ว ยังซ้ำต้องให้ขอโทษ พระเจ้าโปรดอภัยให้ขำแต่ข้างเดียวไฉนเล่า (หมายความว่ามนุษย์ไม่มีผิด เพราะจะทำอไรพูดอไรคิดอไรได้ก็เพราะพระเจ้าแต่ง​ให้เปนทุกประการ แล้วยังเหมาว่ามนุษย์ผิดให้ขอโทษ ส่วนพระเจ้าทำมนุษย์เจ็บแสบเปนไรใม่ขอโทษบ้างเล่า)
บทที่ ๑๘๐
เปนวันหนึ่งเมื่อสิ้นแสงอาฑิตย์ ดาวเต็มฟ้า ดวงจันทร์สว่างสวรรค์ยังใม่ขึ้น โอมาร์เดีนโย่ง ๆ ไปสู้โรงงารช่างม่อหวังจะตรวจพลเครื่องดิน ที่เรียงรอบล้อมอยู่ไสว
บทที่ ๑๘๑
โอ่ง อ่าง กะถาง ตุ่มตั้งอยู่เคียง ๆ กัน แว่วเสียงวุ่วเว่าวุ่วเว่าพาวๆเพียงคนพูดกันจ้อ โคลนเท่าแต่กระเสร่าตำเพียงได้เสมอมนุษย์พูดกัน หูโอมาร์ฟังดังล้อ พิลึกในน้ำคำที่พูดคมขันอยู่
บทที่ ๑๘๒
ถลองตลก ถกเรื่องอ้ายตุ่มอ้ายไห บางใบก็พูดได้ บางใบก็พูดไม่ได้ (เหมือนมนุษย์บางคนก็มีความ​คิด บางคนก็เขลาขลาดนัก นึกสนุกฉุกละหุกสนุกขึ้นมาอย่างไร ลุงโอ่งจึ่งอึงเอ่ยถามอยู่โอ้ว่า “ใครเปนม่อ ใครเปนช่างม่อ” (หมายความว่าถ้าคนเราพระเจ้าสร้างแล้ว ก็ใครสร้างพระเจ้าอิกต่อหนึ่งเล่า)
บทที่ ๑๘๓
เดี๋ยวไหใบทนึ่งตอบว่า “ตัวพี่นั่นและ เคยถูกปั้นด้วยดิน ขันนักหนอ ช่างหั้นเอ๋ยช่างปั้น ปั้นพี่แล้วยังไงกลับยุบพี่กลับเปนดินอิกเล่า” (หมายความขอดข้อนพระเจ้าว่าสร้างมนุษย์แล้วควรจะให้อยู่นิรันดร นี่เดี๋ยวปั้นเดี๋ยวยุบ คือเกีดแล้วก็ตาย)
บทที่ ๑๘๔
ตุ่มใบอื่นยื่นปากว่า “อ้ายเด็กซุกซนมันจึงชอบถ่อยต่อยโถที่มันเคยดื่มปลื้มอกปลื้มใจ เพราะรักจึ่งสมัคทนเหนื่อยนฤมิตร์มาแล้ว กริ้วขึ้นมานิดก็ทำลายเสีย เพราะนึกว่าของๆท่านปั้นเอง ใม่ใช่​ยืมใครมาใช้”
บทที่ ๑๘๕
เงียบอึ้งกันไปพักหนึ่งแล้ว กลับเอ่ยโลน ๆ เปนทีล้อ เสียหวดตลกจ่าอวดตะโกนว่า “ท่านยุบเพราะมันเบี้ยวท่านชังว่าตั้งโงนเงนน่าชัง อพิโธ่! เพราะท่านมือสั่นเองหนิกลับย้อนมาโทษเอามนุษย์ถูกหรือ” (หมายความว่าแม้มนุษย์จะทำบาปกรรมอย่างไร
เช่นภาชนะดินที่เบี้ยว ก็ใม่ได้เปนเพราะความผิดของตัวเอง เพราะพระเจ้าผู้นั้นเปนผู้ทำเบี้ยวต่างหาก ด้วยในว่ามนุษย์จะทำความดีหรือชั่ว ด้วยกายกรรม วาจากรรม แลมโนกรรม ก็เพราะพระเจ้าแต่งมาทั้งนั้น เหมือนจับมือมนุษย์ให้ทำบาป แล้วพระเจ้ายกองค์ขึ้นเหนือลม โทษเอาแต่มนุษย์ถ่ายเดียวฉนี้ควรละหรือ)
บทที่ ๑๘๖
อ่างเอ่ยว่า “ถึงที่พวกขี้เมาโว ควันนรกปก​หน้าโซเสือกเต้น พูดชิ่งหยิ่งโยโสแสนหยาบคาย (ดูหมิ่นใม่เคารพพระเจ้า เปรียบคนที่ใม่นับถือ) ผุย! พระเจ้าก็แค่นจะเว้นลงเทวะทัณฑ์ ปล่อยให้มันเปนคนดีลอยชายอยู่ได้”
บทที่ ๑๘๗
โอ่งถอนใจใหญ่ว่า “เอ้ออกกูเอ๋ย! แห้งเกราะเพราะรักหรูมาถูกท่านทอดทิ้งเรีดราเสีย โปรดหยอดยางให้เซิ่บฉ่างชื่นชูชีวิตมั่งซี จะได้ค่อยคลายหงอยที่ถูกพระเจ้าปิ้งเสียฉี่ๆ กลับคืนเผยอกะเขาได้บ้าง (หมายความว่าถึงที่คนนับถือละยิ่งกดเอา ใม่เปีดขอกรุณาบ้างเลย)
บทที่ ๑๘๘
กำลังตุ่มโอ่งคุยกันนัวโขมงอยู่ ใบหนึ่งมองเห็นดวงจันทร์แสงสลัวแหว่งเว้า โผล่ขึ้นมาลอยวิเวกบนท้องฟ้าอยู่แล้ว ก็หันมาบอกเพื่อนอย่างหยอกยิ้มหัวว่า ​“ พี่พี่พี่โวย ช่างม่อห่อไหล่หน้าเง้าโชงกถ้าขมึงพึงมาโน่นแล้ว” (หมายความว่าดวงจันทร์เปนปฏิมากรพระเจ้าที่แขกนับถือกันนัก)
บทที่ ๑๘๙
เปนโคลงตอนท้ายโอมาร์จะลาโลก ว่าโอ้องุ่นฉุนชื่นใจเลี้ยงชีวิตโอมาร์ให้สำเรีงยามเปนแล้ว ยามตายจากไปก็ยังสรงสการศพให้อิก ยามลมพัดฉิวๆมาใบก็แกว่งไกงหล่นร่วงลงโรย ขอให้ฝังศพโอมาร์ไว้ข้างๆสวนองุ่นของโอมาร์เถีด จะได้หวานใจ
บทที่ ๑๙๐
ตายแล้วถึงจะฟื้นหรือใม่ฟื้น ฝังสลบไสลอยู่ชั่วนิรันดร เพื่อนรักอยากจักพบก็พบโอมาร์ได้ ต้นพยอมก็ยิ่งยื่นกิ่งอันตระหลบด้วยสุคนธรศโชยมา โรยร่วงพวงกุสุมให้ท่วม แต่ท้าวถึงเศียรศพโอมาร์
บทที่ ๑๙๑
ทรากศพแม้โอมาร์จะตายไปแล้วก็ใม่หม่นหมอง คงหอมฟุ้งแผ่นดินโชยจมูก ใครผ่านไปทางที่ฝังศพนั้น บรรดานักธรรมที่ช่ำเชีงพิสัยแสวงทราบสัตยธรรมอันถ่องแท้ ถึงจักงอดจักเง้าก็ไฉนเลยจักเว้นมองดูได้ (หมายความว่าถึงตัวโอมาร์ตายไปแล้ว อุทานธรรมของโอมาร์ยังปรากฎอยู่ต่างกาย ขึ้นชื่อว่านักธรรมถึงจะใม่เห็นด้วย ใม่เชื่อใม่ศรัทธาก็ที่ไหนจะเว้นอ่านได้เล่า)
บทที่ ๑๙๒
โอมาร์รักเทวะรูป (หมายความว่านับถือศาสนาอิสลาม) มาช้านาน ชวนใจมนุษย์ดุดให้ปรวนเห็นโอมาร์ผวนผิดความจริงไป จึงปลดศักดิ์โอมาร์หมักลงม่อขนันเสียต้น ขายชื่อโอมาร์ลือเหน้า แลกด้วยโคลงเดียวเท่านั้นเอง (โอมาร์ได้ทิฐะธรรมใหม่ทิ้ง​ศาสนาอิสลามเสีย คนหมิ่นว่าใจกลับกลอกเลยเสียชื่อ ใม่มีใครนับถือเหมือนเคยมาแต่ก่อน)
บทที่ ๑๙๓
เดีมโอมาร์ใจทื่อถือมหมัดเปนสรณาคม ปลื้มอกปลื้มใจศรัทธา คราเคร่งครัดอย่างเอื้อเฟื้อจริงจัง ครั้นถึงรดูองุ่นหรูก็ผวามาชิม ชื่นชีวิตโอมาร์สำเรีงอยู่ เชือกที่รัดพระมหมัดผูกสันดารไว้ ก็เรื้อขาดลุ่ยไปเอง โอมาร์จะทำไฉนได้เล่า (เปรียบความว่า ถืออิสลามเพราะโง่ ครั้นฉลาดรู้ว่าเหลวลวง แลประจักษ์ความจริงว่ากำไรของชีวิต มีแต่การเสพเบญจพิธะกามเปนเครื่องสำเรีงอย่างเดียวเท่านั้นฉนี้แล้ว จะละเลยเสียใม่ทิ้งศาสนาอิสลามไฉนได้เล่า)
บทที่ ๑๙๔
ยิ่งดื่มก็ยิ่งปลื้มองุ่นงัวเงียง่านอยู่ สิ้นศรัทธาอันเปนอาภรณ์เพลียหมดก็เลยเพลีดเปลื้องทิ้งเสีย ​พิศวงรู้ศึกตัวว่าหลงเสียสนัดแล้ว ลงทุนไปไว้เท่าไรได้คืนเพียงเซี่ยวเดียว กระนั้นก็เหลือยั้ง (โอมาร์มีชื่อเสียงที่นับถือศาสนาอิสลาม กระนั้นก็จะใม่หันมาเสพเบ็ญจพิธะกามที่รู้ว่า เปนของประเสร็ษฐ์จริงก็ไม่ไหว เหตุเกรงเสียชาติเกีดมาเปล่า)
บทที่ ๑๙๕
โอ้เพอีนพวงองุ่นทั้งดอกกุหลาบก็โรยราเสียแล้ว ดรุณะรศพจนาโชยก็เชื่อมเศร้า ยังเสนาะอกแต่เสียงนกโหยหวลร่ำรเบงอยู่ว่า เมื่อไหร่ที่ไหนเล่า เจ้าจะฟื้นใหม่ได้อิก ที่โอมาร์เองก็ไม่รู้ (หมายความว่ายามหนุ่มโอมาร์ฟักไฝ่เปนนักบวชศาสนาอิสลามเลีย พึ่งรู้ศึกธรรมะที่จริงหวลมาเสพเบญจพิธะกามปางชราก็ทุพลภาพ กระนั้นก็ยังอุตส่าห์กล้ำกลืนตามประสาใจ เพราะรู้ศึกว่าเกีดมาแล้วชาติหนึ่ง เมื่อไหร่เล่าจะได้เกีดมาประสรบรศอิกหนหนึ่งได้เล่า ก็สู้ทนชื่นใจไปตามยถาพลัง
บทที่ ๑๙๖
ถึงเปลี่ยวก็มีเรี่ยวธารน้ำสดไสน่าสนานชวนชื่นบานอยู่ ถึงชื่นบานเบ่งน้อย ก็พอชักนักเที่ยวที่ไกลๆมาเที่ยวถึงได้ เห็นโอมาร์นอนลห้อยเปนห่วงหวังดี ต่อที่รักอยากให้เปนสุขสำราญอยู่ (หมายความว่าถึงโอมาร์แก่ก็ยังเปนคน แลเปนคนฉลาดรู้จักเลี้ยงน้ำใจเพื่อนมนุษย์ แลมีทรัพย์พอเลี้ยงชีพ ถึงมิน่าชมเชยนักก็ยังพอจะมีคนบางคนชื่นชมรักใคร่ได้ ด้วยโอมาร์มีมิตรจิตแล้ว ไฉนเลยคนด้วยกันจะไร้มิตรใจตอบ โหดเหี้ยมเสียโดดดาอยู่ได้เล่า)
บทที่ ๑๙๗
ถ้าโลกนี้กลับฟื้นเปนโลกนฤมิตร์ใหม่ได้ (คือคนยังใม่คลั่งนับถือศาสนาเหลวไหลฝังสันดาร) โอมาร์ก็เผยอจะหยุดปิดสมุดโชคเสียป่านนี้ได้ คงจะเฉลีมศักดิ์ศักดิ์สิทธิ์ กลับจารึกคุณาธิการประเสริษฐเลีศล้ำ​ฉลองโชค ตัวโอมาร์ก็คงจะกระเดื่องเลื่องชื่อ
หรูร้อยพันเท่าพันทวีที่เปนอยู่ (คือหมายความว่า เมื่อมาตรัสรู้นวะโลกิยะทิสะธรรมขึ้นใหม่ฉนี้ ก็จะกลายเปนองค์มหาศาสดาเยี่ยงพระเจ้าองค์หนึ่งได้ ด้วยธรรมะเปนของจริงของดีแท้ แต่หากมาอุบัติผิดสมัย ก็จำลี้ลับอับอยู่พักหนึ่ง ซึ่งคงมีวันเฟื่องฟุ้ง เมื่อมนุษย์มีความฉลาดสมชาติยิ่งขึ้นในอนาคตกาล)
บทที่ ๑๙๘
ดีกว่าหลบหน้าจากจำนวนนักปราชญ์ เอ้อนาถครวญสงบอยู่ยามเคราะห์ร้าย แต่รศะธรรมะอันประเสรีษฐ์หยดๆรวมกันเข้าก็อาจจะท่วมเทลได้ สมัยเหลื่อมไป ความสยิ่วเกลียดชังโดยหลงก็คงจะมีวันเสื่อมลง โชคของโอมาร์ในอนาคตก็คงจะอำนวยขวัญโอมาร์มื้อหนึ่ง (โอมาร์ เชือในโลกิยะทิฐธรรมที่ตนตรัสรู้​มาก ว่าคงกลับมีวันที่มหาชนนิยมด้วยเปนของวิเศษจริง)
บทที่ ๑๙๙
โอมาร์ปรารกถึงไนซามอุลมุกวิเซียมหาสหายผู้มีอุประการะมาแต่ก่อนเมื่อจะถึงอสัญกรรม ด้วยถูกพวกโจรอ้ายเถ้าเขาเขีน ที่มิใช่ใครอื่นไกลหาไหนมา คือหะซันซับบาร์สหายเก่าพิฆาฎเสียนั้น อนารถใจจึ่งออกอุทานโอวาทว่า การเปนโตเปนใหญ่นั้นหาพ้นภยันตรายได้ไม่ ยศก็ดีหยิ่งก็ดีทรัพย์ศฤงคารก็ดี ย่อมมีเวลาคลายจากรุ่งเรืองลงโทรมทรุดได้ ความกรุณานุเคราะห์ดอกขยายคุณาภินิหารได้ยืนยืดยาวมิรู้สุด อย่าสนิทอย่าห่างวางศักดิ์เปนสายกลางไว้และดีกว่าอย่างอื่นหมด
บทที่ ๒๐๐
คัยยามเปนฉายาของโอมาร์นั้นแปลว่า คนสร้าง​ทัพกะท่อมวิชา โอมาร์แถลงเลศไว้ ที่จะยามโทรมนัศเมื่อปางตกอัประภาค โทษเที่ยวแถลงโลกิยทิฐะธรรมแย้งศาสนาอิสลามนั้นว่า ตัวคัยยามคนสร้างทัพกระท่อมวิชานี้ ผวาพลัดตกเตาโศกลงไปไหม้วอดวาย ตะไกรโชคก็ตัดเชือกชีวิต ที่โยงทัพกระท่อมวิชาทำลายลง ความหวังก็มิสม ซมะนังขายตัวได้เปล่า ๆ ปลกเปลี้ยเสียคนกันเท่านั้นเองเปนจบ
บทที่ ๒๐๑
เสน่ห์ (หมายภรรยา) เอ๋ย ลงอุส่าห์ถนอมโชคของเจ้าให้เสมอใจพี่ (โอมาร์) เถีด เสน่ห์อย่าเศร้าโศกเรื่องโอมาร์มรณาศจากไปเลย ยามตื่น (มีชีวิต) ชื่นชีวิตกันได้ฉันได โอมาร์ก็ถนอมเสน่ห์ฉนั้น (จนสุดกำลัง) ยามหลับ (ตาย) ก็ขอลาหลับ (ตาย) ค้างโลกอยู่ช้า (นิรันดร) เฉลีมนามโอมาร์
​บทที่ ๒๐๒
โอมาร์ครอญยามจะลาโลกว่า พระจันทร์บนสวรรค์อันเปนขวัญฟ้านั้น ยามข้างแรมก็แฝงโอภาศ (แหว่ง) พระจันทร์คือความรักของโอมาร์นั้น ส่งแสงสว่างเจื้อยอยู่เสมอ (ใม่มีวันแรม) พระจันทร์บนสวรรค์ถึงยามข้างขึ้นกลับแผลงพราโลก คือแสงสว่างอันประเสรีษฐ์ยิ่งขึ้นได้ แต่พระจันทร์คือความรักของโอมาร์นั้น นับวันเวลาล่วงไป ๆ มีแต่จะล่าเลื้อยหนีเข้าหลืบโลก สูญหายไป
บทที่ ๒๐๓
ก็ฉอ้อนสั่งโลกว่า พระจันทร์เอ๋ยโอมาร์เคยปลื้มอกปลื้มใจแลเห็น สว่างเวี้งสวนยามบุรณะมีแจ่มกระจ่างชื่นใจ เฉลีมขวัญโลกเปนมิ่งขวัญโอมาร์ เอ็นดูโอมาร์แล้ว ไฉนเลย ยามโอมาร์จากโลกไปเสียแล้ว พระจันทร์จึงยังโศกสอื้นเอ่อฟ้าอยู่หาใครอยู่อีกเล่าหนอ
บทที่ ๒๐๔
พระจันทร์บนฟ้าเดีนฟ้างามฉลองบาทเงิน (เปรียบดวงจันทร์เหมือนฝ่าเกือกแตะอันทำด้วยเงิน) ดาวแห่แผ่เต็มฟ้าราวกะหญ้าลาด สำเรีงโลกสร่างโศกน่าสวาดิ์งามเวียงสวรรค์ แต่พระจันทร์โอมาร์ลุยหญ้าพื้นโลกตลิบ ๆ พลิ้วเดียวเลยผลอยหายไปเสียแล้วโฮ
จบรุไบยาตคือกาพย์อุทานธรรม ไถ่จากฝีปากของโอมาร์คัยยาม ยอดกวีผู้ชำนาญนิติศาสตร์ เปนโหรเอก นักปราชญ์เอก รจนาอ้อยอิ่งไว้ เช่นมหรศพสำเรีงเฉลีมเมือง
ฝีพระโอษฐกรมหมื่นนราธิปประพันธ์พงษ์ทรงเปลื้องปรุงเนื้อความภาษาอังกฤษเปนไทย ประหนึ่งโกบร้อยพกาเกษรเปนพวงสุมาไลย คล้องใจท่านผู้ที่จะได้อ่านให้เอีบอิ่มอก แลเปนเครื่องภิรมย์จิตสหายกวี ที่จะได้เหลือบมาเห็นยามไม่มีหนังสืออะไรอ่านแล้ว ๚
ศุภมัสดุ
โฆษณา