Virtual Bank ไม่ได้มีดีแค่เรื่องความสะดวก แต่ยังมีข้อได้เปรียบทางธุรกิจที่น่าสนใจอีกด้วย เนื่องจากไม่มีต้นทุนคงที่จากการเปิดสาขาหรือจ้างพนักงานจำนวนมาก ธนาคารเหล่านี้จึงสามารถเสนอค่าธรรมเนียมที่ต่ำ หรือไม่มีเลย พร้อมกับให้อัตราดอกเบี้ยที่จูงใจกว่าธนาคารทั่วไป
ตัวอย่างเช่น ดอกเบี้ยเงินฝากของ Virtual Bank บางแห่งในอังกฤษอาจสูงถึง 2-3% ต่อปี ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของธนาคารดั้งเดิมที่อยู่ราว 0.5-1% ต่อปี นอกจากนี้ กระบวนการอนุมัติสินเชื่อก็ทำได้รวดเร็ว โดยใช้ระบบ AI ในการวิเคราะห์ความเสี่ยงแทนการตรวจสอบเอกสารแบบเดิม
อย่างไรก็ตาม การเติบโตของ Virtual Bank ก็ไม่ได้ราบรื่นเสมอไป ปัญหาหลักที่เกิดขึ้นคือเรื่องความปลอดภัยของข้อมูล เพราะการให้บริการผ่านระบบออนไลน์ทั้งหมดหมายความว่า หากมีช่องโหว่หรือถูกโจมตีโดยแฮกเกอร์ ก็อาจส่งผลกระทบต่อผู้ใช้งานในวงกว้างได้
ขณะเดียวกัน การแข่งขันที่รุนแรงในอุตสาหกรรมการเงินก็ทำให้ Virtual Bank บางแห่งต้องปิดตัวลง เช่น VOLT Bank ในออสเตรเลียที่ยุติการดำเนินงานในปี 2022 เนื่องจากไม่สามารถระดมทุนเพิ่มเติมได้ หรือ Bó จากสหรัฐฯ ที่ไม่สามารถดึงดูดลูกค้าได้เพียงพอและต้องปิดตัวภายในไม่ถึงปี
สำหรับพัฒนาการ Virtual Bank ของไทยนั้น เมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2568 กระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทยได้ประกาศรายชื่อผู้ได้รับความเห็นชอบให้จัดตั้ง Virtual Bank อย่างเป็นทางการ ซึ่งนับเป็นก้าวสำคัญในการยกระดับระบบการเงินของประเทศให้ทันสมัย เข้าถึงง่าย และเท่าเทียมยิ่งขึ้น โดยมีผู้ผ่านการพิจารณาทั้งหมด 3 กลุ่ม ได้แก่