เมื่อวาน เวลา 03:21 • หุ้น & เศรษฐกิจ

💵 เจาะลึก "เพดานหนี้สหรัฐฯ": ระเบิดเวลาเศรษฐกิจโลกที่ทุกคนต้องเข้าใจ 💣

สวัสดีค่ะทุกคน วันนี้ขอชวนมาคุยเรื่องใหญ่ระดับโลก ที่หลายคนอาจจะเคยได้ยินผ่านๆ แต่ไม่แน่ใจว่ามันคืออะไรกันแน่ นั่นก็คือเรื่อง "เพดานหนี้สหรัฐอเมริกา (US Debt Ceiling)" ค่ะ มันเป็นหัวข้อข่าวที่กลับมาหลอกหลอนตลาดเงินตลาดทุนทั่วโลกอยู่เป็นระยะๆ เหมือนเป็นระเบิดเวลาที่ถูกตั้งไว้นับถอยหลัง และทุกครั้งที่ใกล้ถึงเส้นตาย เราก็จะเห็นความปั่นป่วนวุ่นวายไปทั่วโลก
2
วันนี้ เราจะมาผ่าตัดเรื่องนี้กันแบบละเอียดทุกซอกทุกมุม ตั้งแต่ต้นตอของปัญหา ไปจนถึงผลกระทบที่อาจจะมาถึงกระเป๋าเงินของเราทุกคนกันค่ะ
🎯 จุดเริ่มต้นของปัญหา: ทำไมมหาอำนาจอย่างสหรัฐฯ ถึงมีหนี้ท่วมหัว?
ก่อนจะเข้าใจเรื่องเพดานหนี้ เราต้องเข้าใจธรรมชาติทางการเงินของรัฐบาลสหรัฐฯ ก่อนค่ะ ลองจินตนาการว่ารัฐบาลก็เหมือนครอบครัวหนึ่ง มีรายรับหลักๆ มาจาก "ภาษี" ที่เก็บจากประชาชนและภาคธุรกิจ และมีรายจ่ายก้อนโตสารพัด ทั้งงบประมาณกลาโหม, โครงการสวัสดิการสังคมอย่างประกันสังคม (Social Security), โครงการสุขภาพสำหรับผู้สูงอายุ (Medicare) และอื่นๆ อีกมากมาย
ปัญหาคือ เป็นเวลากว่าสองทศวรรษแล้วที่ "รายจ่าย" ของรัฐบาลสหรัฐฯ นั้นสูงกว่า "รายรับ" มาโดยตลอด สภาวะแบบนี้เราเรียกว่า "การขาดดุลงบประมาณ (Fiscal Deficit)" ซึ่งสหรัฐฯ เผชิญกับภาวะนี้มาต่อเนื่องทุกปีนับตั้งแต่ปี 2001 ค่ะ
เมื่อเงินที่หามาได้ไม่พอใช้จ่าย รัฐบาลก็มีทางออกเดียวคือ "การกู้ยืม" โดยการออกสิ่งที่เรียกว่า "พันธบัตรรัฐบาล (Treasury Securities)" ขายให้กับนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ การทำแบบนี้ซ้ำๆ ทุกปี ก็ไม่ต่างอะไรกับการที่เราใช้บัตรเครดิตรูดซื้อของเกินเงินเดือน แล้วจ่ายแค่ขั้นต่ำไปเรื่อยๆ ยอดหนี้รวม (หรือที่เรียกว่า "หนี้สาธารณะ") ก็เลยพอกพูนขึ้นอย่างมหาศาล กลายเป็นภูเขาหนี้ก้อนมหึมา
2
และล่าสุด เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2025 ที่ผ่านมา สภาคองเกรสก็ได้ผ่านกฎหมายฉบับใหม่ที่ทั้งลดภาษีและเพิ่มการใช้จ่ายภาครัฐ ซึ่งยิ่งเป็นการซ้ำเติมสถานการณ์เข้าไปอีก โดยสำนักงบประมาณแห่งสภาคองเกรส (CBO) ซึ่งเป็นองค์กรอิสระที่ทำหน้าที่วิเคราะห์นโยบายการคลัง ได้คาดการณ์ว่ามาตรการชุดนี้เพียงชุดเดียว จะทำให้หนี้สาธารณะของสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นอีกถึง $3.4 ล้านล้านดอลลาร์ ในอีก 10 ปีข้างหน้าเลยทีเดียค่ะ
2
🔎 ไขปริศนา "เพดานหนี้" (Debt Ceiling): วงเงินบัตรเครดิตของประเทศ
เมื่อรัฐบาลต้องกู้เงินไม่หยุดหย่อน จึงเกิดเครื่องมือควบคุมที่แปลกประหลาดและมีเฉพาะในสหรัฐฯ นี่แหละค่ะ นั่นคือ "เพดานหนี้" มันคือกฎหมายที่กำหนด "ขีดจำกัดสูงสุด" ของจำนวนเงินที่กระทรวงการคลังสหรัฐฯ สามารถกู้ยืมได้ทั้งหมด พูดให้เห็นภาพง่ายที่สุด มันคือ "วงเงินบัตรเครดิตของประเทศ" นั่นเอง
อย่างไรก็ตาม จุดที่คนมักเข้าใจผิดกันมากที่สุดคือ หลายคนคิดว่าการโหวตเพิ่มเพดานหนี้คือการอนุมัติให้รัฐบาลไปสร้างหนี้ใหม่ หรือใช้จ่ายเงินฟุ่มเฟือยเพิ่มขึ้น แต่ความจริงแล้ว ไม่ใช่เลยค่ะ
✅ การเพิ่มเพดานหนี้คือการอนุมัติให้รัฐบาลสามารถ "จ่ายบิล" สำหรับค่าใช้จ่ายที่สภาคองเกรส "เคยอนุมัติไปแล้วในอดีต" ต่างหาก
2
ลองนึกภาพตามนะคะ สมมติว่าครอบครัวเราตกลงกันแล้วว่าจะซื้อรถใหม่, จ่ายค่าเทอมลูก, และซื้อของเข้าบ้าน (นี่คือการอนุมัติงบประมาณ) แต่พอถึงเวลาต้องเอาเงินไปจ่ายบัตรเครดิต กลับมีคนในบ้านบอกว่า "ฉันไม่อนุมัติให้จ่ายเงินก้อนนี้"
1
มันเลยเป็นสถานการณ์ที่ย้อนแย้งและสร้างปัญหา เพราะค่าใช้จ่ายมันเกิดขึ้นไปแล้ว และการเพิ่มเพดานหนี้ก็คือการอนุญาตให้รัฐบาลนำเงินไปจ่ายตามภาระผูกพันที่เกิดขึ้นแล้วนั่นเอง
🗓️ ย้อนเวลาหาอดีต: เพดานหนี้เกิดขึ้นมาได้อย่างไร?
แนวคิดนี้ไม่ได้มีมาตั้งแต่ก่อตั้งประเทศนะคะ แต่มีวิวัฒนาการมาเรื่อยๆ ค่ะ
ยุคแรกเริ่ม: รัฐธรรมนูญสหรัฐฯ ให้อำนาจสภาคองเกรสในการกู้ยืมเงิน แต่ในยุคแรกๆ ทุกครั้งที่รัฐบาลต้องการเงิน สภาคองเกรสจะต้องอนุมัติการออกพันธบัตรเป็นรายครั้งไป ซึ่งเป็นกระบวนการที่ยุ่งยากและไม่มีประสิทธิภาพ
จุดเปลี่ยนในสงครามโลกครั้งที่ 1 (ปี 1917): เพื่อให้การระดมทุนสำหรับสงครามมีความคล่องตัวขึ้น สภาคองเกรสได้เปลี่ยนกฎหมายให้อำนาจกระทรวงการคลังในการบริหารการกู้ยืมได้อิสระมากขึ้น แต่เพื่อไม่ให้เป็นการให้อำนาจแบบไม่มีขอบเขต จึงได้กำหนด "เพดาน" สำหรับหนี้แต่ละประเภทขึ้นมา เช่น กำหนดเพดานสำหรับพันธบัตรสงครามไว้ที่ $7.5 พันล้านดอลลาร์ และตราสารหนี้ระยะสั้นอีก $4 พันล้านดอลลาร์
1
สู่รูปแบบปัจจุบัน (ปี 1939): เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 ใกล้เข้ามา เพื่อให้การบริหารหนี้มีความยืดหยุ่นสูงสุด สภาคองเกรสจึงได้รวบหนี้สาธารณะเกือบทั้งหมดมาอยู่ภายใต้เพดานเดียวกันเป็นครั้งแรก โดยตั้งเพดานรวมไว้ที่ $45 พันล้านดอลลาร์ และนี่คือจุดกำเนิดของระบบเพดานหนี้แบบที่เราเห็นในปัจจุบัน
1
จากวันนั้นจนถึงวันนี้ เพดานหนี้ถูกปรับเพิ่มหรือระงับการใช้งานมาแล้ว มากกว่า 100 ครั้ง สะท้อนให้เห็นถึงการเติบโตของหนี้สาธารณะสหรัฐฯ อย่างต่อเนื่องนั่นเองค่ะ
1
⚠️ ดราม่าล่าสุด: เกมการเมืองบนเส้นด้ายกับการเพิ่มเพดานหนี้ครั้งประวัติศาสตร์
สถานการณ์ล่าสุดที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2025 คือการแสดงที่ตื่นเต้นเร้าใจอีกครั้ง รัฐบาลได้กู้มาจนเกือบเต็มเพดานเก่าที่ระดับ $36.1 ล้านล้านดอลลาร์ ทำให้สภาคองเกรสต้องรีบดำเนินการก่อนที่ประเทศจะเข้าสู่ภาวะผิดนัดชำระหนี้
1
ผลลัพธ์คือ สภาได้ผ่านกฎหมาย เพิ่มเพดานหนี้ขึ้นไปอีก $5 ล้านล้านดอลลาร์ ทำให้เพดานใหม่ขยับขึ้นไปอยู่ที่ระดับมหาศาลถึง $41.1 ล้านล้านดอลลาร์
🧮 ตัวเลขนี้ถูกคำนวณมาอย่างดีโดยมีเป้าหมายทางการเมืองแอบแฝง คือเพื่อให้วงเงินนี้เพียงพอไปจนถึงหลังการเลือกตั้งกลางเทอมในปี 2026 เพื่อที่พรรครัฐบาลจะได้ไม่ต้องเผชิญหน้ากับวิกฤตเพดานหนี้ในช่วงหาเสียงอีกนั่นเองค่ะ
เบื้องหลังการผ่านกฎหมายที่ฉิวเฉียดนี้ มีกลไกที่น่าสนใจคือการใช้กระบวนการที่เรียกว่า "Budget Reconciliation" หรือ "กระบวนการกระทบยอดงบประมาณ" ซึ่งเปรียบเสมือน "ทางด่วนพิเศษ" ในการออกกฎหมายที่เกี่ยวกับงบประมาณ
👉🏻 เพราะมันต้องการเพียงเสียงข้างมากธรรมดาในวุฒิสภา (51 เสียง) ก็สามารถผ่านได้ แทนที่จะต้องใช้เสียงถึง 60 เสียงเพื่อเอาชนะการขัดขวาง (Filibuster) ตามปกติ ทำให้กฎหมายนี้ผ่านไปได้ด้วยคะแนน 51 ต่อ 50 โดย 1 เสียงที่สำคัญมาจากรองประธานาธิบดี เจ.ดี. แวนซ์ ที่มาลงคะแนนเพื่อชี้ขาดค่ะ
1
❎ วันสิ้นโลกทางการเงิน "X-Date": เมื่อเวลาหมดลง
เมื่อรัฐบาลกู้จนชนเพดานแล้ว สิ่งที่กระทรวงการคลังทำได้คือการ "ยื้อเวลา" โดยใช้เงินสดคงคลังที่มีอยู่ และใช้สิ่งที่เรียกว่า "มาตรการพิเศษ (Extraordinary Measures)" ซึ่งเป็นเทคนิคทางบัญชีที่ซับซ้อน เช่น การหยุดนำเงินของกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการไปลงทุนต่อชั่วคราว เพื่อสำรองเงินสดไว้จ่ายบิลที่สำคัญกว่าก่อน
3
แต่มาตรการเหล่านี้เป็นเพียงการซื้อเวลาเท่านั้น มันจะยื้อไปได้จนถึงวันที่เรียกว่า "X-Date" ซึ่งเป็นวันสิ้นสุดอย่างแท้จริง ซึ่งก็คือวันที่เงินสดและมาตรการพิเศษทั้งหมดหมดลง และรัฐบาลจะไม่สามารถจ่ายภาระผูกพันทั้งหมดได้ตรงเวลา และนั่นคือวันที่สหรัฐฯ จะ "ผิดนัดชำระหนี้ (Default)" อย่างเป็นทางการ ซึ่งก่อนการโหวตครั้งล่าสุด รัฐมนตรีคลังได้คาดการณ์ว่า X-Date อาจจะมาถึงในเดือนสิงหาคม 2025
💣 หายนะที่ประเมินค่าไม่ได้: ผลกระทบหากสหรัฐฯ ผิดนัดชำระหนี้
นี่คือฉากทัศน์ที่เลวร้ายที่สุดที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น เพราะมันจะส่งแรงกระเพื่อมรุนแรงไปทั่วโลกค่ะ
🔥 ความโกลาหลในประเทศ: ลองนึกภาพทหารที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่ต่างแดนไม่ได้รับเงินเดือน, ผู้สูงอายุหลายสิบล้านคนไม่ได้รับเงินประกันสังคม, โรงพยาบาลไม่ได้รับเงินค่ารักษาพยาบาลจากโครงการ Medicare มันจะสร้างความเดือดร้อนและความวุ่นวายทางสังคมอย่างมหาศาล
1
🌊 สึนามิเศรษฐกิจโลก: การผิดนัดชำระหนี้ของพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ซึ่งถูกมองว่าเป็น "สินทรัพย์ที่ปลอดภัยที่สุดในโลก" จะทำลายความเชื่อมั่นในระบบการเงินโลกลงอย่างสิ้นเชิง นักลงทุนทั่วโลกจะพากันเทขายสินทรัพย์เสี่ยง รวมถึงพันธบัตรสหรัฐฯ เองด้วย
เราต้องอย่าลืมว่าต่างชาติถือครองหนี้สหรัฐฯ อยู่ถึงประมาณ 1 ใน 4 ของยอดทั้งหมด หรือคิดเป็นเงินประมาณ $9 ล้านล้านดอลลาร์ โดยมีญี่ปุ่น, สหราชอาณาจักร และจีนเป็นเจ้าหนี้รายใหญ่ การผิดนัดชำระหนี้คือการหักหลังความไว้วางใจนี้และจะทำให้ตลาดการเงินโลกเป็นอัมพาต
2
🔻 กระทบถึงรากหญ้า: บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือจะลดเครดิตของสหรัฐฯ ทันที (ซึ่ง Fitch เคยทำไปแล้วในปี 2023 แค่ตอนที่เกือบจะผิดนัด) สิ่งนี้จะทำให้ต้นทุนการกู้ยืมของสหรัฐฯ สูงขึ้น และมันจะลามมาถึง อัตราดอกเบี้ยทุกประเภททั้งสินเชื่อบ้าน, สินเชื่อรถยนต์, และบัตรเครดิตของคนทั่วไปจะแพงขึ้นทันที ความเชื่อมั่นผู้บริโภคจะหายไป และอาจลากเศรษฐกิจสหรัฐฯ และเศรษฐกิจโลกเข้าสู่ภาวะถดถอยที่รุนแรง
4
🚧 ทางออกหรือทางตัน?: อนาคตของเพดานหนี้
ด้วยความเสี่ยงมหาศาลขนาดนี้ ทำให้เกิดคำถามว่า "ทำไมเรายังต้องมีเพดานหนี้อีก?"
❌ ยกเลิกไปเลย: นักเศรษฐศาสตร์และนักการเมืองหลายคน รวมถึงอดีตรัฐมนตรีคลัง เจเน็ต เยลเลน ที่เคยเรียกเพดานหนี้ว่าเป็น "เรื่องบ้า" และโดนัลด์ ทรัมป์ เองที่ก็มองว่ามัน "ไร้สาระ" ต่างสนับสนุนให้ยกเลิกเพดานหนี้ไปเลย เพื่อขจัดความเสี่ยงที่ไม่จำเป็นนี้ออกจากระบบ
🪙 ทางออกสุดพิสดาร: มีการเสนอแนวคิดแปลกๆ เพื่อเลี่ยงปัญหานี้ เช่น ให้กระทรวงการคลัง "ผลิตเหรียญแพลทินัมมูลค่า 1 ล้านล้านดอลลาร์" แล้วนำไปฝากไว้ที่ธนาคารกลางเพื่อสร้างเงินขึ้นมาเฉยๆ หรือการออก "พันธบัตรพรีเมียม" ที่จ่ายดอกเบี้ยสูงลิ่วเพื่อดึงดูดเงิน ซึ่งแนวคิดเหล่านี้ยังเป็นที่ถกเถียงและอาจสร้างปัญหาเงินเฟ้อตามมา
1
📜 ไพ่ใบสุดท้าย รัฐธรรมนูญมาตรา 14: มีการตีความว่ารัฐธรรมนูญสหรัฐฯ มาตราที่ 14 ซึ่งระบุว่า "ความน่าเชื่อถือของหนี้สาธารณะของสหรัฐฯ... จะต้องไม่ถูกตั้งคำถาม" อาจสามารถใช้เป็นเหตุผลในการเพิกเฉยต่อกฎหมายเพดานหนี้ได้ แต่ก็ยังไม่เคยมีการนำมาใช้จริงเพราะเสี่ยงต่อการถูกฟ้องร้องในชั้นศาลค่ะ
2
🎯 บทสรุป: จากเครื่องมือควบคุมสู่เกมการเมือง
นับเป็นเรื่องน่าเศร้าที่สิ่งที่เคยถูกออกแบบมาเพื่อสร้างวินัยทางการคลัง ได้วิวัฒนาการกลายเป็น "อาวุธทางการเมือง" ที่ถูกนำมาใช้ต่อรองผลประโยชน์กัน โดยเอาเสถียรภาพของเศรษฐกิจทั้งประเทศและของโลกมาเป็นตัวประกัน
ดังนั้น ครั้งต่อไปที่คุณได้ยินข่าวเรื่อง "เพดานหนี้สหรัฐฯ" ขอให้เข้าใจว่าแก่นแท้ของมันไม่ใช่การอนุมัติหนี้ใหม่ แต่คือการต่อสู้ทางการเมืองเพื่อตัดสินใจว่าจะ "จ่ายบิลเก่า" ที่เคยสร้างไว้หรือไม่ ซึ่งเป็นเกมที่อันตรายและเราทุกคนต่างก็เป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียกับผลลัพธ์ของมัน ไม่ว่าจะรู้ตัวหรือไม่ก็ตามค่ะ
1
และด้วยความที่ผลเสียมันเยอะแยะมากมาย เพดานหนี้เลยได้รับการขยายทุกครั้ง เพราะไม่มีใครอยากถูกตราหน้าว่าเป็นผู้ล้มกฏระเบียบโลกนั่นเองค่ะ ดังนั้นแล้วเราอาจพอสรุปได้ว่า “เพดานหนี้… ไม่มีจริง” ก็ได้เช่นกันค่ะ
โฆษณา