7 ก.ค. เวลา 03:29 • ความคิดเห็น

ฝันไว้ไกล แต่โตมาทำไมอยู่แค่พอรอด?"

— ตลกร้ายของความฝันในวัยเด็ก กับความจริงในวัยทำงาน
---
ตอนเด็ก ครูถามว่า "โตขึ้นอยากเป็นอะไร?"
เราตอบกันอย่างมั่นใจ
> “หมอครับ!”
“นักบินค่ะ!”
“ศิลปินค่ะ!”
“วิศวกรครับ!”
“เจ้าหญิงก็มีนะคะ…”
คำตอบเหล่านั้นเต็มไปด้วยไฟและความมั่นใจ
ไม่มีใครพูดว่า
> “อยากโตมาแล้วผ่อนหนี้ 30 ปีครับ”
“อยากตื่น 6 โมงเช้า ฝ่ารถติดไปทำงานที่ไม่ได้รักค่ะ”
“อยากโตมาแล้วถามตัวเองทุกวันว่า ‘เราทำอะไรอยู่’”
---
ฝัน…ไม่ใช่เรื่องผิด
แต่ที่ตลกร้ายคือ
โตมาถึงได้รู้ว่า ฝันมันฟรี…แต่ค่าครองชีพไม่ฟรี
บางคนฝันอยากเป็นนักเขียน
→ โตมาทำงาน Excel ทั้งวัน
บางคนเคยวาดรูปเก่งมาก
→ โตมารายได้พอจ่ายค่าเช่า เลยต้องเลิกวาด
บางคนอยากเปิดคาเฟ่เล็กๆ
→ ตอนนี้อยู่ในร้านกาแฟ…แต่กำลังสมัครงานผ่าน Wi-Fi ฟรีของร้าน
---
1
"ความฝัน" ไม่ได้หายไปไหน
แต่มันถูกเลื่อนคิว เพราะชีวิตจริงมันไม่รอ
ต้องทำงานที่ไม่ได้ชอบ เพื่อเงินที่จำเป็น
ต้องพักเรื่องอยากทำ เพื่อสิ่งที่ต้องทำ
ต้องลดขนาดความฝัน ให้พอดีกับเงินในบัญชี
---
แล้วเราผิดไหม? ที่โตมาไม่ได้ทำตามฝัน?
ไม่เลย...
เราแค่กำลังใช้ชีวิตแบบที่ “โตแล้วต้องทำ”
แต่ไม่ได้แปลว่า "ฝันนั้นมันตายไปแล้ว"
บางทีความฝันไม่ต้องอลังการแบบในวัยเด็ก
มันแค่กลายเป็นเวอร์ชันที่เงียบขึ้น…แต่ยังอยู่
> เด็กอยากเป็นนักเขียน → ผู้ใหญ่เขียนบทความหลังเลิกงาน
เด็กอยากเป็นนักดนตรี → ผู้ใหญ่เล่นกีตาร์ทุกคืนวันศุกร์
เด็กอยากเปิดร้านขนม → ผู้ใหญ่ทำเค้กแจกเพื่อนในวันเกิด
---
บทสรุปแบบเจ็บเบาๆ แต่ใจฟูหน่อยๆ:
ถ้าเรายัง “ไม่ลืมว่าเคยฝันอะไร”
ยังมีสิทธิ์ทำให้มันเกิดขึ้น…แม้ไม่ใช่แบบเดิม
ฝันใหญ่ไม่ได้ = ไม่เป็นไร
แต่อย่าหยุด “ให้หัวใจได้ฝัน” แม้จะเล็กแค่ไหนก็ตาม
เพราะฝันอาจไม่ได้ทำให้รวย
แต่อย่างน้อย…มันทำให้ชีวิตไม่เฉา
---
คุณยังจำความฝันในวัยเด็กของตัวเองได้ไหม?
ถ้ายังจำได้ ลองกลับไปถามมันดูอีกสักครั้ง…
บางทีเราอาจไม่ได้ไกลจากมันเท่าที่คิด
แค่ตอนนี้ เรา “พักฝันไว้ก่อน” เพื่อเอาตัวรอด
และนั่น…ก็ไม่ใช่เรื่องผิดเลย
โฆษณา