8 ก.ค. เวลา 09:37 • ข่าวรอบโลก

สรุปความขัดแย้งล่าสุด “รัสเซีย-อาเซอร์ไบจาน”

ทำไมอดีตรัฐบริวารโซเวียต “ห้าวเป้ง” กับรัสเซีย และมีอะไรอยู่เบื้องหลัง
เกริ่น “ภายในเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ความสัมพันธ์ระหว่าง ‘อาเซอร์ไบจาน’ และ ‘รัสเซีย’ ตึงเครียดขึ้นอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน โดยเริ่มต้นเมื่อชาวอาเซอร์ไบจานหลายสิบคนถูกจับกุมในเมืองเยคาเตรินเบิร์กของรัสเซียในข้อหาเกี่ยวข้องกับการฆาตกรรมต่อเนื่องที่เกิดขึ้นเมื่อ 15 ปีก่อน ขณะที่ถูกคุมขัง ชายกลุ่มนี้ถูกทุบตีด้วย และพี่น้องสองคนซึ่งเป็นผู้ต้องสงสัยหลักในคดีนี้เสียชีวิตในเวลาต่อมา” [1]
2
“อาเซอร์ไบจาน” ก็ถือว่าตอบโต้รัสเซียรุนแรงเมื่อเทียบกับว่าเป็นระบอบการปกครองหลังยุคโซเวียต ทางการอาเซอร์ไบจานไม่เพียงแต่กล่าวหาว่ากองกำลังรักษาความปลอดภัยของรัสเซียสังหารพลเมืองของตนโดยเจตนาเท่านั้น แต่ยังยกเลิกกิจกรรมทางด้านวัฒนธรรมทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับรัสเซีย สั่งบุกค้นสำนักงานของสำนักข่าวสปุตนิกของรัสเซียในบากู (เมืองหลวง) [2]
2
ทางการอาเซอร์ไบจานยังควบคุมตัวพนักงานและผู้เชี่ยวชาญด้านไอทีชาวรัสเซียหลายคน ซึ่งมีการตัดสินจากภาพถ่ายในเวลาต่อมาว่าพวกเขาถูกทุบตีและถูกกล่าวหาว่าค้ายาและก่ออาชญากรรมทางไซเบอร์ ทั้งหมดนี้มาพร้อมกับการวิพากษ์วิจารณ์รัสเซียอย่างรุนแรงในสื่อของรัฐ และปัจจุบันพลเมืองรัสเซียในอาเซอร์ไบจานต้องถูกตรวจสอบเอกสารอย่างเข้มงวด บางครั้งถึงกับต้องใช้กำลังบังคับ [3][4]
เครดิตภาพ: Novaya Gazeta Europe
รัสเซียติดหล่มอยู่ใน “สงครามยูเครน” และถูกโดดเดี่ยวจากโลกตะวันตกจากมาตรการคว่ำบาตรนับไม่ถ้วน ซึ่งทำให้ประเทศอาเซอร์ไบจานเป็นพันธมิตรด้านโลจิสติกส์ที่สำคัญของรัสเซีย ตั้งแต่เริ่มมีการบุกยูเครนเต็มรูปแบบ รัสเซียได้ลงทุนอย่างมากในโครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่งบนดินแดนของอาเซอร์ไบจานและโครงการต่างๆ ตาม “เส้นทางรัสเซีย-อิหร่าน-อินเดีย” (The International North-South Transport Corridor : INSTC) [5]
2
เส้นทาง INSTC เครดิตภาพ: IndusLens
ในเวลาเดียวกัน “อิทธิพลของรัสเซียในแถบคอเคซัสใต้” ก็อ่อนแอลงอย่างมาก เห็นได้จาก
  • ประการแรก: กองกำลังรักษาสันติภาพของรัสเซียที่ส่งกำลังไปยังพื้นที่พิพาทใน “นากอร์โน-คาราบัค” หลังจากสงครามอาร์เมเนีย-อาเซอร์ไบจานในปี 2020 ไม่ได้ต่อต้านการปิดล้อมภูมิภาคของอาเซอร์ไบจานเลย และเมื่อกันยายน 2023 พวกเขาไม่ได้เข้าแทรกแซงปฏิบัติการทางทหารที่ประสบความสำเร็จของอาเซอร์ไบจานเพื่อยึดครองนากอร์โน-คาราบัค และในฤดูใบไม้ผลิของปี 2024 กองกำลังรักษาสันติภาพของรัสเซียได้ออกจากภูมิภาคก่อนกำหนด [6]
  • ประการที่สอง: อาเซอร์ไบจานเริ่มไม่พอใจรัสเซียมากขึ้นในช่วงปลายปี 2024 หลังจากกองกำลังป้องกันภัยทางอากาศของรัสเซียยิงเครื่องบินของสายการบินอาเซอร์ไบจานตกโดยผิดพลาด ในตอนแรกรัสเซียพยายามปกปิดโศกนาฏกรรมนี้ไว้ใต้พรม แต่ทางอาเซอร์ไบจานกลับเรียกร้องต่อสาธารณะว่าผู้ที่รับผิดชอบจะต้องถูกลงโทษ [7]
ในครั้งในรัสเซียประสบความสำเร็จในการคลี่คลายความตึงเครียดหลังจากที่ “ปูติน” กล่าวขอโทษต่อ “อาลีเยฟ” ประธานาธิบดีอาเซอร์ไบจานด้วยตัวเขาเอง จ่ายเงินชดเชย และมีการสร้างอนุสาวรีย์ของเฮย์ดาร์ อาลีเยฟ บิดาของประธานาธิบดีอาเซอร์ไบจานคนปัจจุบัน อิลฮัม อาลีเยฟ ในกรุงมอสโก [8]
เหตุการณ์ดังกล่าวได้แสดงให้อาเซอร์ไบจานเห็นถึงความได้เปรียบที่เป็นไปได้จากการขัดแย้งกับรัสเซีย เพราะรัสเซียมีสิ่งที่ทำผิดไว้กับอาเซอร์ไบจาน
เครดิตภาพ: Getty Images
ก่อนหน้านี้สังคมชาวอาเซอร์ไบจานได้รับการปลูกฝังกระแสชาตินิยมโดยเป้าหมายต่อสู้เพื่อยึด “นากอร์โน-คาราบัค” กลับคืนมาจากอาร์เมเนีย การทำสงครามกับอาร์เมเนียโดยตรงอาจมีความเสี่ยงอย่างมากสำหรับอาเซอร์ไบจานในตอนนี้ และแม้แต่พันธมิตรที่ใกล้ชิดที่สุดอย่าง “ตุรกี” ก็อาจไม่สนับสนุนการดำเนินการดังกล่าว [9]
ในเงื่อนไขเหล่านี้การเผชิญหน้ากับศัตรูภายนอกอย่าง “รัสเซีย” เป็นเครื่องมือที่สะดวกสุดในการโฆษณาชวนเชื่อเพื่อหวังรวมสังคมอาเซอร์ไบจานอีกครั้งและเบี่ยงเบนความสนใจจากทั้งปัญหาเศรษฐกิจและประเด็นเกี่ยวกับความชอบธรรมของประธานาธิบดีอาเซอร์ไบจานคนปัจจุบัน ซึ่งสืบทอดตำแหน่งต่อจากพ่อของเขาในปี 2003 (คุ้นๆ ไหม เหมือนที่ไหน)
1
“ข้อพิพาทกับรัสเซีย” ยังส่งผลดีในระดับนานาชาติด้วย อาเซอร์ไบจานพยายามสร้างตำแหน่งให้ตนเองในตะวันตกในฐานะ “พันธมิตรด้านพลังงาน” ที่เชื่อถือได้และเป็นกำลังทางโลกที่มั่นคงในภูมิภาคนี้มาช้านาน แต่ภาพลักษณ์ดังกล่าวกลับถูกบ่อนทำลายอย่างต่อเนื่องด้วยการปราบปรามภายในประเทศ ความขัดแย้งกับรัสเซียในปัจจุบันกำลังช่วยเปลี่ยนมุมมองของฝ่ายตะวันตกต่ออาเซอร์ไบจานในเรื่อง “สิทธิมนุษยชนในประเทศ” และ “เป็นฝ่ายต่อต้านรัสเซีย พวกเดียวกัน” [10]
ดังนั้นจึงเป็นการฉลาดกว่าหากอียูและสหรัฐจะเพิกเฉยต่อปัญหาภายในของประเทศอาเซอร์ไบจานที่เป็นประโยชน์ต่อพวกเขาอย่างมาก แถลงการณ์ของอาเซอร์ไบจานที่สนับสนุนยูเครนและการโทรศัพท์ล่าสุดของ “อาลีเยฟ” กับ “เซเลนสกี” มีจุดมุ่งหมายเพื่อประกาศให้โลกรู้ว่าบากูอยู่ฝั่งตะวันตก แน่นอนว่าเครมลินย่อมโทษยูเครนว่า “เติมเชื้อไฟ” ให้ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียกับอาเซอร์ไบจาน [11][12]
อิลฮัม อาลีเยฟ (ขวา) ประธานาธิบดีอาเซอร์ไบจาน เครดิตภาพ: president.az
แต่เชื่อว่า “อาลีเยฟ” คงไม่ตัดความสัมพันธ์เด็ดขาดกับรัสเซียเป็นแน่ และส่วนตัวคิดว่าคงไม่ขนาดลุกลามบานปลายจนเป็นถึงขนาดสงครามขึ้นอีกจุดหนึ่งหรอก อย่างน้อยบากูก็แสดงให้เห็นถึงความไม่พอใจแบบชั่วคราว เพื่อโชว์บทบาทและศักยภาพต่อตะวันตก ทำไมถึงคิดเช่นนั้น
1
เศรษฐกิจของอาเซอร์ไบจานยังคงต้องพึ่งพารัสเซียอยู่อย่างมาก รัสเซียยังคงเป็นหนึ่งในซัพพลายเออร์รายใหญ่ที่สุดของเชื้อเพลิงและวัตถุดิบอื่นๆ ให้กับอาเซอร์ไบจาน รวมถึงเป็นตลาดสำคัญสำหรับผลิตผลทางการเกษตรของอาเซอร์ไบจานอีกด้วย [13]
ประมาณ 46% ของปริมาณเงินโอนทั้งหมดที่เข้ามายังอาเซอร์ไบจานมาจากรัสเซีย ซึ่งตามข้อมูลอย่างเป็นทางการเพียงอย่างเดียวมีชาวอาเซอร์ไบจานมากกว่า 300,000 คนที่อาศัยและทำงานอยู่ในรัสเซีย หากรัสเซียจะทำอะไรจริงๆ แค่เล่นงานพวกแรงงานอพยพเหล่านี้ อาเซอร์ไบจานก็จะเผชิญกับทั้งความสูญเสียทางเศรษฐกิจและความเสี่ยงทางการเมืองในประเทศซึ่งสะเทือนต่อที่นั่งของอาลีเยฟเมื่อพวกเขาถูกไล่กลับมา [14]
1
จะว่าไปในเรื่องนี้ นโยบายต่างประเทศของอาเซอร์ไบจานมีความคล้ายคลึงกับ “นโยบายของตุรกี” มากขึ้นเรื่อยๆ อารมณ์แบบ “ตบหัวแล้วลูบหลัง” การเดินหน้าอย่างก้าวร้าวตามมาด้วยการกลับมาปรองดองอีกครั้ง ความขัดแย้งโดยไม่ตัดสัมพันธ์เด็ดขาด และการเคลื่อนไหวโดยใช้กลุ่มต่างๆ และ “ตุรกียังเสริมความแข็งแกร่งให้กับสถานะของตนในฐานะพันธมิตรทางยุทธศาสตร์หลักและผู้ค้ำประกันด้านความมั่นคงของอาเซอร์ไบจานอีกด้วย”
สามารถดูภาพรวมสำหรับ “ภูมิรัฐศาสตร์ของคอเคซัสใต้” ได้จากภาพด้านล่างนี้
เครดิตภาพ: Daily Bruin
เรียบเรียงโดย Right Style
8th Jul 2025
  • อ้างอิง:
<เครดิตภาพปก: The Gaze>
โฆษณา