9 ก.ค. เวลา 07:00 • หุ้น & เศรษฐกิจ

ธปท.ดัน 3 กลุ่มอุตสาหกรรมนำร่อง ดันลงทุนสร้างอนาคตประเทศ

ธปท.ผนึกคลัง-สภาพัฒน์ นำร่อง 3 กลุ่มอุตสาหกรรม “ท่องเที่ยว-อาหารและเกษตรแปรรูป-medical and wellness” จัดลำดับความช่วยเหลือ กระตุ้นลงทุน ดันเป็นอุตสาหกรรมอนาคตของประเทศ
ช่วงหลายปีที่ผ่านมา อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย (GDP) อยู่ในระดับต่ำ และไม่ได้ฟื้นตัวมากนัก หลังการระบาดของโควิด-19 และยังเป็นอัตราที่เติบโตต่ำที่สุดเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาคอาเซียน ทำให้ความสามารถในการรองรับแรงกระแทกจากปัจจัยลบต่างๆทำได้น้อยลง
อย่างผลกระทบจากการประกาศภาษีตอบโต้ของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ก่อให้เกิดความเปราะบางต่อเศรษฐกิจไทย การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ จึงเป็นเรื่องเร่งด่วนที่ต้องเร่งแก้ไข เพื่ออนาคตของประเทศ
ดร.รุ่ง มัลลิกะมาส รองผู้ว่าการด้านเสถียรภาพสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)เปิดเผย “ฐานเศรษฐกิจ”ว่า ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) อยู่ระหว่างทำงานร่วมกับกระทรวงการคลัง สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สภาพัฒน์) และธนาคารพาณิชย์เพื่อดูว่า กลุ่มลูกค้าของธนาคารพาณิชย์ มีกลุ่มไหนบ้างที่จะไปรอด ต้องมีมาตรการช่วยเหลืออย่างไรบ้าง เพื่อให้ธุรกิจเหล่านั้นเป็นอนาคตของประเทศได้
ทั้งนี้ข้อมูลเบื้องต้นที่ได้รับจากธนาคารพาณิชย์ว่า กลุ่มธุรกิจที่พอไปรอดได้ หากได้รับการสนับสนุน จะนำร่อง 3 กลุ่มแรกก่อนคือ กลุ่มท่องเที่ยว กลุ่มอาหารและเกษตรแปรรูป และ และ medical and wellness จากนั้นจะมีการหารือร่วมกับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (สอท.)และสภาหอการค้าไทย เพื่อลงลึกในรายละเอียดในมาตรการต่างๆที่จะออกมา
ทั้งนี้ หากมองภาพรวมเศรษฐกิจไทยในแง่มหภาค ต้องการการพัฒนามากกว่าเรื่องสภาพคล่องเพียงอย่างเดียว แต่ต้องการดำเนินธุรกิจในรูปแบบที่ธุรกิจจะไปต่อได้อย่างยั่งยืน เพราะวงจรการลงทุนใหม่ๆ ของไทยไม่มีมาหลาย 10ปีแล้ว
ดังนั้นจึงต้องหาธุรกิจที่สามารถรองรับจากความผันผวนต่างๆให้ธุรกิจปรับตัวและสามารถเดินหน้าต่อไปได้ ไม่ใช่หยุดชะงัก อย่างที่เจอเรื่องภาษีทรัมป์ในขณะนี้ อุตสาหกรรมไทยต้องเกิดการปรับตัว แต่จะปรับไปแบบไหน ปรับในรูปแบบที่จะต้องช่วยเหลือผู้ประกอบการให้ปรับตัวได้อย่างราบรื่นอย่างไร
"อันนี้เป็นจุดที่เราต้องมาหาภาพนั้นด้วยกัน ซึ่งเรื่องของสภาพคล่องก็เป็นหนึ่งในปัจจัยที่จะต้องมี แต่ถามว่า มีเฉพาะสภาพคล่อง ธุรกิจจะรอดหรือไม่ ซึ่งไม่ได้หมายความว่า วันนี้เขารอดแล้ว แต่ถ้าเขาจะมีอนาคต เขาจะต้องมีอะไรบ้าง สินค้าใหม่ ตลาดใหม่ๆ ต้องได้รับความช่วยเหลืออะไรจากเราบ้าง ให้มาคุยกันเลย เป็นเซ็กเตอร์ๆไปเลย อย่างลูกหนี้ที่เป็นเกษตรกร เราจะพูดถึงยังไง ลูกหนี้ที่อาจจะโดนดิสรัปชั่นจะจัดการธุรกิจอย่างไร”
อย่างอุตสาหกรรมรถยนต์จากผลกระทบที่รถยนต์อีวีเข้ามาตีตลาด แล้วจะเปลี่ยนไปผลิตอย่างอื่นแทนได้หรือไม่ สมมุติเขาต้องการจะเปลี่ยนไปผลิตอุปกรณ์การแพทย์ ผลิตวีลแชร์ ต้องมี certification หรือไม่ ต้องมีเทคโนโลยีอะไรมั้ย เขาอาจไม่ต้องการ อาจต้องการแค่ตลาด เพราะธุรกิจเขาไปได้อยู่แล้ว เราก็แค่สนับสนุนบางเรื่องพอ
สิ่งต่างๆ เหล่านี้ เราต้องการ การทำงานที่เป็นทีม มีความร่วมมือ มองไปในทิศทางเดียวกัน ไม่ใช่ต่างคนต่างทำเหมือนในปัจจุบัน เพราะความต้องการของธุรกิจ ไม่ได้อยู่ภายใต้หน่วยงานกำกับรายใดรายหนึ่ง บางเรื่องอาจไม่พอ ก็ต้องต้องมาคุยกันว่า ต้องมีอะไรบ้าง
หากภาพธุรกิจเริ่มชัดว่า ธุรกิจเขาพอไปได้ ภาคธนาคารก็กล้าที่จะปล่อยสินเชื่อมากขึ้น หรือถ้าเขายังไม่แน่ใจก็อาจจะเอาระบบการันตีเข้ามาช่วย หรือถ้าเริ่มแรกระดับการรับการันตีความเสี่ยงน้อยไปก็อาจจะขยายเพิ่ม อย่างบรรษัทอุตสาหกรรมขนาดย่อม(บสย.)ที่การันตีอยู่ที่ 40% ก็อาจจะเพิ่มเป็น 50% ได้หรือไม่ เรื่องพวกนี้ต้องมองให้เป็นระบบในแต่ละกลุ่มอุตสาหกรรม
“คนชอบพูดกันเยอะว่า ทำไม่แบงก์ไม่ลดดอกเบี้ย เพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้กับธุรกิจ ก็จริงที่ปฏิเสธไม่ได้ว่า ดอกเบี้ยที่ลดลงช่วยแบ่งเบาภาระหนี้ได้ ซึ่งสภาพคล่องก็เหมือนการให้เลือด แต่ไม่ได้ทำให้เราแข็งแรงขึ้น แต่เศรษฐกิจไทยน่าจะต้องการมากกว่านั้น”
ส่วนกรณีที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง) ปรับลดอกเบี้ยนโยบายมาตั้งแต่ปลายปีที่ 2567 ธปท.ปรับลดอัตราดอกเบี้ยแล้วทั้งหมด 3 ครั้ง รวม 0.75% แต่การส่งผ่านดอกเบี้ยไปสู่ภาคเศรษฐกิจที่แท้จริงค่อนข้างล่าช้า ดร.รุ่งกล่าวว่า สาเหตุส่วนหนึ่งเป็นเพราะดอกเบี้ยของประเทศไทยอยู่ในระดับต่ำหรือใกล้ Lower Bound ทำให้การส่งผ่านล่าช้า
“จากประสบการณ์ทั่วโลก เวลาที่ดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำหรือเริ่มใกล้ lower bound การส่งผ่านโดยทั่วไปจะช้าลง และนั่นเป็นสิ่งหนึ่งที่ในวงวิชาการหรือด้านนโยบายการเงินก็พูดกันว่าเมื่อดอกเบี้ยมันอยู่ต่ำมากๆ ประสิทธิผลของมันจะเริ่มน้อยลง นี่เป็นส่วนหนึ่งที่เป็นภาพสะท้อนว่าทำไมธนาคารพาณิชย์ตอบสนองน้อยลงด้วย”
อย่างไรก็ตาม ถ้าเทียบกับช่วงโควิด ตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมา ธปท.ลดดอกเบี้ยไป 3 ครั้ง transmission หรืออัตราการส่งผ่านสู่เศรษฐกิจจริง ยังดีกว่าช่วงโควิดเล็กน้อย แต่ก็ต้องยอมรับว่า transmission ไม่ได้เยอะมาก และไม่เพียงพอที่จะทำให้เศรษฐกิจดีขึ้นจริง สาเหตุส่วนหนึ่งเป็นเพราะ Credit Risk หรือความกังวลที่ลูกหนี้จะไม่สามารถคืนหนี้ได้ คือต้นทุนที่ว่าธนาคารยังกังวลว่าลูกหนี้จะกลายเป็นหนี้เสีย
ดังนั้นที่ผ่านมา ธปท.พยายามทำโครงการ Your Data ซึ่งเป็นความร่วมมือกับหลายภาคส่วนในการสร้าง “ถึงข้อมูล” ให้ลูกหนี้เพื่อใช้เป็นหลักประกันในการขอสินเชื่อ โดยเมื่อลูกหนี้มีข้อมูลการทำธุรกรรมทางการเงินของตัวเองชัดเจน ธนาคารพาณิชย์ก็จะมีความกล้าในการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ปัญหาที่กดดันเศรษฐกิจในขณะนี้คือ ระดับหนี้ครัวเรือนของไทยที่อยู่ในระดับสูง เกิดจากพฤติกรรมคนไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนรุ่นใหม่ที่เป็นหนี้เร็วและนานขึ้น รวมทั้งหลายคนในวัยเกษียณก็ยังไม่สามารถออกจากวังวนของหนี้ได้ สาเหตุส่วนหนึ่งเป็นเพราะการขาดความรู้ด้านการเงินและอุบัติเหตุที่ไม่คาดคิด ซึ่งบังคับให้หลายคนต้องเป็นหนี้สิน
หลักการสำคัญที่ ธปท.ใช้เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าวคือการ“แก้ปัญหาอย่างครบวงจร”ไม่ว่าจะเป็นการดูฝั่งรายได้ที่เติบโตช้า กำกับดูแลให้ธนาคารพาณิชย์ปล่อยสินเชื่อแบบมีความรับผิดชอบ (Responsible Lending) ผ่านการให้ความของประชาชน เป็นต้น
หนึ่งในโครงการที่ ธปท.พยายามทำเพื่อแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนคือ “โครงการคุณสู้ เราช่วย” ที่พยายามเข้าไปประคองลูกหนี้ที่ต้องการสู้อยู่ถึงแม้เฟสแรกจะช่วยลูกหนี้ได้รวมกว่า 50%ของยอดหนี้ ซึ่งบางกลุ่มอาจมองว่า ไม่ประสบความสำเร็จ แต่ในมุมมอง ธปท.มองเป็นตัวเลขที่ “พอใจ” เพราะต้องยอมรับว่าโครงการนี้จะเกิดขึ้นได้ก็ต้องอาศัย “เจตจำนงของลูกหนี้” ที่ต้องการแก้ไขปัญหาหนี้ของตัวเองด้วย
“ต้องทำความเข้าใจก่อนว่าโครงการ “คุณสู้ เราช่วย” ชื่อบอกอยู่แล้ว คุณต้องสู้ก่อน มันไม่ได้ดีไซน์มาสำหรับทุกคน ลูกหนี้มีสิทธิ์เลือกว่าจะสู้หรือไม่ ถ้าสู้แปลว่ายังต้องผ่อนอยู่ แต่โครงการให้ผ่อน 50% ของงวดผ่อนเดิมในช่วงหนึ่งปีแรก แล้วค่อยขยับขึ้นเป็น 70%”
ช่วงแรกธนาคารพาณิชย์ให้ความร่วมมือมากน้อยไม่เท่ากัน เพราะจากข้อมูลของ ธปท.จะพบว่า ลูกหนี้ที่ก่อ “ลักษณะหนี้ต่างกัน” ก็มีอัตราการตอบรับเข้าโครงการแตกต่างกันมากยกตัวอย่างเช่น ถ้าเป็นหนี้บ้านที่หยุดจ่ายไม่เกิน 3เดือนจะมีอัตราการตอบกลับเร็วมาก แต่พอเริ่มเป็นหนี้เสียตั้งแต่ 6 เดือนขึ้นไปก็จะมีอัตราการตอบรับที่ลดหลั่นลงไป
ขณะที่หนี้รถจะมีอัตราการตอบกลับเข้าร่วมโครงการที่น้อยมาก ยิ่งถ้าเป็นหนี้รถที่เสียเกิน 6 เดือนแทบจะไม่มีการตอบรับเข้าโครงการเลย
อีกทั้ง พอร์ตหนี้ของแต่ละธนาคารก็แตกต่างกัน อย่างธนาคารของรัฐก็จะไม่มีพอร์ตรถยนต์เลย ดังนั้นอัตราการตอบรับเข้าโครงการคุณสู้ เราช่วยก็จะสูงกว่าพอร์ตของธนาคารพาณิชย์ที่มีสัดส่วนหนี้รถยนต์ในพอร์ตมากกว่า
อย่างไรก็ตาม ข้อดีของโครงการคุณสู้ เราช่วย คือ ถ้าลูกหนี้ยังสู้อยู่จะได้รับ “โปรแรง” เพราะดอกเบี้ยจะพักไว้ข้างๆ ถ้าทำได้ตามเงื่อนไข คือผ่อนได้ครบและไม่ก่อหนี้ใหม่ในช่วง 12 เดือน ดอกเบี้ยนั้นจะยกให้ทันที กลายเป็นเสมือนคิดดอกเบี้ยศูนย์เปอร์เซ็นต์ ซึ่งไม่เคยมีมาก่อน และเฟส2 ยังขยายไปยังลูกหนี้ที่เป็นหนี้เสียไม่เกิน 30 วันและขยายหนี้ที่ไ่ม่มีหลักประกันมากขึ้น
โฆษณา