Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
เศรษฐศาสตร์และการพัฒนาประเทศ
•
ติดตาม
10 ก.ค. เวลา 14:41 • หุ้น & เศรษฐกิจ
ผลกระทบและแนวทางรับมือภาษีทรัมป์
ในช่วงที่ผ่านมา นโยบายภาษีของสหรัฐฯ ภายใต้การนำของโดนัลด์ ทรัมป์ ได้สร้างความกังวลให้กับหลายประเทศ รวมถึงประเทศไทย โดยเฉพาะการขู่ขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าที่สูงถึง 36% ซึ่งแม้จะเป็นเพียงคำขู่เพื่อเปิดโอกาสให้เจรจา แต่ก็ทำให้เกิดคำถามสำคัญ 3 ข้อในหมู่ผู้กำหนดนโยบายและภาคธุรกิจของไทย:
1. ประเทศไทยจะโดนภาษีนำเข้ากี่เปอร์เซ็นต์?
2. ควรทำอย่างไรเพื่อโดนอัตราภาษีน้อยที่สุด?
3. ผลกระทบจะรุนแรงเพียงใด และจะรับมืออย่างไร?
เริ่มจาก
1. ประเทศไทยจะโดนภาษีนำเข้ากี่เปอร์เซ็นต์?
จากข้อมูลการค้าระหว่างประเทศไทยและสหรัฐฯ ในปี 2024 ไทยส่งออกไปสหรัฐฯ มูลค่า 63.3 พันล้านเหรียญ และนำเข้าจากสหรัฐฯ มูลค่า 18 พันล้านเหรียญ ส่งผลให้ไทยเกินดุลการค้าถึง 45 พันล้านเหรียญ เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่น เช่น:
สิงคโปร์ ซึ่งขาดดุลการค้ากับสหรัฐฯ ถูกเรียกเก็บภาษีเพียง 10%
เวียดนาม ที่เกินดุลการค้า 123 พันล้านเหรียญ (ส่งออก 136 พันล้านเหรียญ นำเข้า 13 พันล้านเหรียญ) มีโอกาสถูกเรียกเก็บภาษีในช่วง 0-40%
เมื่อพิจารณาว่าเกินดุลของไทย (45 พันล้านเหรียญ) อยู่ในระดับปานกลางเมื่อเทียบกับเวียดนามและสิงคโปร์ อัตราภาษีที่ไทยอาจเผชิญน่าจะอยู่ระหว่าง 10-20%
อย่างไรก็ตาม ปัจจัยที่ทำให้สถานการณ์ของไทยซับซ้อนขึ้นคือการที่เกินดุลการค้าของไทยเพิ่มขึ้นอย่างมากหลังจากสงครามการค้าจีน-สหรัฐฯ ซึ่งจีนย้ายฐานการผลิตมาที่ไทยมากกว่าเวียดนาม และทำให้ไทยเกินดุลเพิ่มขึ้นจากประมาณ 10,000 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2019 เป็น 45,000 ล้านเหรียญในปี 2024 ซึ่งเมื่อเทียบกับเวียดนามในช่วงเดียวกัน เกินดุล 1.1 แสนล้านเหรียญในปี 2019 เป็น 1.23 แสนล้านเหรียญในปี 2024
การเพิ่มขึ้นอย่างมากเมื่อเทียบกับเวียดนาม ทำให้สหรัฐฯ อาจมองว่าไทยเป็นช่องทางสำคัญที่จีนใช้หลบเลี่ยงภาษี ดังนั้น อัตราภาษีที่ไทยจะได้รับอาจสูงกว่าที่คาดหากไม่มีการเจรจาที่ชัดเจน
2. ควรทำอย่างไรเพื่อให้เจออัตราภาษีน้อยที่สุด?
แนวทางที่นักวิเคราะห์แนะนำเพื่อต่อรองให้ได้อัตราภาษีต่ำลง ได้แก่:
1. พยายามเปรียบเทียบการเกินดุลการค้ากับเวียดนาม เพื่อแสดงให้เห็นว่าประเทศไทยไม่ได้เกินดุลมากเท่าเวียดนาม และควรได้รับอัตราภาษีที่ต่ำกว่า แต่ข้อนี้ไม่แน่ว่าจะสำเร็จอย่างที่ผมคุยไว้ก่อนหน้า
2. เสนอผลประโยชน์เพิ่มเติม เช่น การลงทุนของสหรัฐฯ ในไทย หรือการเปิดโอกาสให้ธุรกิจของทรัมป์ เข้ามาลงทุน กรณีนี้ ผมมองตรงกันข้ามว่า ทรัมป์ต้องการดึงอุตสาหกรรมกลับไปประเทศมากกว่าจะส่งออกการลงทุนมาต่างประเทศ ยกเว้นกรณีธุรกิจทรัมป์ แต่นั่นน่าจะเป็นเรื่องเล็ก ของแถมมากกว่า
ในขณะที่ข่าวที่ออกมาว่าเป็นข้อเสนอของรัฐบาลคือ การเพิ่มการซื้อวัตถุดิบ เช่น พลังงาน เครื่องบินจากสหรัฐฯ เพื่อลดการเกินดุลการค้า
ซึ่งผมยังมองว่าไม่ใช่สิ่งที่ทรัมป์โฟกัส เพราะสิ่งที่เป็นเป้าหมายหลักของทรัมป์คือการลดการนำเข้าสินค้าจีนไม่ว่าจะโดยทางตรงหรือทางอ้อม ซึ่งทางตรงก็คุยกับจีน แต่ทางอ้อม ต้องมากดดันที่ประเทศที่เป็นทางผ่านของจีน และจากตัวเลข ไทยเป็นหนึ่งในประเทศกลุ่มเป้าหมาย
ด้วยเหตุนี้ แนวทางที่ผมคิดว่าควรทำ คือ มุ่งเน้นที่การแยกประเภทสินค้าตาม Local Content เพื่อเจรจาอัตราภาษีที่เหมาะสม:
สินค้าที่มี Local Content ต่ำ ควรยอมรับอัตราภาษีสูง (เช่น 40% หรือแม้แต่มากกว่า) เพื่อแลกกับการปกป้องสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจของไทยมากกว่า
สินค้าที่มี Local Content สูงกว่า 70% หรือ 80% แล้วแต่จะคุยได้ เช่น สินค้าเกษตรหรือผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่มในไทยสูง ขออัตราภาษีต่ำกว่า 20% หรืออย่างน้อยต้องไม่สูงกว่าคู่แข่งในประเภทเดียวกัน
นอกจากนี้ ในการเจรจา ควรประเมินผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของราคาต่อปริมาณซื้อขาย หรือที่เรียกว่าความยืดหยุ่นต่อราคา เพราะสินค้าแต่ละตัวจะมีความยืดหยุ่นต่อราคาไม่เท่ากัน
ตัวอย่างสินค้าที่มีความยืดหยุ่นต่อราคาต่ำ เช่น ข้าวหอมมะลิ ซึ่งการขึ้นราคาเพราะถูกขึ้นภาษีนำเข้าจะไม่กระทบการบริโภคมากนัก สามารถรับภาระภาษีได้ดีกว่าสินค้าตัวอื่น
แต่สินค้าที่มีความยืดหยุ่นต่อราคาสูง ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นสินค้าที่แข่งขันง่ายหรือไม่มีความเฉพาะตัว เช่น เสื้อผ้า สินค้าเกษตรที่ไม่มีความเฉพาะตัวและผลิตได้ในหลายประเทศ ควรลดต้นทุนการผลิตเพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขัน
3. จะกระทบแค่ไหน และรับมืออย่างไร
ผลกระทบ
ด้านการส่งออก: หากเจรจาได้อัตราภาษีตามที่กล่าวข้างต้น ผลกระทบต่อการส่งออกจะอยู่ในระดับที่ควบคุมได้ โดยเฉพาะสินค้าที่มี Local Content สูง ส่วนสินค้าที่มี Local Content ต่ำ ปกติไทยไม่ค่อยได้อะไรอยู่แล้ว ดังนั้นถึงแม้จะถูกภาษีนำเข้าสูง ก็กระทบไม่มาก
ด้านการนำเข้า:
แบ่งเป็น 3 กลุ่ม
1. ผู้บริโภค จะได้ประโยชน์จากราคาสินค้านำเข้าที่ถูกลง หากภาษีนำเข้าลดลงเหลือ 0%
2. ผู้ผลิตที่นำวัตถุดิบเข้ามาแปรรูป จะได้ประโยชน์ เพราะเมื่อภาษีนำเข้าลดลง สามารถซื้อวัตถุดิบได้ในราคาต่ำลง
3. ผู้ผลิตที่ผลิตสินค้าแข่งกับสินค้านำเข้าจากอเมริกา เสียประโยชน์
แต่
นี่คืออีก 1 โอกาสทองที่จะใช้วิกฤตเป็นโอกาสในการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งเคยเสียโอกาสแบบนี้ไปแล้วครั้งนึงคือช่วงโควิด ที่ตอนนั้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจหยุดทั้งโลก เป็นโอกาสทองที่เราจะยกเครื่องของเราให้ทันคนอื่น แต่เราพลาดโอกาสนั้นไป ไม่ทำอะไร นอกจากแจกเงิน ไม่เป็นไร ตอนนี้เอาใหม่
ตัวอย่างสินค้าที่จะได้รับผลกระทบ
สินค้าเกษตรที่ราคาตามตลาดโลกแล้วโดนแข่งจากสินค้านำเข้าของเมกา เช่น ข้าวโพด หมู ต้องลดการผลิตลง แล้วย้ายเกษตรกรมาผลิตเกษตรมูลค่าสูง เกษตรกรที่รายได้น้อยลง หาทางช่วยอย่างอื่น รวมถึงเอาลูกหลานมาฝึกทักษะใหม่ให้สามารถหารายได้ได้โดยเร็วชดเชยรายได้ภาคเกษตรที่หายไป (ซึ่งไม่มากสำหรับแต่ละครอบครัว) ส่วนคนอื่นที่แข่งขันไม่ได้ ไม่มีลูกหลาน ก็ย้ายมาทำงานอื่นที่ตลาดต้องการ เช่น ตลาดดูแลผู้สูงอายุ
ทำแบบนี้ เราจะลดจำนวนเกษตรกรที่ productivity ต่ำลงไปได้มาก (ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุแล้ว)
สินค้าอุตสาหกรรมที่แข่งขันยาก คุยกับ ผปก ให้สองทางเลือก 1. เปลี่ยนไปทำอย่างอื่นที่ตลาดต้องการมากกว่า หรือ 2. ผลิตอย่างเดิมแต่เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตให้สูงขึ้นและเพิ่มคุณภาพสินค้าให้ดีขึ้น ทั้งสองอย่างรัฐต้องเข้าไปช่วยทั้งด้านแหล่งเงิน และ พัฒนาคน รวมถึงการหาผู้ร่วมทุน
งานบริการ คุยกับ ผปก. เพิ่มคุณภาพการบริการ รัฐเข้าไปช่วย ยกเลิกการสนับสนุน ผปก. ที่ไม่ปรับตัว เลิกเลี้ยงลูกไม่ให้โตแบบทุกรัฐบาลที่ผ่านมา
แล้วเอาเงินจากไหนมาช่วย
เมื่อภาษีลง 0% จะมีผู้ประกอบการบางส่วนได้ประโยชน์จากราคาวัตถุดิบที่ลดลง ลองคุยกับเค้า ขอแบ่งประโยชน์จากบางส่วนมาได้มั้ย แบ่งยังไง
เมื่อภาษีลง 0% ผู้บริโภคที่ได้ประโยชน์คือคนกลุ่มไหนบ้าง จะขอชดเชยจากเค้าในรูปแบบของภาษีรายได้ หรือ การลดความช่วยเหลือ อย่างไร
ภาษีที่จะได้เพิ่มขึ้นในอนาคต จาก productivity ที่สูงขึ้น
นอกจากแนวทางดังกล่าวแล้ว ข้อเสนอที่น่าสนใจจากนักธุรกิจตัวแทนภาคอุตสาหกรรม เพื่อตอบสนองนโยบายของทรัมป์ที่ต้องการดึงอุตสาหกรรมไปอยู่ในประเทศ คือ ส่งเสริมการลงทุนของไทยในสหรัฐฯ เป็นอีกแนวทางที่น่าสนใจ เพราะจะได้ประโยชน์ทั้งในแง่ของการรับการถ่ายทอดเทคโนโลยีและความรู้กลับมาไทย โดยรัฐบาลควรยกเว้นภาษีสำหรับเงินลงทุนที่นำกลับเข้ามาในประเทศ
สุดท้าย ที่ผมอยากเสนอเพิ่ม เพื่อเปลี่ยนวิกฤตเป็นโอกาส คือ
1. ให้สหรัฐฯ มาเป็นที่ปรึกษาในการเพิ่ม productivity ของประเทศ แล้วส่งเสริมอุตสาหกรรมและงานบริการในประเทศนำเข้าสินค้าทุนจากสหรัฐอเมริกาโดยมีสหรัฐอเมริกาเป็นที่ปรึกษา โดยรัฐบาลใช้แรงจูงใจทางภาษีแก่ผู้ประกอบการที่ต้องการเพิ่ม productivity
2. Mega project ปฏิรูประบบราชการให้เป็น digital government จริงๆ ซะที อันนี้ นำเข้าเทคโนโลยีจากเมกามาเลย ด้วยวิธีนี้ รัฐจะได้เงินกลับมาอีกก้อนนึง จากการเพิ่มประสิทธิภาพในภาครัฐ จากการสมัครใจออกของข้าราชการบางส่วน การไม่ต้องจ้างงานเพิ่ม และค่าใช้จ่ายต่องานลดลง
ผมมั่นใจว่า การเสียเงินเพื่อสองอย่างนี้ ดีกว่าการเสียเงินซื้อโบอิ้งที่ซื้อมาแล้วไม่รู้จะทำกำไรได้หรือป่าวภายใต้การแข่งขันในอุตสาหกรรมการบินที่สูงมากเหมือนในปัจจุบัน
บันทึก
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย