เมื่อวาน เวลา 02:30 • ธุรกิจ

London Bagel Museum ร้านเบเกิลเกาหลี ชื่ออังกฤษ ที่มีมูลค่ากิจการ 4,750 ล้านบาท

London Bagel Museum เป็นคาเฟเบเกิลชื่อดัง แม้ชื่อร้านจะฟังดูเหมือนแหล่งท่องเที่ยวในอังกฤษ
แต่จริง ๆ แล้ว London Bagel Museum มีสาขาแรกอยู่ในกรุงโซล ซึ่งอยู่ห่างจากกรุงลอนดอนเกือบ 9,000 กิโลเมตร และมีเจ้าของคือคนเกาหลีใต้ ที่แทบไม่มีความเกี่ยวข้องกับประเทศอังกฤษเลยสักนิด
เรื่องราวของแบรนด์นี้น่าสนใจอย่างไร ?
ลงทุนเกิร์ลจะเล่าให้ฟัง
London Bagel Museum เปิดตัวครั้งแรกในเดือนกันยายน ปี 2021 และโด่งดังอย่างรวดเร็ว
หนึ่งในภาพจำของแบรนด์ ก็คือ คิวหน้าร้านที่ยาวตลอดวัน โดยเฉพาะที่สาขาอันกุก ในกรุงโซล ซึ่งกลายเป็นแลนด์มาร์กของนักท่องเที่ยว ไม่ต่างจากคิวรอกินราเม็นร้านดังที่ญี่ปุ่น หรือชานมไข่มุกที่ไต้หวัน
1
ว่ากันว่า ลูกค้าต้องต่อคิวกว่า 1-3 ชั่วโมง เพื่อจะได้ลิ้มลองเมนูยอดฮิต เช่น Truffle Bacon Cream Cheese Bagel, Potato Cheese Bagel และ Lobster Roll
ปัจจุบัน London Bagel Museum มีทั้งหมด 6 สาขาในเกาหลีใต้ และกำลังพิจารณาขยายสาขาไปยังต่างประเทศ เช่น ญี่ปุ่นและสิงคโปร์
โดยในปี 2024 ที่ผ่านมา London Bagel Museum
มีรายได้ 1,895 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 120.9% จากปีก่อนหน้า
และกำไร 486 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 80.5% จากปีก่อนหน้า
ที่น่าสนใจกว่านั้นคือ ล่าสุด JKL Partners บริษัทไพรเวตอิควิตีในเกาหลีใต้ ได้ลงทุน 200,000 ล้านวอน หรือราว 4,750 ล้านบาท เพื่อเข้าซื้อหุ้น 100% ใน London Bagel Museum
ซึ่งการที่แบรนด์ที่มีเพียงไม่กี่สาขาในประเทศ สามารถมีมูลค่ากิจการสูงขนาดนี้ บ่งบอกถึง Brand Power และความเชื่อมั่นของนักลงทุนได้อย่างชัดเจน
แล้ว London Bagel Museum ทำได้อย่างไร ?
เราสามารถสรุปกลยุทธ์ ได้เป็น 4 ประเด็นหลัก ๆ ดังนี้
1. “คอนเซปต์ร้านที่ชัดเจน”
การใช้คำว่า London ในชื่อแบรนด์เป็นการยืมอารมณ์ของเมืองลอนดอน เพื่อสร้างคอนเซปต์ให้คนรู้สึกว่าเบเกิลที่นี่มีสตอรี มีความคลาสสิกและดูมีรสนิยม
โดย London Bagel Museum ใช้การตกแต่งภายในสไตล์วินเทจ ผนัง เฟอร์นิเจอร์โทนสีไม้ และการจัดแสงไฟที่ดูอบอุ่น ให้กลิ่นอายบรรยากาศแบบลอนดอนยุคเก่า แตกต่างจากคาเฟทั่วไปในเกาหลีใต้
2. “การตลาดแบบปากต่อปาก”
หน้าตาเบเกิล คือจุดขายสำคัญ ทั้งขนาดใหญ่ หน้าตาสวย ถ่ายรูปขึ้นกล้อง จนกลายเป็นไวรัลบน Instagram
และพอมีอินฟลูเอนเซอร์หรือคนดังมารีวิว ก็ยิ่งกระตุ้นกระแสให้คนแห่ตามไปลอง กลายเป็นหมุดหมายใหม่ของสายกินที่ต้องเช็กอิน
นอกจากนี้ การที่ทุกคนต้องรอคิวนาน การสร้าง Limited Menu เปลี่ยนเมนูตามฤดูกาล และขายแบบจำนวนจำกัดต่อวัน ยิ่งกระตุ้น FOMO และทำให้สินค้าดูพิเศษขึ้นทันที เพราะของที่หายาก คนมักอยากได้มากกว่า
3. “รสชาติและเนื้อสัมผัสที่แตกต่าง”
คุณ Lee Hyo Jong ผู้ก่อตั้ง London Bagel Museum ได้แรงบันดาลใจในการสร้างเนื้อสัมผัสของเบเกิล มาจากเส้นบะหมี่คัลกุกซู หรือบะหมี่สดสไตล์เกาหลี
โดยเบเกิลของ London Bagel Museum นั้นมีเนื้อสัมผัสกรอบนอก เนื้อในเหนียวนุ่ม ซึ่งเข้ากับรสนิยมของคนเกาหลีมากกว่าเบเกิลสไตล์นิวยอร์กดั้งเดิม ที่มักจะมีความแข็งและเหนียว
4. “การรักษาภาพลักษณ์พรีเมียม”
ตั้งแต่เมนูขนม การตกแต่งร้าน ไปจนถึงการเลือกทำเลที่ตั้งร้านในย่านที่มีเอกลักษณ์ เช่น ชองดัม อันกุก จัมชิล ซึ่งลูกค้าจะได้ดื่มด่ำกับบรรยากาศแบบลอนดอนยุคเก่า ผสานกับความโมเดิร์นของโซล
และถึงแม้ว่าราคาเบเกิลของ London Bagel Museum จะสูงกว่าร้านเบเกิลทั่วไป แต่ลูกค้าก็ยังมองว่าคุ้มค่ากับทั้งรสชาติและประสบการณ์ที่ได้รับ
ความสำเร็จของ London Bagel Museum คงทำให้เราเห็นแล้วว่า ในยุคนี้การขายอาหารไม่ใช่แค่เรื่องของรสชาติ แต่คือการขาย “ประสบการณ์” และ “แบรนด์” ที่คนพร้อมจะจ่ายเพิ่มเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของมัน
และหากแบรนด์ยังรักษาคุณภาพ-ความพิเศษไว้ได้ต่อเนื่อง อนาคตอาจได้เห็นการขยายไปสู่เวทีโลกได้สำเร็จ
ไม่ใช่ด้วยชื่อที่สื่อถึงลอนดอน แต่เป็นฝีมือคนเกาหลีล้วน ๆ ที่อยู่เบื้องหลังร้านเบเกิลนี้..
References :
- Naver, Chosun, Happist
โฆษณา