11 ก.ค. เวลา 14:26 • บ้าน & สวน

เสียงไก่ขันยามเช้าในบ้านสวน

ฉันตื่นขึ้นมาท่ามกลางเสียงที่ไม่ใช่นาฬิกาปลุก ไม่ใช่เสียงโทรศัพท์ หรือเสียงการจราจรบนถนนใหญ่แบบที่คุ้นหูในเมือง
แต่เป็นเสียง “เอ้กอีเอ้กเอ้ก” ของเจ้าพ่อไก่ในเล้า ที่ขันขานแข่งกับเสียงนกร้องและเสียงลมหอบแรกของเช้าวันใหม่
บ้านสวนของคุณปู่ยังเหมือนเดิมทุกครั้งที่ฉันกลับมา ไม่เปลี่ยนแปลงไปตามเข็มนาฬิกาโลกเท่าไรนัก
สนามหญ้าเล็ก ๆ หน้าบ้านยังคงมีรอยตีนไก่เต็มไปหมด โกดังไม้เล็ก ๆ ด้านหลังยังมีเล้าไก่ที่ทำจากไม้ไผ่สาน และใต้ถุนบ้านก็ยังเป็นที่วิ่งเล่นของลูกเป็ดลูกไก่เหมือนเมื่อครั้งฉันเป็นเด็ก
เสียงไก่ขันในเช้าแบบนี้ มีความหมายกว่าที่คิด—
มันไม่ใช่แค่เสียงบอกเวลาว่าเช้าแล้ว แต่มันคือสัญญาณของ “ความต่อเนื่อง”
สัญญาณของชีวิตในบ้านที่ยังหายใจ และความอบอุ่นที่ยังไม่จางหาย
ฉันจำได้ดีว่า ตอนเด็ก ๆ แม่จะปลุกฉันทุกเช้าด้วยประโยคเดิม
“ตื่นได้แล้วลูก ไก่มันขันจะสว่างค่อนฟ้าแล้ว”
ฉันงัวเงีย ลุกขึ้นจากเสื่อเก่า ๆ ที่ปูไว้กับพื้นบ้านไม้ ได้กลิ่นหอมของข้าวใหม่ในหม้อดินที่ตั้งอยู่บนเตาฟืน
เสียงช้อนกระทบจาน เสียงแม่เห่อลูกเป็ด เสียงพ่อไก่เดินย่ำพื้นดังกรุ๊บกรั๊บอยู่ใต้ถุนบ้าน ทั้งหมดหลอมรวมกันเป็นเช้าที่ไม่ต้องการอะไรมากไปกว่านี้เลย
ตอนนั้นฉันยังไม่รู้จักคำว่า “วิถียั่งยืน” หรือ “การเกษตรอินทรีย์”
แต่ทุกอย่างที่แม่ทำในครัว—การหุงข้าวด้วยฟืน การเก็บผักจากแปลงหลังบ้าน การทอดไข่ด้วยน้ำมันนิดเดียว—คือบทเรียนชีวิตที่ซึมลึกโดยไม่ต้องมีตำรา
ไก่ที่เลี้ยงในบ้านสวนไม่ได้เลี้ยงไว้เพื่อออกไข่เพียงอย่างเดียว
พวกมันคือ “สัญญาณนาฬิกาธรรมชาติ”
พ่อไก่จะขันตั้งแต่ตีห้ากว่า ๆ และตามมาด้วยเสียงเป็ด เสียงแมว เสียงหม้อหุงข้าว และเสียงเรียกขานจากคนในบ้าน
บ้านหลังนี้ไม่เคยเงียบ...แม้ในวันที่ไม่มีใครพูดอะไรเลย
ฉันเดินไปเปิดหน้าต่าง เห็นเจ้าไก่ตัวเก่งของแม่ มันยืนเด่นอยู่บนขอนไม้เก่า ๆ ข้างเล้า ขนมันเปล่งประกายแสงทองจากแดดอ่อน ๆ ยามเช้า
ข้าง ๆ กันคือแม่ไก่ที่กำลังจิกเศษข้าวเศษปลาให้ลูกไก่กิน
แม่เคยบอกว่า “ลูกไก่กินได้ ต้องให้แม่มันจิกโชว์ก่อน”
ฉันเคยมองดูภาพนั้นด้วยความสงสัย แต่ตอนนี้ฉันเข้าใจแล้วว่า มันคือการเรียนรู้ผ่านตัวอย่าง คือบทเรียนที่แม่ให้ลูกผ่านการกระทำ ไม่ใช่คำพูด
เสียงไก่ขันในบ้านสวนของปู่ ไม่ได้บอกแค่เช้าแล้ว แต่บอกด้วยว่า วันนี้...ยังมีชีวิตที่ต้องดูแล
ยังมีต้นไม้ที่ต้องรดน้ำ
ยังมีไข่ที่ต้องเก็บ
ยังมีเป็ดที่ต้องปล่อยเดินสวน
ยังมีแม่ที่เตรียมกับข้าว
ยังมียายที่นั่งเป่าข้าวให้เย็นบนตะแกรง
เสียงนั้นคือเพลงกล่อมในรูปแบบของมันเอง
เป็นเสียงที่ไม่มีใน Spotify แต่สื่อสารกับใจเราได้มากกว่านั้น
บางครั้งฉันคิดนะ—ถ้าวันไหนบ้านนี้ไม่มีเสียงไก่ขัน
ฉันคงรู้สึกว่าโลกมันเงียบผิดปกติ
เพราะความอบอุ่นมันไม่ใช่แค่สิ่งที่มองเห็นได้ด้วยตา แต่มันเป็น “เสียง” ที่เรารู้สึกได้ในหัวใจ
ฉันก้าวเท้าเปล่าเดินลงบันได ลงไปยืนที่ใต้ถุน
กลิ่นดินชื้นหลังฝนเมื่อคืนยังคงอยู่ ผสมกับกลิ่นควันเตาถ่าน
เจ้าแมวเดินเลียหนวดตามหลังฉันมา พอได้ยินเสียงไข่กระทบจานก็กระโจนขึ้นไปบนตักแม่
แม่ยิ้ม “จะเอาข้าวไข่เจียวมั้ยลูก”
ฉันพยักหน้า มองไปยังเหล่าไก่ที่วิ่งเล่นอยู่ในสวน
และรู้สึกว่า—ชีวิตในบ้านสวนแม้จะเรียบง่าย แต่เต็มไปด้วยรายละเอียดเล็ก ๆ ที่ไม่มีวันจางหาย
เสียงไก่ขันในเช้าแบบนี้
อาจไม่มีราคา แต่มีคุณค่า
อาจไม่ได้อยู่ในสคริปต์ของใคร
แต่เป็นเสียงที่บอกฉันว่า...บ้านคือที่ที่เราตื่นขึ้นมาอย่างไม่ต้องรีบ
บ้านคือที่ที่เราตื่นขึ้นมา แล้วรู้สึกว่าทุกอย่าง...ยังอยู่ตรงที่เดิม
โฆษณา