11 ก.ค. เวลา 16:22 • ประวัติศาสตร์

มหาอำมาตย์ผู้หลงในลำปาง

“พระยาสุเรนทร์” ปลัดมณฑลคนแรกอยู่นาน 21 ปี พ่อเมืองที่ชาวลำปางทุกวันนี้ไม่รู้จัก
ถ้าพูดถึงบ้านพระยาสุเรนทร์ หรือถนนสุเรนทร์ แน่นอนว่าคนลำปางรู้จักเป็นอย่างดี โดยเฉพาะถนนสุเรนทร์ซึ่งเริ่มต้นที่วงเวียนรถไฟไปสิ้นสุดตรงสามแยกโรงน้ำแข็ง
ในพื้นที่อำเภอเมืองนอกจากถนนจามเทวี กับ ถนนวชิราวุธดำเนินแล้วถนนสุเรนทร์ถือว่าเป็นถนนเส้นเดียวที่นำชื่อของสามัญชนที่ดำรงตำแหน่งเป็นขุนนางมียศพระยามาตั้งเป็นอนุสรณ์ให้รำลึกถึงจนปัจจุบัน
“เจิม” เกิดในแผ่นดินรัชกาลที่ 5 พ.ศ.2417 ซึ่งสมัยนั้นยังไม่มีนามสกุล เป็นบุตรพระยารัตนสมบัติ (แป๊ะ) และ คุณเปลี่ยน มีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันรวมทั้งหมด 13 คน เจิมเป็นลูกคนที่ 4 มีพี่สาวคนโตชื่อ “เพิ่ม” ซึ่งต่อมาเพิ่มจะแต่งงานกับเจ้าพระยาสุรบดินทรสุรบดินทรสุรินทรฦาไชย ผู้ที่ทำเรื่องขอพระราชทานนามสกุล “จารุจินดา” จากรัชกาลที่ 6
แป๊ะ มีภรรยา 3 คน ชื่อเปลี่ยน (บุตร-ธิดา 13คน) ,พ่วง (บุตร-ธิดา 3คน ) และคุณหญิงตาบ (บุตร-ธิดา 6คน)
สันนิษฐานว่า “แป๊ะ” บิดาของพระยาสุเรนทรราชเสนา มีเชื้อจีนเนื่องจากมีพี่น้องคนหนึ่งชื่อ “เจ๊ก”
พ.ศ.2432 เมื่ออายุได้ 15 ปี เจิมเริ่มเข้ารับราชการในกรมสรรพากร ตลอดรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้รับ พระราชทานบรรดาศักดิ์ปูนบำเหน็จเป็นขุนอาทรธนพัฒน์ ย้ายออกจากกรุงเทพฯ ออกมารับราชการอยู่ภาคเหนือ เช่น เชียงใหม่ เชียงราย ลำปาง น่าน ลำพูน
หลังจากนั้นขอโอนไปรับราชการในกระทรวงมหาดไทย และดำรงตำแหน่งปลัดมณฑลประจำจังหวัดน่านเป็นที่แรก ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น พระอาทรธนพัฒน์
หลังรัชกาลที่ 5 สวรรคต พ.ศ.2453 พระอาทรธนพัฒน์ย้ายมาเป็นปลัดมณฑลประจำจังหวัดลำปางและได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น พระยาสุเรนทรราชเสนา ซึ่งกลายเป็นพ่อเมืองลำปางคนแรก ตำแหน่งเดียวยาวนานถึง 21 ปี เนื่องจากรับราชการอยู่ที่จังหวัดลำปางเรื่อยมา ตั้งแต่ พ.ศ. 2453 – 2474
ในขณะที่บันทึกส่วนใหญ่ระบุว่า 17 ปี หรือ พ.ศ.2453 –2470
อย่างไรก็ตาม ความสำคัญของการรับราชการเป็นปลัดมณฑลประจำจังหวัดลำปางของพระยาสุเรนทรราชเสนา มีอยู่ 2 ประเด็นที่ควรบันทึกไว้ในประวัติลำปาง
ประเด็นแรกคือ ช่วงปลายชีวิตราชการในจังหวัดลำปางนั้นมีโอกาสได้รับเสด็จรัชกาลที่ 7 ซึ่งเสด็จพระราชดำเนินมาจังหวัดลำปางเป็นเมืองแรกหลังขึ้นครองราชย์ในวันที่ 26 พฤศจิกายน 2468
โดยบันทึกจดหมายเหตุเสด็จพระราชดำเนินเลียบมณฑลฝ่ายเหนือ พระพุทธศักราช 2469  และหนังสือมณฑลที่ 7 ได้เล่าเหตุการณ์สำคัญวันนั้นไว้ว่า
วันที่ 11 มกราคม 2469 ชาวเมืองลำปางได้ถวายการรับเสด็จ ฯ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระบรมราชินีพระนางเจ้ารำไพพรรณี อันเป็นวันแรก และครั้งแรกที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมวงศ์จักรีเสด็จสู่นครลำปางหลังพระบรมราชาภิเษกแล้ว พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าพระราชทานพระแสงราชศัตราแด่ มหาอำมาตย์ตรี พระยาสุเรนทร์ราชเสนาปลัดมณฑลประจำจังหวัดลำปาง ณ ศาลากลางจังหวัดลำปาง ในวันที่ 11 มกราคม พ.ศ.2469 เวลา 16.30 น.
ทรงมีพระราชดำรัสบางตอนที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้พิมพ์พระราชทานในวันขึ้นปีใหม่ พ.ศ.2469 / หน้า 68 - 69) ระบุว่า
"พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกได้ทรงรับความสวามิภักดิ์ของชาวมณฑลพายัพที่นครลำปางนี้เป็นประถมเหตุที่บ้านเมืองทั้งมณฑลจะพ้นจากอำนาจพม่ามารวมในประเทศสยามเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
อนึ่ง เรามาถึงเมืองนครลำปางนี้เป็นทีแรกเราได้สร้างพระแสงราชศัตราไว้องค์หนึ่งอันพระแสงราชศัตรานี้สมเด็จพระปิยมหาราชเจ้าอันเป็นพระบรมชนกนาถของเราได้ทรงพระราชดำริสร้างขึ้นสำหรับพระราชทานต่อพระหัตถ์ ในเมื่อเสด็จถึงหัวเมืองสำคัญเป็นครั้งแรก เพื่อให้รักษาไว้เป็นที่สักการะต่างพระองค์ และชุบทำน้ำพระพิพัฒน์สัจจาเป็นประเพณี
วันนี้เป็นอุดมมงคลเราจะมอบพระแสงราชศัตราไว้แก่ท่านทั้งหลาย และขออำนวยพรแก่ท่านทั้งหลาย กับทั้งประชาชนชาวจังหวัดนครลำปาง ขอให้มีความสำราญปราศจากสรรพวิบัติอุปัทวันตรายทั้งปวง และจงเจริญจตุพิธพรทุกประการให้ทั่วกัน และขอให้จังหวัดนครลำปาง จงเจริญสุขสมบัติวัฒนาเป็นนิจนิรันดรเทอญ "
จากข้อความข้างต้นทำให้ “พระแสงราชศัตรา” คือประเด็นสำคัญที่ 2
พระแสงราชศัสตรา หรือ ดาบอาญาสิทธิ์ ที่พระมหากษัตริย์พระราชทานให้แก่หัวเมืองต่างๆ มีจำนวน 32 องค์ ในรัชกาลที่ 5 ได้พระราชทาน 13 องค์ และรัชกาลที่ 6 พระราชทาน 13 องค์ และรัชกาลที่ 7 พระราชทาน 6 องค์
ข้อมูลจากวิกิพีเดียระบุว่า พระแสงราชศัสตราเป็นสัญลักษณ์แทนพระองค์ของพระมหากษัตริย์ ซึ่งมอบให้แก่ผู้มีอำนาจในการปกครองหัวเมืองต่างๆ เพื่อแสดงถึงอำนาจราชสิทธิ์ในการตัดสินคดีความและบริหารราชการแผ่นดิน มอบให้เจ้าเมืองมีสิทธิเด็ดขาดสามารถสั่งประหารชีวิตคนได้เลยโดยไม่ต้องถวายเรื่องถึงพระเจ้าแผ่นดิน
ตลอดรัชกาลที่ 7 ทรงพระราชทานพระแสงฯ 6 องค์ ได้แก่ เมืองลำปาง, เมืองแพร่, เมืองเชียงราย, เมืองเชียงใหม่, เมืองลำพูน และเมืองพังงา ตามลำดับ
ลักษณะของพระแสงราชศัสตราประจำเมือง มีความคล้ายคลึงกันทุกรัชกาลคือเป็นดาบไทยยาวประมาณ 100 เซนติเมตร ในสมัยรัชกาลที่ 5 และที่ 6 มีคำจารึกที่ใบดาบ “พระแสงสำหรับมณฑล” และ “พระแสงสำหรับเมือง” ส่วนในรัชกาลที่ 7 ไม่มีจารึก
ที่ฝักพระแสงสลักลวดลายที่สะท้อนภาพวิถีชีวิตและภูมิประเทศของเมืองนั้นๆ เช่นฝักพระแสงของหัวเมืองภาคเหนือ จะเป็นป่า เขา ช้าง และสัตว์ป่านานาชนิด โดยพระแสงราชศัสตราประจำเมืองลำปางสร้างขึ้นตั้งแต่ในสมัยรัชกาลที่ 5
ทั้งนี้พระแสงราชศัสตราประจำเมืองแต่ละองค์มีการบ่งบอกถึงลำดับขั้นความสำคัญของเมืองที่ได้รับพระราชทาน คือ เมืองสำคัญที่เป็นสถานที่ตั้งมณฑลเทศาภิบาล พระราชทานพระแสงฝักทองลงยาราชาวดี ส่วนเมืองสามัญทั่วไปพระราชทานพระแสงด้ามฝักทองคำ (อ้างอิงจาก #เพจล้านนาประเทศ)
รัชกาลที่ 7 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าพระราชทานพระแสงราชศัตราซึ่งยังประดิษฐาน ณ จังหวัดลำปาง นับแต่ พ.ศ.2469 สืบจนทุกวันนี้ (ปัจจุบันประดิษฐาน ณ สำนักงานคลังจังหวัดลำปาง ชั้น 1 ศาลากลางจังหวัดลำปาง)
ในช่วงปี 2468 พระยาสุเรนทร์ฯ ได้ทำหนังสือขอพระบรมราชานุญาตลาออกจากราชการ ข้อมูลจากสกุลจารุจินดา charuchinda.com บันทึกไว้ดังนี้
เมื่อปลายปี 2468 ข้าพระพุทธเจ้าได้ยื่นหนังสือขอลาพักราชการ ขอรับพระราชทานเบี้ยบำนาญเลี้ยงชีพ แต่เวลานั้นประจวบกับที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะเสด็จเลียบมณฑลฝ่ายเหนือ กระทรวงจึงงดการพิจารณาใบลาของข้าพระพุทธเจ้าไว้ชั่วคราว
ต่อมาเมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จฝ่ายเหนือ และข้าพระพุทธเจ้าได้จัดการรับเสด็จฉลองพระเดชพระคุณที่จังหวัดเรียบร้อยแล้ว ข้าพระพุทธเจ้าได้กราบเรียนเตือนเท่านพระยาราชนุกูล สมุหเทศาภิบาล คงได้รับตอบแต่เพียงว่า กระทรวงยังดำริอยู่เรื่อยมา
เป็นการสมควรที่ข้าพระพุทธเจ้า ขอพระราชทานโอกาสกราบบังคมทูลถวายความสัตย์จริงต่อใต้ฝ่าละอองพระบาทว่า การที่ข้าพระพุทธเจ้า จะขอรับพระราชทานออกจากราชการประจำ เพื่อรับพระราชทานเบี้ยบำนาญนี้ ก็เนื่องด้วยข้าพระพุทธเจ้ามีอายุถึง 57 ปี อยู่ในเกณฑ์ชราภาพ ด้วยกำลังวังชาและสติปัญญาของข้าพระพุทธเจ้าเสื่อมทรามลงเป็นลำดับ
อนึ่ง ข้าพระพุทธเจ้าก็มีโรคภัยประจำตัวคอยเบียดเบียนอยู่เสมอ เป็นเหตุให้ข้าพระพุทธเจ้าได้รู้สึกตัวดีว่า คงไม่สามารถรับราชการสนองพระเดชพระคุณต่อไปได้ด้วยดีเช่นกาลก่อน ก็ด้วยความภักดีโดยสุจริตต่อ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตรย์ นี่แหละ จึงเป็นการจำเป็นอยู่เองที่ข้าพระพุทธเจ้าจะต้องกระทำตนมิให้เป็นผู้กีดขวางความเจริญของบ้านเมือง เปิดช่องให้บุคคลที่อยู่ในวัยสามารถได้มีโอกาสรับพระราชทานภาระกิจแทนข้าพระพุทธเจ้าสืบไป ใช่ว่าข้าพระพุทธเจ้าจะคิดหลีกเลี่ยงโดยเห็นแก่ประโยชน์สุขส่วนตัวฝ่ายเดียวมิได้เลย
ความสัตย์จริงของข้าพระพุทธเจ้าดังนี้ อาจพิสูจน์ได้จากการที่ข้าพระพุทธเจ้าได้ทนตรากตรำฉลองพระเดชพระคุณมาเป็นเวลานานถึง 40 กว่าปีแล้ว …”
จากหนังสือขอลาออกจากราชการนี้ทำให้ทราบว่าพระยาสุเรนทรราชเสนา (เจิม จารุจินดา) มีชีวิตอยู่ตั้งแต่ พ.ศ. 2417-2485
ทำงานตอนอายุ 15 ปี เมื่อ พ.ศ. 2432จนถึง พ.ศ.2474 (42ปี)
พระยาสุเรนทร์ฯ อยู่ที่ลำปางตั้งแต่ พ.ศ.2453-2485 รวม 32 ปี ได้อุทิศที่ดินมอบให้แก่ทางราชการจัดสร้างสถานีตำรวจภูธรสบตุ๋ยซึ่งยังคงปรากฏอยู่จนทุกวันนี้
พระยาสุเรนทรราชเสนา มีภรรยา 4 คน ได้แก่
1)คุณสอาด ( จารุจินดา ) มีบุตรธิดา 3 คน
2)คุณสุนันทา มีธิดา 1 คน
3)ม.ร.ว. เปล่ง ( ทินกร ) มีธิดา 3 คน
4)ม.ร.ว. หญิง ปรุง ( ทินกร ) มีบุตรและธิดา 4 คน
เมื่อพระยาสุเรนทรราชเสนา ได้กราบถวายบังคมลาออกจากราชการแล้วใน พ.ศ. 2474 ท่านก็ได้พำนักอยู่ที่ “บ้านเจิมสุข” ตำบลสบตุ๋ย อำเภอเมือง จังหวัดลำปางตลอดมา
บ้านเจิมสุข มาจากชื่อเดิมของท่านคือ “เจิม”
พระยาสุเรนทร์ฯ ถึงแก่อนิจกรรม เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2485 อายุ 68 ปี ได้รับพระราชทานเพลิงศพที่จังหวัดลำปาง
#พระยาสุเรนทรราชเสนา
โฆษณา