11 ก.ค. เวลา 23:35 • การเมือง

มารไม่มี บารมีไม่เกิด

สวัสดีครับท่านผู้อ่านทุกท่าน ก่อนที่จะไปอ่านบทความนี้ ผู้เขียนขอให้ทุกท่านโปรดช่วยกดไลก์ กดติดตาม และกดแชร์ เพื่อเป็นกำลังใจให้ผู้เขียนในการทำบทความต่อๆไป
สำหรับท่านใดที่มีเรื่องใดน่าสนใจ ท่านสามารถส่ง inbox ข้อความมาได้ที่ Facebook Supakrit Falcon หากเรื่องใดโดนใจผู้เขียนจะนำเรื่องราวไปศึกษาค้นคว้าหาข้อมูลเพื่อเตรียมการเสนอครั้งต่อไป
บทความนี้คือบุคคลจริงๆที่ผู้เขียนเคยนำมาเป็นแรงบันดาลใจให้ตัวละครคนหนึ่งที่เป็นตำรวจ ซึ่งท่านผู้อ่านสามารถหาอ่านบทความที่เคยเขียนไว้ย้อนหลังได้ เป็นตัวละครตำรวจที่ได้แบบมาจากผู้กองแคน ร้อยตำรวจเอก ธรณิศ ศรีสุข รวมไปถึงพลตำรวจโท เรวัช กลิ่นเกษรที่จะกล่าวถึงในบทความนี้เรื่องราวของท่านจะมีอะไรน่าสนใจไปติดตามกันได้ครับ
▶️เป็นตำรวจเพราะความแค้น
ในยุคที่ตำรวจถูกตั้งคำถามถึงความยุติธรรม มีบุคคลเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ชื่อเสียงไม่ถูกกลืนหายไปกับภาพลักษณ์ที่น่า เคลือบแคลง และหนึ่งในนั้นคือ พลตำรวจโท เรวัช กลิ่นเกษร ชายผู้นี้ไม่ธรรมดา เพราะท่านไม่ได้เติบโตมาจากครอบครัวข้าราชการ ท่านไม่มีเส้นสาย ท่านไม่ได้เข้าสู่เส้นทางตำรวจเพราะผู้ใหญ่สนับสนุน
หากแต่ท่านก้าวเข้าสู่วงการสีกากีด้วยแรงแค้นส่วนตัวและโศกนาฏกรรมในครอบครัว แม้ยศของท่านจะไปไม่ถึง "พลตำรวจเอก" แต่ชื่อของท่านกลับฝังลึกในความทรงจำของประชาชน มากกว่าตำรวจระดับสูงหลายสิบนายที่ได้เลื่อนยศเพราะระบบราชการเอื้ออำนวย
พลตำรวจโท เรวัช กลิ่นเกษร เกิดเมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2498 ที่อำเภอท่าตะโก จังหวัด นครสวรรค์ ในครอบครัวชนชั้นกลางที่มีอาชีพทำโรงสีข้าว ชีวิตวัยเด็กของท่านพลิกผันอย่างสิ้นเชิงเมื่อคุณตาอันเป็นที่รักถูกปล้นและฆ่าเสียชีวิตอย่างโหดเหี้ยม คนร้ายรายนี้ไม่เคยถูกจับกุมและไม่มีตำรวจนายใดสนใจคลี่คลายคดีนี้อย่างจริงจัง บาดแผลในใจครั้งนั้นได้หล่อหลอมให้ท่านกล่าวว่า
"ผมไม่ได้อยากเป็นตำรวจเพราะเท่ ผมอยากเป็นตำรวจเพื่อให้มันไม่มีโจรมาฆ่า ใครตายฟรี ๆแบบคุณตาผมเคยเจอ" ท่านไม่ได้เป็นเด็กเรียนเก่งหรือระดับหัวกะทิ แต่กลับเป็นเด็กซ่าที่เคยถูกไล่ออกจากโรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่ง
ในเวลานั้นครอบครัวจึงส่งให้ท่านไปสอบบรรจุราชการเป็นเสมียนอำเภอเมื่ออายุ 18 ปี จากนั้นท่านก็เรียนรู้ระบบราชการด้วยตัวเอง  ด้วยการเก็บเงิน สะสมความรู้ และตัดสินใจย้ายสายมาเป็นปลัดอำเภอ ก่อนท่านจะตัดสินใจครั้งสำคัญที่สุดในชีวิตคือการสอบเข้าเป็นตำรวจ
▶️เส้นทางสายโหด
ท่านเรวัช ได้รับการบรรจุเป็น ร้อยตำรวจเอกเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2525 นับเป็น จุดเริ่มต้นของเส้นทางในเครื่องแบบสีกากีที่ไม่มีใครคาดคิดว่าจะกลายเป็นตำนาน ท่านไม่ได้เริ่มต้นแบบชายหนุ่มทั่วไปที่เข้าโรงเรียนนายร้อยตำรวจ แต่ใช้เส้นทางของคนทำงานที่ไต่เต้ามา จากตำแหน่งบริหารท้องถิ่นก่อนจะเปลี่ยนบทบาทมาสู่นายตำรวจน้ำดีตัวจริง
การทำงานในเครื่องแบบสีกากีครั้งแรกของท่านเรวัช คือที่ สภ.เมืองลพบุรี ซึ่งเป็นพื้นที่ที่เต็มไปด้วยอิทธิพลเถื่อน โจรผู้ร้ายอาละวาด และความไร้กฎหมาย ท่านมีความโดดเด่นเกินตัวด้วยการไม่ชอบนั่งโต๊ะ แต่ชอบออกปฏิบัติงานจริง ลงพื้นที่เอง ขี่มอเตอร์ไซค์เอง ไปถึงที่เกิดเหตุเป็นคนแรก และกลับเป็นคนสุดท้าย พฤติกรรมเหล่านี้ทำให้ชื่อของท่านถูกจับตาในวงการตำรวจอย่างรวดเร็ว
ในช่วงต้นทศวรรษ 2530 ลพบุรียังคงเป็นดง โจรที่อิทธิพลเถื่อนฝังรากลึก ท่านเรวัชกลับเลือกเส้นทางที่เสี่ยงกว่า โดยเข้าปะทะกับกลุ่มผู้มีอิทธิพลท้องถิ่น ปฏิบัติการสำคัญที่เกิดขึ้นในช่วงนี้คือ "ขุนดง" ท่านเป็นหัวหน้าชุดเฉพาะกิจที่กวาดล้างอิทธิพลเถื่อนในพื้นที่ป่ารอยต่อระหว่างลพบุรี สระบุรี ชัยนาท
โดยมีกลุ่มเป้าหมายคือพวกค้ายา ค้าของเถื่อน และโจรปล้นฆ่าที่มีเครือข่ายกว้างขวางในพื้นที่ หนึ่งในปฏิบัติการที่โด่งดังที่สุดนั่นคือเมื่อท่านได้นำกำลังบุกบ้านผู้มีอิทธิพลรายหนึ่งที่เป็นเจ้าพ่อท้องถิ่น และต้องตัดสินใจยิงเพื่อป้องกันตัว ส่งผลให้ผู้มีอิทธิพลรายนั้นเสียชีวิตคาที่ เหตุการณ์นี้ไม่ได้ทำให้ท่านได้เลื่อนขั้นในทันที
ตรงกันข้ามท่านกลับถูกนายสั่งย้ายไปประจำที่อื่นเพื่อป้องกันแรงกระแทกจากการเมืองท้องถิ่นแต่ในหมู่ตำรวจสายบู๊ทั่วประเทศ "ขุนดง" กลายเป็นชื่อที่ทุกคนต้องหันมามอง พลตำรวจโท เรวัช กลิ่นเกษร เคยกล่าวไว้ว่า "ตำรวจที่ดีต้องกล้าชน แต่ถ้ากล้าชนแล้วอยู่ได้ก็ต้องฉลาดด้วย" ท่านใช้ข้อมูลข่าวกรองผสมกับการลงพื้นที่จริง จึงทำให้ท่านกลายเป็นตำรวจที่มีความสมดุลทั้งด้านความฉลาดในการสืบสวนและบ้าบิ่นในการปราบปรามโจรผู้ร้าย
ในประวัติศาสตร์มีคดีฆาตกรรมสะเทือนขวัญ ของไทยอย่าง "คดีศยามล" คดีนี้ถือเป็นหนึ่งในคดีที่สั่น สะเทือนวงการตำรวจและสังคมอย่างรุนแรง คดีนี้เต็มไปด้วยการอำพรางหลักฐานและเรื่องจริงที่ไม่มีใครกล้าพูด ศยามลผู้เป็นภรรยา ของผู้พิพากษาถูกพบเป็นศพถูกฆ่าอย่างโหดเหี้ยมกลางบ้านพักข้าราชการ ตำรวจหลายฝ่ายพยายามปิดคดีแบบลวกๆในเวลานั้น
ตัดภาพไปที่ท่านเรวัชซึ่งขณะนั้นท่านอยู่ในตำแหน่งรองผู้กำกับสืบสวนไม่ยอมให้ความจริงตายตามศพ ท่านเข้าร่วมทีมสืบสวนพิเศษ และเป็นผู้ผลักดันให้ใช้นิติวิทยาศาสตร์และ DNA ซึ่งในยุคนั้นยังถือว่าเป็นเรื่องแปลกใหม่และไม่เป็นที่นิยมในประเทศไทยในการนำมายืนยันข้อเท็จจริง
แม้จะถูกกดดันจากทั้งในและนอกวงการสีกากี ท่านก็ยืนยันเดินหน้าสืบสวนในแนวทางของตนเอง โดยกล่าวว่า
"ความยุติธรรมไม่ควรตายไปพร้อมกับคนตาย" การคลี่คลายคดีศยามลใช้เวลานานนับปี จนสามารถรวบรวมพยานหลักฐานและพบ DNA ของผู้ต้องสงสัยรายสำคัญ ซึ่งชี้ว่าผู้พิพากษาสามีอาจเกี่ยวข้อง ท่านเรวัชไม่กลัวแม้จะต้องชนกับคนมีอำนาจในกระบวนการยุติธรรม และเดินหน้าเสนอความเห็นทางสำนวนตรงไปตรงมาจนในที่สุดคดีนี้นำไปสู่การพิจารณาใหม่และ ถูกบันทึกไว้ว่าเป็นหนึ่งในคดีที่เปลี่ยน ระบบสอบสวนคดีอาชญากรรมของไทยไปในชั่วข้ามคืน
หลังจากนั้นมาท่านไม่ใช่แค่ตำรวจสายบู๊ในตำนาน แต่ท่านคือตำรวจที่ยืนหยัด เชื่อมั่น และศรัทธาในหลักฐานกับความจริงไม่ว่าคู่ต่อสู้จะใหญ่แค่ไหน จะเป็นเจ้าพ่อหรือตำรวจชั้นผู้ใหญ่ท่านก็กัดไม่ปล่อย
หลังจากสร้างผลงานระดับชาติในคดีศยามล ท่านเรวัชได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งสำคัญในสำนักงานตำรวจภูธร ภาค 7 ซึ่งครอบคลุมพื้นที่นครปฐม ราชบุรี กาญจนบุรี และสุพรรณบุรี พื้นที่ที่ว่านี้เต็มไปด้วยอิทธิพลเจ้าพ่อท้องถิ่นและปัญหายาเสพติด ท่านใช้ยุทธศาสตร์ "ตัดรากถอนโคน" ไม่ใช่แค่ไล่จับลูกน้อง แต่ขุดรากผู้มีอิทธิพลตัวจริง กลยุทธ์หนึ่งที่ท่านใช้คือการปลอมตัวเข้าแทรกซึมวงพนันและแหล่งข่าวเพื่อเปิดโปงเครือข่ายจากภายใน
หนึ่งในผลงานเด่นคือการทลายบ่อนการเมืองขนาดใหญ่ที่อยู่เบื้องหลังการซื้อเสียงและฟอกเงิน ซึ่งโยงใยไปถึงกลุ่มการเมืองในพื้นที่ภาค 7 กลายเป็นพื้นที่ที่เย็นลงอย่างชัดเจนเมื่อท่านเข้ามาควบคุม
ต่อมาท่านได้รับแต่งตั้งเป็นรองผู้บัญชาการกองบัญชาการตำรวจสันติบาล ซึ่งเป็นหน่วยงานข่าวกรองหลักของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในตำแหน่งนี้ท่านมีบทบาทในหลายภารกิจลับ เช่น การติดตามข่าวความเคลื่อนไหวของกลุ่มการเมือง การป้องกันแผนลอบสังหารบุคคลสำคัญ และการประสานข้อมูลระหว่างหน่วยข่าวต่างประเทศกับไทยในเรื่องยาเสพติดข้ามชาติ ท่านกล่าวถึงงานข่าวกรองว่า "ข่าวกรองที่ดีไม่ใช่ข้อมูลที่มากที่สุด แต่คือข้อมูลที่เร็วและแม่นยำพอจะหยุดหายนะ ก่อนมันเกิดขึ้น"
เมื่อวิกฤตยาเสพติดเริ่มระบาดอย่างรุนแรงในประเทศไทย โดยเฉพาะยาบ้าที่ทะลักเข้า ประเทศเป็นล้านเม็ดต่อเดือน ชื่อของพลตำรวจโท เรวัช กลิ่นเกษร ถูกเสนอขึ้นมานั่ง ตำแหน่ง ผู้บัญชาการตำรวจปราบปรามยา เสพติด (ป.ส.) สำหรับบางคนตำแหน่งนี้คือเก้าอี้ร้อนเพราะเต็มไปด้วยแรงกดดันจาก การเมือง อิทธิพล และทุนสีเทา แต่สำหรับท่าน มันคือสนามรบที่รอคอย
ท่านเป็นคนแรกๆ ที่ปรับโครงสร้างหน่วย ปฏิบัติการ ป.ส. ให้เน้นความรวดเร็วและ เฉพาะทาง โดยแบ่งทีมเป็นสายสืบลึกฝ่าย สืบสวนข่าวกรอง และฝ่ายปฏิบัติการเชิงรุก และใช้ยุทธศาสตร์ 3 ประสาน ได้แก่
➡️ตัดต้นทาง ประสานงานกับประเทศเพื่อน บ้าน โดยเฉพาะ สปป.ลาว และเมียนมา ผ่านระบบตำรวจสากล
➡️ปิดเส้นทางลำเลียง ล้อมรอบชายแดนภาคเหนือ อีสาน ใช้เทคโนโลยีสอดแนม สแกนหีบห่อ จากรถบรรทุกและขบวนลำเลียงแบบเคลื่อนที่
➡️ฟอกเงินให้ตาย ไล่ตรวจเส้นทางการเงิน ของเครือข่ายค้ายา แม้ไม่เจอยาก็สามารถจับได้ถ้าเจอเงินผิดปกติ
หนึ่งในภารกิจที่สร้างชื่ออย่างมากคือการ จับกุมขบวนการยาเสพติดข้ามชาติที่ซ่อนตัวอยู่ในบ้านพักหรูกลางกรุงเทพฯ ยึดยาบ้ากว่า 10 ล้านเม็ด พร้อมเงินสดและทรัพย์สินอีกกว่า 100 ล้านบาท ท่านเรวัชเดินทางลงพื้นที่เอง นำสื่อเข้าชมของกลางและตอบคำถามอย่างไม่หลบเลี่ยง
ท่านกล่าวว่า "ยาเสพติดไม่ใช่แค่เรื่องของตำรวจ แต่มันเป็นภัยความมั่นคงของชาติ พวกมันฆ่าเยาวชนของเราแบบไม่ต้องยิง กระสุนสักนัด" ตลอดช่วงที่เป็นผู้บัญชาการ ตำรวจป.ส. ท่านปะทะทั้งขบวนการค้ายาในประเทศ และทุนสีเทาที่พยายามจ่ายใต้โต๊ะ แต่ท่านไม่รับ ไม่ยอม และไม่ถอยให้กับคนพวกนี้
▶️ชีวิตนี้ไม่สิ้น ก็สู้กันไป
แม้จะมีชื่อเข้าชิงตำแหน่งรองผู้บัญชาการ ตำรวจแห่งชาติหรือแม้กระทั่งผู้บัญชาการ ตำรวจแห่งชาติ แต่สุดท้ายกลับไม่มีการ โปรโมทจากผู้ใหญ่ ท่านถูกจัดเข้าข่ายว่าเป็นตัวอันตรายต่อโครงสร้างตำรวจในสายตาของตำรวจรุ่นอนุรักษ์นิยม แม้ยศท่านจะหยุดที่พลตำรวจโท แต่ผลงานของท่านกลับกลายเป็นต้นแบบในการทำงานปราบปรามยาเสพติดยุคใหม่และเป็นแรงบันดาลใจแก่ตำรวจรุ่นใหม่
เมื่อเสียงปืนสงบลงและเวลาชีวิตเดินมาถึงการเกษียณ ในปีพ.ศ. 2558 พลตำรวจโท เรวัช กลิ่นเกษร ไม่ได้หายไปจากสื่อหรือหลบไปใช้ ชีวิตสบาย ตรงกันข้ามท่านเดินเข้าสู่ชีวิต พลเรือนด้วยหัวใจของพลเมือง ท่านปรากฏตัวในรายการต่างๆ หลายครั้งรวมถึงรายการโหนกระแสของพี่หนุ่ม กรรชัย กำเนิดพลอยด้วย
เมื่อท่านออกทีวีท่านมักวิจารณ์การเมืองอย่างตรงไปตรงมา และไม่ลังเลที่จะวิจารณ์ตำรวจที่โกงกินประพฤติมิชอบ หรือใช้อำนาจในทางที่ผิด คำพูดของท่านที่คนแชร์กันทั่วโลกออนไลน์คือ "ผมไม่ได้เกลียดตำรวจ แต่ผมเกลียดตำรวจเลว และเกลียดระบบที่ให้ตำรวจเลวโตได้เร็วกว่าคนดี"
ท่านเข้าร่วมเป็นวิทยากรในการฝึกอบรม ตำรวจรุ่นใหม่หลายเวที โดยเน้นย้ำเรื่อง จริยธรรม ความกล้า และหลักฐาน ท่านมักบอกเสมอว่า "การเป็นตำรวจไม่ใช่เรื่องของปืนหรือยศ แต่คือการยืนอยู่ในจุดที่ถูกต้อง โดยไม่จำเป็นต้องได้คำชม" แม้จะไม่มีอำนาจในโครงสร้างตำรวจอีกต่อไป
แต่พลตำรวจโท เรวัช กลิ่นเกษร ยังคงเป็นชายสูงวัยคนหนึ่งที่ขยับแล้วสังคมหันมามอง ท่านให้สัมภาษณ์แบบตรงๆ ดุจริง ด่าจริง โหดจริง และพูดแทนประชาชนที่เบื่อระบบทุจริต ท่านไม่ได้ใช้เวลาเกษียณแบบคนทั่วไป แต่ใช้มันสร้างคลื่นอีกระลอกเพื่อให้คนรุ่นหลังไม่ต้องเจอระบบที่มันเน่าในวงการสีกากี
นอกจากหลักฐานทางวิทยาศาสตร์และเหตุผล ท่านเรวัช ก็ไม่ปฏิเสธเรื่องของไสยเวท เครื่องราง และศรัทธาแบบไทยๆ เจ้าหน้าที่รุ่นน้องเล่าว่าก่อนออกลุยคดีใหญ่ ท่านจะมีของประจำตัวติดเอวเสมอ เช่น ผ้า ยันต์ รูปหล่อหลวงพ่อ หรือพระเครื่องหายาก ท่านเชื่อว่าสิ่งเหล่านี้เป็นเครื่องเตือนใจว่าทุกภารกิจมีความเสี่ยงและชีวิตคือความไม่แน่นอน โดยท่านมักกล่าวติดตลกว่า "ผมเชื่อในบุญ แต่ไม่พึ่งบุญแทนการทำงาน"
ด้วยบุคลิกเด็ดเดี่ยว ดูเข้มแข็ง ไม่กลัวใคร และ สู้จริงไม่มีถอย ทำให้ท่านเรวัชกลายเป็นบุคคลที่ถูกนำเสนอผ่านสื่อบ่อยครั้ง และ เป็น ต้นแบบของตัวละครตำรวจในละคร โทรทัศน์แนวอาชญากรรมหลายเรื่อง
▶️ตำรวจในดวงใจ
พลตำรวจโท เรวัช กลิ่นเกษร คือชายที่อุทิศชีวิตให้กับคำว่า "ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์" อย่าง แท้จริง ท่านไล่ล่าคนผิดอย่างไม่เกรงใจใคร ปราบยาเสพติดอย่างถึงราก แฉอำนาจมืดใน องค์กรตนเอง และกล้ายืนเดี่ยวต่อหน้า อิทธิพล แต่สิ่งที่ท่านไม่ได้รับมาตลอดชีวิต ราชการคือยศที่เรียกว่า "พลตำรวจเอก"
คำถามที่ไม่มีใครตอบคือ "ทำไมคนที่มีผลงานมากมายกลับไม่ได้ขึ้นตำแหน่งสูงสุด?" "ทำไมชื่อของท่านถูกกันไว้ในวาระโยกย้ายสำคัญ?" "ทำไมตำรวจที่กล้าชนระบบกลับถูกมองว่าเสียงดังเกินไป?"
คำตอบอาจไม่ใช่แค่เรื่องระบบหรือคุณสมบัติ แต่คือโครงสร้างของการยอมจำนนในสังคมที่ความเงียบคือเครื่องมือของความก้าวหน้า คนที่พูดความจริงย่อมถูกมองว่าอันตราย
แม้ไม่ได้ครองยศสูงสุด "พลตำรวจโท เรวัช กลิ่นเกษร" ยังคงเป็นที่จดจำในฐานะ "ตำรวจตัวจริง" ตำรวจที่ไม่เล่นตามเกมแต่เขียนกฎใหม่ให้เกมเปลี่ยน ลูกน้องจดจำท่านได้ทุกครั้งที่ท่านลงไปเสี่ยงด้วยตัวเองโดยไม่ห่วงว่าชีวิตจะเป็นอย่างไร ในขณะที่ประชาชนก็ควรจดจำท่านในฐานะเสียงที่ด่าแทนใจคนดูข่าว และสังคมควรจดจำท่านในฐานะที่ท่านเป็นตัวแทนของตำรวจในอุดมคติ ต่อให้ตำนานของท่านเรวัช จบลงที่ยศ "พลตำรวจโท" ชื่อของท่านจะถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์นอกตำราเรียน นี่คือเรื่องราวของ "ตำรวจดีมีอยู่จริง"
จากเรื่องราวที่ผู้เขียนนำเสนอก็มีความใกล้เคียงกับเรื่องสั้นชื่อ "จากเหนือมาอยู่ใต้" ที่ผู้เขียนนำชีวิตท่านมาดัดแปลงให้นายตำรวจคนหนึ่งมีบทบาทแบบท่าน แต่เขาไปอยู่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ในขณะที่ท่านเรวัชปฏิบัติหน้าที่ที่ภาคกลาง จากเรื่องราวของท่านที่นำเสนอให้ทุกท่านได้อ่านในวันนี้ไม่ให้ทำให้เราเห็นว่าตำรวจดีมีอยู่จริง หากแต่มันเป็นการบ่งบอกว่าการทำความเพียรใดมารจะมาขัดขวางไม่ให้เราได้ดี
ขนาดพระพุทธเจ้าใช่ว่าพระองค์จะตรัสรู้ได้ในวันเดียว พญามารยังมาขัดขวางมิให้พระองค์กระทำสำเร็จในการค้นพบสัจธรรมอันยิ่งใหญ่ แต่ในที่สุดพระองค์ทรงผ่านพ้นมาได้ด้วยความเพียรและสติปัญญาอันแกร่งกล้า ผู้เขียนในฐานะคนที่ทำบทความนี้ก็ตั้งใจจะขอปิดท้ายด้วยข้อความให้แง่คิดแก่ผู้ปฏิบัติธรรมรวมถึงท่านผู้อ่านทุกศาสนาได้อ่านกันเพื่อเป็นการเตือนใจตนเองในการทำความดี สำหรับวันนี้ผู้เขียนขอลาไปก่อน สวัสดีครับ
"ในโลกใบนี้
มีทั้งคนที่ชอบเรา
และไม่ชอบเรา
ต่อให้เราดีแค่ไหน
คนที่ไม่ชอบเรา
ก็ว่าเราไม่ดี
มันคือ สัจธรรม
และ นั่นคือปัญหาของเขา
อย่าเก็บมาใส่ใจ"
Credit บทความและภาพประกอบ
Sanook
Matichon
ปุ๊ ระเบิดขวด
tamdee1977
Thairath Online
CH3Thailand
เรียบเรียงบทความ : จ่าหวาน เกรียงไกร
โฆษณา