12 ก.ค. เวลา 07:53 • ไลฟ์สไตล์

“เมื่อซาอุฯ เปลี่ยนไป ทำให้ศาสนาเปลี่ยนทาง: สารจากผู้ที่อยู่กลางสนามจริง”

ถอดบทสัมภาษณ์เชคซะอี๊ด อัลฆอมดีย และคำเตือนสุดท้ายจากเชคฆอมดีย์: อย่าให้ศรัทธาถูกแปรรูปเป็นเครื่องมือรัฐ
Credit : Ai @transkriptor and @Chat GPT plus
ผมจะเริ่มแปลบทสัมภาษณ์นี้จากภาษาอาหรับเป็นภาษาไทย แบบคำต่อคำ ตามที่คุณร้องขอ โดยจะไม่สรุป ไม่ตัดทอน และไม่เพิ่มเติมข้อมูลใด ๆ นอกจากการเกลาภาษาที่จำเป็นเพื่อให้เข้าใจง่ายเท่านั้น พร้อมคงลำดับของคำถามและคำตอบให้ชัดเจน
เนื่องจากเนื้อหายาว ผมจะแบ่งออกเป็น “ตอน” เพื่อความต่อเนื่องและชัดเจนครับ
📘 แปลคำต่อคำ: ตอนที่ 1
(จากหน้าแรกของไฟล์)
ผู้สัมภาษณ์: ขอความสันติจากอัลลอฮ์จงมีแด่ท่านครับ เชคด็อกเตอร์ซะอี๊ด บิน นาศิร อัลฆอมดีย์ ยินดีต้อนรับท่านครับ
เชค: ขอความสันติ ความเมตตา และความจำเริญจากอัลลอฮ์จงมีแด่ท่านเช่นกันครับ และขอความสันติจงมีแด่ผู้ที่ติดตามรับชมรายการนี้ทุกคน
ผู้สัมภาษณ์: ขอเริ่มจากคำถามแรกเลยนะครับ คำว่า “เศาะห์วะฮ์” (การตื่นตัวทางศาสนา) มีต้นกำเนิดในประเทศซาอุดิอาระเบียอย่างไร? โดยเฉพาะในช่วงครึ่งหลังของศตวรรษที่ 20
เชค: ด้วยพระนามของอัลลอฮ์ผู้ทรงกรุณาปรานีเสมอ ขอความสันติจงมีแด่ศาสดามุฮัมมัด และครอบครัวของท่านทั้งหมด
คำถามของท่านนี้เป็นหนึ่งในคำถามที่สำคัญที่สุด เนื่องจากเป็นคำถามที่เกี่ยวข้องกับกระแสศาสนาในประเทศของเรา ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับวิถีทาง ความเชื่อ อัตลักษณ์ วัฒนธรรม และกระแสความเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวงที่เกิดขึ้นในประเทศนี้ ไม่ว่าจะเป็นด้านการเมือง เศรษฐกิจ หรือสังคม
ดังนั้น หากเราจะพูดถึงกระแสเศาะห์วะฮ์ เราต้องเริ่มจากพื้นฐานของมันก่อน
กล่าวคือ ประเทศนี้เริ่มต้นขึ้นโดยอิหม่ามมุฮัมมัด อิบนุ ซะอูด และเชคมุฮัมมัด อิบนุ อับดุลวะฮาบ ในช่วงกลางศตวรรษที่ 12 ฮิจเราะฮ์
ซึ่งพวกเขาทั้งสองได้ร่วมมือกันในการสร้างรัฐที่มีฐานมาจากศาสนา
และมีการดำเนินการเพื่อขจัดความหลงผิด ความเชื่อผิด ๆ การตั้งภาคี และความเหลวแหลกทางศาสนา
หลังจากนั้น รัฐนี้ได้ดำรงอยู่หลายช่วงสมัย
จนกระทั่งมาถึงรัฐที่สามซึ่งเรากำลังมีชีวิตอยู่ภายใต้รัฐนี้ ซึ่งเริ่มต้นโดยอิหม่ามอับดุลอะซีซ อิบนุ อับดุรเราะห์มาน อาลิซะอูด ในช่วงต้นศตวรรษที่ 20
ซึ่งท่านได้สถาปนาราชอาณาจักรซาอุดิอาระเบียขึ้น และรวมประเทศให้เป็นหนึ่งเดียว
โดยมีแนวทางในการปกครองที่อิงจากศาสนา แต่ในทางปฏิบัติ มีหลายสิ่งที่ไม่เป็นไปตามหลักการที่วางไว้ในตอนต้น
ในช่วงเวลานั้น มีการเปิดรับอิทธิพลจากภายนอก
ทั้งในแง่ของความคิด ความรู้ ระบบการศึกษา และระบบการปกครอง
ซึ่งสิ่งเหล่านี้เริ่มแทรกซึมเข้ามาอย่างต่อเนื่อง
ในช่วงครึ่งหลังของศตวรรษที่ 20 โดยเฉพาะหลังสงครามโลกครั้งที่ 2
มีการขยายตัวของลัทธิชาตินิยมอาหรับ ลัทธิสังคมนิยม และแนวคิดตะวันตก
ซึ่งส่งผลกระทบต่อภูมิภาคโดยรวม รวมถึงประเทศนี้ด้วย
และในช่วงเวลานั้นเองที่เริ่มมีเสียงเรียกร้องให้กลับสู่ศาสนา
และเสียงเหล่านี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในหมู่ประชาชนเท่านั้น แต่ยังมีในหมู่เจ้าหน้าที่รัฐ ข้าราชการ และเยาวชนในมหาวิทยาลัย
ซึ่งกระแสนี้เองเป็นสิ่งที่เราเรียกกันในเวลาต่อมาว่า “อัศเศาะห์วะฮ์” หรือ “กระแสการตื่นตัวทางศาสนา”
📘 แปลคำต่อคำ: ตอนที่ 2
(ต่อจากหน้าแรกของไฟล์ ถอดบทสัมภาษณ์ เชคฆอมีดี จาก YouTube.pdf)
ผู้สัมภาษณ์: เมื่อกล่าวถึง “อัศเศาะห์วะฮ์” ท่านหมายถึงสิ่งที่มีรากฐานมาจากอิควานมุสลิมีนใช่หรือไม่? หรือว่ามันเป็นกระแสที่แตกต่างออกไป?
เชคฆอมดีย์: ในความเป็นจริง คำว่า “อัศเศาะห์วะฮ์” ที่เราหมายถึงนั้น
คือกระแสของการหวนคืนสู่ศาสนาอิสลามที่บริสุทธิ์
โดยเฉพาะในหมู่เยาวชน คนทั่วไป และข้าราชการบางกลุ่มในประเทศ
ซึ่งกระแสนี้มีรากฐานจากหลายแนวคิด
ทั้งจากแนวทางของเชคมุฮัมมัด อิบนุ อับดุลวะฮาบ
และจากแนวคิดของอิควานมุสลิมีน
รวมถึงจากบุคคลอื่น ๆ ที่มาจากโลกอาหรับอิสลาม
ไม่สามารถกล่าวได้ว่ากระแสนี้มาจากแหล่งเดียว หรือมีแนวคิดเดียว
แต่เป็นกระแสที่มีการหล่อหลอมจากหลายแนวคิด
รวมถึงแนวคิดของนักวิชาการร่วมสมัย อย่างซัยยิด กุฏุบ และอัลบันนา
ผู้สัมภาษณ์: ท่านกล่าวถึงอิควานมุสลิมีนว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับกระแสอัศเศาะห์วะฮ์
แปลว่าพวกเขามีอิทธิพลในราชอาณาจักรนี้หรือไม่?
เชคฆอมดีย์: ใช่ครับ
หลังจากที่กลุ่มอิควานมุสลิมีนเผชิญกับการปราบปรามในอียิปต์ ซีเรีย และบางประเทศอาหรับ
สมาชิกจำนวนหนึ่งได้ลี้ภัยมายังซาอุดิอาระเบีย
พวกเขาได้รับการต้อนรับในยุคของกษัตริย์ฟัยศอล
โดยมีเงื่อนไขว่าพวกเขาจะไม่ตั้งองค์กรทางการเมือง
แต่สามารถทำงานด้านการศึกษา การอบรม และการเผยแพร่ศาสนาได้
และพวกเขาก็มีบทบาทในมหาวิทยาลัยต่าง ๆ
ในกระทรวงการศึกษา และในหน่วยงานศาสนา
พวกเขาเป็นผู้จัดทำแบบเรียนและหลักสูตร
และมีบทบาทในการฝึกอบรมครู
รวมถึงจัดการวงการศึกษาศาสนาในมัสยิดและสถาบันการศึกษา
แต่ถึงแม้จะมีบทบาทเช่นนั้น
พวกเขาก็ไม่ได้ตั้งองค์กรอย่างเป็นทางการในประเทศนี้
และหลายคนก็แต่งงานและตั้งรกรากอยู่ในประเทศนี้
ซึ่งเยาวชนจำนวนมากในช่วงเวลานั้นก็ได้รับอิทธิพลทางความคิดจากพวกเขา
ทั้งจากบทเรียน คำสอน หนังสือ และการอบรมที่พวกเขาเป็นผู้จัด
📘 แปลคำต่อคำ: ตอนที่ 3
ผู้สัมภาษณ์: แล้วช่วงเวลานั้นเกิดอะไรขึ้นในด้านการเทศนาในมัสยิดต่าง ๆ? โดยเฉพาะกับเยาวชนที่เริ่มกลับสู่ศาสนา?
เชคฆอมดีย์: ก่อนช่วงที่กระแสอัศเศาะห์วะฮ์จะแพร่หลาย
ลักษณะของการเทศนาในมัสยิดต่าง ๆ
โดยเฉพาะในเมืองหลวงริยาฎฮ์นั้น เป็นไปในลักษณะที่ค่อนข้างตายตัว
หมายความว่า…
ผู้เทศนาจะอ่านจากบทเทศนาที่มีอยู่ในหนังสือเก่า
เช่น คำเทศนาของเชคอิบนุ อับดุลวะฮาบ หรือหนังสือของนักวิชาการเก่า ๆ
โดยบางครั้งพวกเขาเพียงแค่ “ท่องจำ” และ “อ่านออกเสียง” เหมือนกับการอ่านบทกวี
พวกเขาไม่ได้กล่าวสิ่งใหม่
ไม่ได้อธิบายปัญหาที่เกิดขึ้นในสังคม
และไม่ได้เชื่อมโยงบทเรียนศาสนากับชีวิตจริงของผู้คน
จนกระทั่งวันหนึ่ง…
มีนักเทศนาชาวอียิปต์คนหนึ่งชื่อว่าเชคมะนาอ์ อัลเกาะฏอน
เขามาปรากฏตัวในมัสยิดหนึ่งในเมืองริยาฎฮ์
เขากล่าวคำปราศรัยที่แตกต่างโดยสิ้นเชิง
เขาใช้ภาษาที่เร้าใจ เข้าใจง่าย และเชื่อมโยงกับปัญหาของผู้ฟัง
เขาใช้ฮะดีษและอายะฮ์ของอัลกุรอานอย่างมีพลัง
เยาวชนต่างหลั่งไหลมาฟังเขา
และนี่คือจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงในการเทศนาในมัสยิดต่าง ๆ ทั่วราชอาณาจักร
เยาวชนในยุคนั้นรู้สึกว่า
นี่คือศาสนาที่ “มีชีวิต”
ไม่ใช่เพียงการท่องจำหรือพิธีกรรมที่ตายตัว
พวกเขารู้สึกว่าศาสนามีคำตอบให้กับปัญหาในชีวิต
และนักเทศนากลุ่มใหม่นี้ก็คือผู้ที่เปิดประตูแห่งแสงสว่างให้กับพวกเขา
ผู้สัมภาษณ์: หมายความว่าเชคมะนาอ์คือผู้ที่จุดประกายกระแสอัศเศาะห์วะฮ์ในมิติใหม่?
เชคฆอมดีย์: ใช่ครับ
เขาคือหนึ่งในผู้ที่สร้างการเปลี่ยนแปลงจริง ๆ
หลังจากนั้นก็มีนักเทศนาคนอื่น ๆ ตามมา
ทั้งจากต่างประเทศและจากภายในราชอาณาจักร
ที่ได้รับอิทธิพลจากเขา หรือได้รับแรงบันดาลใจจากแนวทางของเขา
📘 แปลคำต่อคำ: ตอนที่ 4
ผู้สัมภาษณ์: หลังจากนั้น กระแสอัศเศาะห์วะฮ์เริ่มขยายตัวอย่างไร? และใครคือบุคคลสำคัญที่เป็นผู้นำในช่วงนั้น?
เชคฆอมดีย์: หลังจากจุดประกายเริ่มต้น
โดยเฉพาะในช่วงทศวรรษที่ 1400 ฮิจเราะห์ (ประมาณยุค 1980s)
กระแสอัศเศาะห์วะฮ์ก็เริ่มเติบโตและขยายตัวอย่างรวดเร็ว
เยาวชนจำนวนมากหันกลับเข้าสู่ศาสนา
และเริ่มให้ความสนใจต่อกิจกรรมศาสนา
วงการศึกษาศาสนาเริ่มเฟื่องฟูในมัสยิด
มีการตั้งกลุ่มย่อยที่เรียกว่า “ฮะละเกาะฮ์” (วงเรียนรู้ศาสนา)
ทั้งในมัสยิด มหาวิทยาลัย และแม้แต่ในบ้าน
เริ่มมีผู้เทศนารุ่นใหม่ที่โด่งดัง
ผู้คนเดินทางไกลเพื่อไปฟังพวกเขา
บางครั้งมัสยิดก็แน่นขนัดไปด้วยผู้ฟัง
มีการแจกจ่ายเทปบันทึกเสียง การบันทึกบทเรียน การเขียนหนังสือ และบทความมากมาย
มันคือยุคทองของการตื่นตัวทางศาสนา
ยุคที่ประชาชนรู้สึกว่าศาสนาเป็นของพวกเขา
และสามารถเปลี่ยนแปลงสังคมได้จริง
ผู้สัมภาษณ์: แล้วบุคคลใดบ้างที่ถือว่าเป็นผู้นำในกระแสนี้?
เชคฆอมดีย์: มีหลายท่านครับที่มีบทบาทสำคัญในยุคนั้น
ผมจะขอเอ่ยชื่อบางท่านตามลำดับ:
• เชคซะฟัร หะวาลี
• เชคซัลมาน อัลเอาดะฮ์
• ดร. อาวัฎ อัลเกาะรอนี
• ดร. นาสิร อัลอุมัร
• ดร. ซะอูด อัลฟุนัยซาน
• เชคคอลิด อัลอะญิมีย์
• และอื่น ๆ อีกมากมาย
บางท่านมีพื้นฐานจากอิควาน
บางท่านมาจากแนวซะละฟีย์ดั้งเดิม
แต่พวกเขาทั้งหมดรวมพลังกันภายใต้ “แนวคิดการตื่นตัว”
ไม่ใช่ในเชิงองค์กร
แต่เป็นกระแสที่มีชีวิตในจิตใจประชาชน
ผู้สัมภาษณ์: แล้วรัฐมีท่าทีอย่างไรกับกระแสนี้ในช่วงแรก?
เชคฆอมดีย์: ในช่วงแรก รัฐให้การสนับสนุนครับ
เนื่องจากมองว่ากระแสนี้เป็น “ภูมิคุ้มกัน” จากแนวคิดคอมมิวนิสต์ และกระแสซ้ายอื่น ๆ
โดยเฉพาะในช่วงสงครามเย็น
รัฐเองอนุญาตให้มีการจัดวงการสอน
ให้มีการจัดกิจกรรมศาสนาในมหาวิทยาลัย
และไม่ขัดขวางนักวิชาการเหล่านี้มากนัก
แต่เมื่อกระแสนี้เริ่มวิพากษ์รัฐ
โดยเฉพาะในด้านเศรษฐกิจ ความยุติธรรม หรือความโปร่งใส
รัฐก็เริ่มรู้สึกว่ากระแสนี้คือภัยคุกคาม
📘 แปลคำต่อคำ: ตอนที่ 5
ผู้สัมภาษณ์: แล้วอะไรคือจุดเริ่มต้นของความขัดแย้งระหว่างกระแสอัศเศาะห์วะฮ์กับรัฐ?
บางคนกล่าวว่ามันเริ่มต้นจากสิ่งที่เรียกว่า “มุซักกิเราะฮ์ อันนะศีฮะฮ์” (مذكرة النصيحة - แถลงการณ์คำตักเตือน)
เชคฆอมดีย์: ใช่ครับ
มันคือจุดเปลี่ยนที่สำคัญมากในประวัติศาสตร์ของกระแสนี้
หลังจากสงครามอ่าวครั้งแรก (ปี ค.ศ. 1991)
เมื่ออิรักภายใต้การนำของซัดดัม ฮุสเซนรุกรานคูเวต
รัฐบาลซาอุฯ ได้เชิญกองกำลังต่างชาติ โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา เข้ามาตั้งฐานทัพในประเทศ
ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในราชอาณาจักร
ประชาชนจำนวนมาก โดยเฉพาะกลุ่มที่มีความตื่นตัวทางศาสนา
มองว่านี่คือการ “ละเมิดสิทธิอธิปไตย”
และเป็น “การนำกองทัพต่างศาสนิกเข้ามาในดินแดนอันศักดิ์สิทธิ์”
นักวิชาการกลุ่มหนึ่งจึงร่วมกันจัดทำ “แถลงการณ์คำตักเตือน”
(มุซักกิเราะฮ์ อันนะศีฮะฮ์)
ซึ่งเป็นเอกสารที่ประกอบด้วยการชี้ให้เห็นข้อผิดพลาดของรัฐบาล
ในด้านต่าง ๆ เช่น:
• การใช้จ่ายอย่างสุรุ่ยสุร่าย
• ความล้มเหลวในนโยบายเศรษฐกิจ
• ความไม่ยุติธรรมในการแต่งตั้งเจ้าหน้าที่
• การจำกัดเสรีภาพของนักวิชาการ
• การเปิดรับวัฒนธรรมตะวันตกมากเกินไป
• และโดยเฉพาะเรื่อง “การพึ่งพากองทัพต่างชาติ”
เอกสารนี้มีลักษณะที่สุภาพ
ไม่ได้ยุยงให้ต่อต้านรัฐ
แต่เป็นการตักเตือนด้วยหลักฐานจากศาสนา
“เราขอให้ท่านผู้นำยึดมั่นในอัลกุรอานและซุนนะฮ์
ขอให้ทบทวนนโยบายต่าง ๆ ให้สอดคล้องกับหลักการอิสลาม”
อย่างไรก็ตาม
รัฐบาลกลับมองว่าเอกสารนี้คือ “ภัยคุกคามต่อความมั่นคง”
และผู้ที่อยู่เบื้องหลังคือ “ผู้ปลุกปั่น”
ผู้สัมภาษณ์: แล้วอะไรเกิดขึ้นกับผู้ที่ลงชื่อในเอกสารนั้น?
เชคฆอมดีย์: พวกเขาถูกเรียกตัวไปสอบสวน
บางคนถูกห้ามเทศนา
บางคนถูกจับกุม
ในเวลาต่อมา
บรรดานักวิชาการที่มีบทบาทอย่างมากในกระแสอัศเศาะห์วะฮ์
เช่น:
• เชคซะฟัร หะวาลี
• เชคซัลมาน อัลเอาดะฮ์
• ดร. มุฮซิน อัลเอาวาจีย์
• ดร. ซะอูด อัสสะรี
• ดร. ซะอูด อัลฟะกีฮ์
ถูกจับกุมทั้งหมด
รัฐเริ่มทำลายเครือข่ายที่เกี่ยวข้องกับพวกเขา
วงการศึกษาในมหาวิทยาลัยถูกจับตา
เทปเสียงที่เคยได้รับความนิยมถูกห้ามเผยแพร่
ผู้ที่เกี่ยวข้องถูกกดดันจนต้อง “เงียบ”
“มันคือจุดจบของยุคทองแห่งการตื่นตัวแบบเปิดเผย
และเป็นจุดเริ่มต้นของยุคแห่งความกลัว”
📘 แปลคำต่อคำ: ตอนที่ 6
ผู้สัมภาษณ์: หลังจากการปราบปรามกระแสอัศเศาะห์วะฮ์ รัฐมีปฏิกิริยาอย่างไรต่อช่องว่างทางศาสนาที่เกิดขึ้น?
เชคฆอมดีย์: หลังจากที่รัฐปราบปรามกลุ่มนักวิชาการที่มีบทบาทในกระแสตื่นตัว
และสามารถ “ควบคุม” มหาวิทยาลัย มัสยิด และวงการสื่อได้แล้ว
ก็ยังมีความรู้สึกว่า “ยังไม่พอ”
มีความจำเป็นต้อง สร้างแนวทางศาสนาแบบใหม่
เพื่อ เติมเต็มช่องว่าง
และ ควบคุมความคิดของประชาชน โดยเฉพาะเยาวชน
จึงเกิดกระบวนการสร้าง แนวทางที่เรียกว่า “อัตตะมียะฮ์” หรือที่คนทั่วไปเรียกว่า “ญามียะฮ์”
ผู้สัมภาษณ์: ท่านหมายถึงกลุ่มที่สนับสนุนรัฐบาลอย่างสุดโต่งภายใต้ชื่อศาสนาใช่ไหม?
เชคฆอมดีย์: ใช่ครับ
กลุ่มนี้มีลักษณะเฉพาะคือ:
• โจมตีทุกกลุ่มที่มีแนวโน้มเรียกร้องการปฏิรูป
• มองว่า “การตักเตือนผู้นำ” คือ ฟิตนะฮ์ (ความวุ่นวาย)
• มองว่า “ผู้ที่พูดถึงความยุติธรรม” คือ คอวาริจญ์ (พวกหัวรุนแรง)
• ยกย่องการเชื่อฟังผู้นำ โดยไม่มีเงื่อนไข
• ใช้ถ้อยคำของนักวิชาการเก่า ๆ ในเชิงที่แยกศาสนาออกจากความรับผิดชอบต่อรัฐ
กลุ่มนี้ได้รับการสนับสนุนจากฝ่ายความมั่นคง
มีการแต่งตั้งพวกเขาในมหาวิทยาลัย
พวกเขาได้รับพื้นที่สื่อ
และบางครั้งถูกส่งไปต่างประเทศเพื่อเผยแพร่แนวคิดนี้
“กลุ่มนี้ไม่ได้สร้างเพื่อชี้นำศาสนา
แต่ถูกสร้างเพื่อ ทำลาย กระแสตื่นตัวทางศาสนา
และป้องกันรัฐจากคำวิจารณ์”
ผู้สัมภาษณ์: แล้วผลของกลุ่มญามียะฮ์นี้มีผลต่อสังคมอย่างไร?
เชคฆอมดีย์: พวกเขาทำให้ประชาชนสับสน
โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ที่เริ่มศึกษาศาสนา
เพราะสิ่งที่พวกเขาพูดเต็มไปด้วยถ้อยคำทางศาสนา
มีการอ้างอัลกุรอาน ฮะดีษ และคำพูดของนักวิชาการ
แต่เมื่อมองลึกลงไป จะพบว่า:
• ไม่มีการพูดถึง การยืนหยัดต่อความอยุติธรรม
• ไม่มีการสนับสนุน สิทธิเสรีภาพของผู้บริสุทธิ์
• ไม่มีการวิจารณ์ ความฟุ่มเฟือยของผู้ปกครอง
• มีเพียงการ ปกป้องผู้มีอำนาจ ไม่ว่าเขาจะทำสิ่งใด
“และสิ่งที่เลวร้ายที่สุดคือ พวกเขาใช้ชื่อของ ‘ซุนนะฮ์’
เพื่อทำลายแนวคิดการตื่นตัว ซึ่งมีพื้นฐานจากอัลกุรอานและซุนนะฮ์เช่นกัน”
พวกเขาอ้างว่าตนคือ ซะละฟีย์แท้
และกล่าวหาคนอื่นว่าเป็นพวกเบี่ยงเบน
ทั้งที่ตัวพวกเขาเองยืนอยู่ข้างอำนาจ ไม่ใช่ข้างศาสนา
📘 แปลคำต่อคำ: ตอนที่ 7
ผู้สัมภาษณ์: เรามาถึงยุคปัจจุบันแล้วครับ โดยเฉพาะช่วงการขึ้นสู่อำนาจของมุฮัมมัด บิน ซัลมาน (MBS)
ท่านมองว่ากระแสศาสนาในราชอาณาจักรถูกจัดการอย่างไรในยุคนี้?
เชคฆอมดีย์: สิ่งที่เกิดขึ้นในยุคของ MBS ไม่ใช่เพียงการปราบปราม หรือการควบคุมเหมือนยุคก่อน
แต่มันคือ “สงครามกับศาสนาอย่างเปิดเผย”
เป็นการจัดการอย่างเป็นระบบ
เพื่อ “ลบล้าง” อัตลักษณ์อิสลามที่แท้จริงของประเทศนี้
และแทนที่มันด้วยวัฒนธรรมที่ไม่มีราก ไม่มีจริยธรรม และไม่มีศรัทธา
ผู้สัมภาษณ์: แล้วท่านเห็นตัวอย่างอะไรบ้างที่ชัดเจนว่ามันคือ “สงครามกับศาสนา”?
เชคฆอมดีย์: ตัวอย่างมีมากมายครับ:
1. การลบหลักสูตรศาสนาออกจากระบบการศึกษา
• ลดจำนวนชั่วโมงเรียนวิชาฟิกฮ์, ตัฟซีร, ฮะดีษ
• ลบเรื่อง “ญิฮาด”, “การตั้งภาคี”, “อุมัฮ์” ออกจากหนังสือเรียน
• ตัดเนื้อหาที่กล่าวถึง “ยิว” หรือ “ไซออนิสต์” ในเชิงวิพากษ์
2. การควบคุมมหาวิทยาลัยและคณะศาสนาโดยฝ่ายความมั่นคง
• การแต่งตั้งอธิการบดี คณบดี ต้องผ่านการคัดกรองโดยสายงานข่าวกรอง
• ตรวจสอบโพสต์เก่าในทวิตเตอร์และเฟซบุ๊กของอาจารย์ ก่อนให้ดำรงตำแหน่ง
3. การจับกุมนักวิชาการจำนวนมาก
• แม้แต่คนที่ไม่เคยแสดงความคิดเห็นทางการเมือง
• หรือเพียงแค่แสดงความไม่พอใจอย่างเบา ๆ
• หรือแม้แต่ “ไม่พูดอะไรเลย” ก็ถูกจับเพราะ “เงียบเกินไป”
4. การนำศิลปิน ดารา นักเต้นรำเข้ามาในมักกะฮ์และเมืองศักดิ์สิทธิ์
• จัดคอนเสิร์ตในช่วงเราะมะฎอน
• เปิดไนต์คลับที่ใช้ฉากหลังเป็นภาพคะอ์บะฮ์
• ให้นักแสดงหญิงเต้นรำในเทศกาลที่รัฐจัดขึ้น
• เปิดเสรีให้ชายหญิงอยู่โรงแรมเดียวกันโดยไม่ต้องเป็นมะห์ร็อม
5. การเผาหนังสือศาสนาและห้ามหนังสือของนักวิชาการอิสลามที่แท้จริง
• ห้ามหนังสือของซัยยิด กุฏุบ, ฮะซัน อัลบันนา, อบู อะลา เมาดูดี
• รวมถึงหนังสือของเชคอับดุลเราะห์มาน อัสสะอฺดีย์ และคนอื่น ๆ
• บางมหาวิทยาลัยถึงกับนำหนังสือออกจากห้องสมุดและ “เผาทิ้ง”
“นี่ไม่ใช่การปฏิรูป แต่มันคือ ‘การเปลี่ยนศาสนา’
และเปลี่ยนให้ศาสนาเป็นแค่ภาพเปลือกนอก
ที่ไม่มีพลัง ไม่มีอิทธิพล และไม่มีสิทธิจะตั้งคำถามต่ออำนาจ”
ผู้สัมภาษณ์: แล้วท่านคิดว่าแนวทางนี้ได้รับแรงสนับสนุนจากต่างประเทศหรือไม่?
เชคฆอมดีย์: แน่นอนที่สุด
มีการทำงานร่วมกับองค์กรวิจัยตะวันตก เช่น:
• RAND Corporation
• AIPAC (กลุ่มล็อบบี้ยิวในสหรัฐ)
• กลุ่มนักคิดสายไซออนิสต์ที่ผลักดันแนวคิดว่า:
“อิสลามจะต้องถูกทำให้เชื่อง”
“มุสลิมต้องเป็นเพียงคนทำพิธีกรรม ไม่ใช่ผู้เรียกร้องความยุติธรรม”
“รัฐต้องควบคุมศาสนา ไม่ใช่ถูกควบคุมโดยหลักศาสนา”
และ MBS ยอมรับแนวทางนี้อย่างเต็มใจ
เพราะเขาต้องการการยอมรับจากอเมริกา
ต้องการความร่วมมือจากอิสราเอล
และต้องการ อำนาจเบ็ดเสร็จ โดยไม่มีใครกล้าตั้งคำถาม
📘 แปลคำต่อคำ: ตอนที่ 8 (ตอนจบ)
บทสรุป และสารถึงเยาวชนมุสลิม
ผู้สัมภาษณ์: ในภาพรวมทั้งหมดที่ท่านเล่ามา…
วันนี้กระแสอัศเศาะห์วะฮ์ถือว่าสิ้นสุดแล้วใช่หรือไม่?
ยังมีอะไรเหลืออยู่บ้างไหมในจิตวิญญาณของประชาชน?
เชคฆอมดีย์: ถ้าเราพูดถึงกระแสอัศเศาะห์วะฮ์ในเชิง “โครงสร้าง”
เช่น วงการสอน วงมัสยิด มหาวิทยาลัย นักวิชาการ เทปบรรยาย หนังสือ ฯลฯ
มันถูกทำลายไปเกือบหมดแล้วครับ
หลายสิ่งที่เคยเป็น “พลัง” กลับถูกทำให้เป็น “อาชญากรรม”
หลายคนที่เคยเป็นผู้นำทางความคิด ถูกจำคุก
หลายมัสยิดที่เคยมีวงการเรียนรู้ ถูกปิด
หลายคณะวิชาศาสนาในมหาวิทยาลัย ถูกควบคุม
แต่ในเชิง “จิตวิญญาณ”
มันยังไม่ตายครับ
“อีหม่าน ไม่ได้อยู่ในตึก หรือบนเวที
แต่อยู่ในหัวใจของผู้ศรัทธา”
ผมรู้ว่ามีเยาวชนจำนวนไม่น้อย
ที่ยังคงอ่านหนังสือของอิควาน
ยังคงดาวน์โหลดไฟล์ PDF ลับ ๆ
ยังคงฟังเทปของซะฟัร หะวาลี หรือซัลมาน อัลเอาดะฮ์
ยังคงจัดวงเล็ก ๆ ในบ้านเพื่อทบทวนอัลกุรอาน
ยังมีพ่อแม่ที่สอนลูกให้อาบน้ำญะนาบะฮ์
ยังมีครอบครัวที่สอนลูกให้เคารพนักวิชาการ
ยังมีผู้หญิงที่คลุมฮิญาบ เพราะความศรัทธา ไม่ใช่เพราะกฎหมาย
“พวกเขาคือความหวังของอุมมะฮ์
แม้จะไม่ได้อยู่บนเวที
แม้จะไม่ถูกเชิญออกทีวี
แต่เขาคือเชื้อไฟที่อาจกลับมาจุดแสงแห่งเตาฮีดอีกครั้งหนึ่ง”
ผู้สัมภาษณ์: สุดท้ายครับ…
หากท่านจะฝากอะไรไว้กับเยาวชนรุ่นใหม่ จะเป็นคำพูดแบบไหน?
เชคฆอมดีย์: ผมจะพูดสั้น ๆ แต่ตรงไปตรงมานะครับ…
“อย่าเป็นแค่เลขประจำตัวประชาชน
แต่จงเป็น ‘หมายเลขหนึ่ง’ ที่อยู่หน้าศูนย์หลายตัว
เพราะเลขหนึ่งนั้น แม้จะเล็ก แต่สามารถเปลี่ยนศูนย์เป็นหมื่น เป็นล้านได้”
“แต่เลขหนึ่งนั้น ต้องมั่นคงในเตาฮีด
ต้องไม่กลัวใครนอกจากอัลลอฮ์
ต้องไม่ขายศาสนาเพื่อเงินเดือน
ต้องไม่อ่อนข้อต่ออำนาจ เพราะกลัวตกตำแหน่ง”
“ถ้าท่านรักษาหัวใจของท่านให้สะอาดจากการตั้งภาคี
ท่านจะมีพลังมากกว่าคนมีอำนาจพันล้านคน
เพราะอัลลอฮ์จะอยู่เคียงข้างท่าน
และไม่มีใครเอาชนะผู้ที่อัลลอฮ์อยู่ด้วยได้”
ผู้สัมภาษณ์: ขออัลลอฮ์ตอบแทนท่านครับเชค
สำหรับความจริง ความชัดเจน และความกล้าหาญ
ขอให้คำพูดของท่านเป็นแสงสว่างในใจของคนรุ่นใหม่ทั่วโลก
เชคฆอมดีย์: อามีน ขออัลลอฮ์ทรงประทานความมั่นคงแก่เราทุกคน
ขอพระองค์ทรงฟื้นฟูอุมมะฮ์ของเรา
และทรงเปิดประตูแห่งทางนำแก่เราในทุกหนแห่ง
เสริม : ถอดบทเรียนเพิ่มเติมจากบทสัมภาษณ์ สำหรับเยาวชนไทยมุสลิม❤️
นี่คือข้อความ ฉบับเต็ม ของ “บทเรียนและคำวิเคราะห์จากบทสัมภาษณ์เชคซะอี๊ด อัลฆอมดีย์” พร้อมคำเตือนถึงเยาวชนไทย
📘 บทเรียนจากบทสัมภาษณ์เชคซะอี๊ด อัลฆอมดีย์
และการวิเคราะห์เชิงวิชาการต่อสถานการณ์ซาอุดิอาระเบีย
1. บทเรียนด้านประวัติศาสตร์การเมือง–ศาสนา
บทสัมภาษณ์ของเชคฆอมดีย์ได้เผยให้เห็นว่า ประเทศซาอุดิอาระเบียก่อตั้งขึ้นบนพื้นฐานของศาสนา โดยเฉพาะแนวทางของเตาฮีดและอัศสุนนะฮ์ แต่ในทางปฏิบัติ รัฐได้เปลี่ยนศาสนาให้เป็นเครื่องมือของอำนาจอย่างค่อยเป็นค่อยไป
กระแสตื่นตัวของประชาชน ซึ่งมุ่งหวังจะฟื้นฟูศาสนาให้มีบทบาทที่แท้จริง กลับถูกมองว่าเป็นภัยความมั่นคง
นี่สะท้อนให้เห็นว่า เมื่อศาสนาไม่เป็นที่พอใจของอำนาจ มันจะถูกควบคุม
และสุดท้ายก็จะถูก “ลบตัวตน” ทั้งที่ยังอ้างว่าดำรงอยู่ในนามศาสนา
2. การจัดการอิสลามแบบมัดคอลียะฮ์ (المدخلية)
เชคฆอมดีย์ได้ชี้ชัดว่า หลังจากการปราบปรามนักวิชาการสายตื่นตัว รัฐได้สร้างกลุ่มที่รู้จักกันว่า ญามียะฮ์ หรือ มัดคอลีย์ ขึ้นมา
กลุ่มนี้อ้างว่าเป็น “ซะละฟีย์แท้” แต่พฤติกรรมและแนวคิดมุ่งเน้นไปที่:
• ปกป้องผู้นำรัฐโดยไม่มีเงื่อนไข
• ประณามผู้ที่ตักเตือนผู้ปกครองว่าเป็น “คอวาริจญ์”
• ปฏิเสธสิทธิของอุมัฮ์ในการเรียกร้องความยุติธรรม
• ใช้ถ้อยคำของนักวิชาการเก่าอย่างบิดเบือนเพื่อต่อต้านกระแสตื่นรู้
กลุ่มนี้ไม่ใช่กระบอกเสียงของศาสนา แต่คือ “เครื่องมือของอำนาจ”
ใช้ชื่อซุนนะฮ์เพื่อกลบเสียงของผู้เรียกร้องความยุติธรรม
3. สถานการณ์ปัจจุบันในซาอุฯ
ในยุคของ มุฮัมมัด บิน ซัลมาน (MBS) การควบคุมศาสนาไม่ได้จำกัดแค่การเซ็นเซอร์
แต่มันคือการ ลบล้างอัตลักษณ์ศาสนา อย่างเป็นระบบ:
• หลักสูตรศาสนาถูกลดทอนและแก้ไข
• นักวิชาการถูกจับกุมเพียงเพราะเงียบ
• หนังสือของอุลามาอ์ระดับโลกถูกห้ามและเผาทิ้ง
• ระบบแต่งตั้งอาจารย์ในมหาวิทยาลัยศาสนาอยู่ภายใต้ฝ่ายข่าวกรอง
• งานบันเทิง/วัฒนธรรมตะวันตกถูกจัดขึ้นในดินแดนศักดิ์สิทธิ์
• รัฐทำงานร่วมกับกลุ่มไซออนิสต์และ Think Tank ตะวันตกที่มีเป้าหมายทำให้อิสลาม “ปลอดภัย” สำหรับโลกตะวันตก
นี่คือสงครามกับศาสนา ในนามของการพัฒนา
เปลือกยังดูอิสลาม แต่เนื้อในถูกลบไปแล้ว
4. คำเตือนสำหรับเยาวชนไทย
ในประเทศไทยเริ่มปรากฏกลุ่มที่อ้างตนว่า “สลาฟีแท้” หรือยึดแนวคิดแบบมัดคอลี
โดยมักมีพฤติกรรมดังนี้:
• โจมตีพี่น้องมุสลิมที่ต่างแนวทาง เช่น อิควาน, ซูฟีย์, ตาบลีก, ฯลฯ
• เชิดชูผู้นำรัฐอย่างสุดโต่ง ไม่ยอมให้มีการตักเตือนใด ๆ
• ยกคำว่า “เชื่อฟังผู้ปกครอง” มาใช้ในทุกบริบท แม้เมื่อเกิดอธรรม
• วาดภาพ “ผู้เรียกร้องความยุติธรรม” ว่าเป็น “คอวาริจญ์” หรือกบฏ
• ทำให้เยาวชนหันหลังให้กับ “การปกป้องอุมมะฮ์” และกลายเป็นคนเฉยเมย
นี่คือแนวคิดอันตรายที่ “ทำให้ศาสนาไร้พลัง”
และเปลี่ยนเยาวชนให้กลายเป็นเครื่องมือของรัฐ โดยไม่รู้ตัว
5. บทเรียนสำคัญสำหรับเยาวชนไทย
💡 อย่าสับสนระหว่าง “ความเคร่งครัด” กับ “ความจำนน”
💡 อย่าใช้ศาสนาเป็นอาวุธทำลายพี่น้องต่างแนวทาง
💡 จงศึกษาจากอุลามาอ์ที่ยืนหยัดในความยุติธรรม
💡 จงอย่าเป็นเพียงผู้ท่องจำฮะดีษ — แต่จงเป็นผู้ยืนหยัดตามมัน
6. สรุปคำเตือน
หากเยาวชนมุสลิมไทยหลงเข้าใจว่าศาสนาคือการ อยู่เงียบ ๆ เชื่อฟังอย่างเดียว
ไม่พูด ไม่ถาม ไม่เรียกร้องความยุติธรรม
สุดท้ายพวกเขาอาจกลายเป็น เครื่องมือของเผด็จการในชื่อของอิสลาม
ศาสนาอิสลามแท้จริง คือศาสนาแห่งการปลุก
ไม่ใช่การกด
ศาสนาแห่งความยุติธรรม
ไม่ใช่การรับใช้ความอธรรม
โฆษณา