Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
ชุมพล ศรีสมบัติ
•
ติดตาม
12 ก.ค. เวลา 07:53 • ไลฟ์สไตล์
“เมื่อซาอุฯ เปลี่ยนไป ทำให้ศาสนาเปลี่ยนทาง: สารจากผู้ที่อยู่กลางสนามจริง”
ถอดบทสัมภาษณ์เชคซะอี๊ด อัลฆอมดีย และคำเตือนสุดท้ายจากเชคฆอมดีย์: อย่าให้ศรัทธาถูกแปรรูปเป็นเครื่องมือรัฐ
Credit : Ai @transkriptor and @Chat GPT plus
ที่มา :
https://youtu.be/Or3HVUsQD70?si=sANzvJDu4306d8su
ผมจะเริ่มแปลบทสัมภาษณ์นี้จากภาษาอาหรับเป็นภาษาไทย แบบคำต่อคำ ตามที่คุณร้องขอ โดยจะไม่สรุป ไม่ตัดทอน และไม่เพิ่มเติมข้อมูลใด ๆ นอกจากการเกลาภาษาที่จำเป็นเพื่อให้เข้าใจง่ายเท่านั้น พร้อมคงลำดับของคำถามและคำตอบให้ชัดเจน
เนื่องจากเนื้อหายาว ผมจะแบ่งออกเป็น “ตอน” เพื่อความต่อเนื่องและชัดเจนครับ
⸻
📘 แปลคำต่อคำ: ตอนที่ 1
(จากหน้าแรกของไฟล์)
ผู้สัมภาษณ์: ขอความสันติจากอัลลอฮ์จงมีแด่ท่านครับ เชคด็อกเตอร์ซะอี๊ด บิน นาศิร อัลฆอมดีย์ ยินดีต้อนรับท่านครับ
เชค: ขอความสันติ ความเมตตา และความจำเริญจากอัลลอฮ์จงมีแด่ท่านเช่นกันครับ และขอความสันติจงมีแด่ผู้ที่ติดตามรับชมรายการนี้ทุกคน
⸻
ผู้สัมภาษณ์: ขอเริ่มจากคำถามแรกเลยนะครับ คำว่า “เศาะห์วะฮ์” (การตื่นตัวทางศาสนา) มีต้นกำเนิดในประเทศซาอุดิอาระเบียอย่างไร? โดยเฉพาะในช่วงครึ่งหลังของศตวรรษที่ 20
เชค: ด้วยพระนามของอัลลอฮ์ผู้ทรงกรุณาปรานีเสมอ ขอความสันติจงมีแด่ศาสดามุฮัมมัด และครอบครัวของท่านทั้งหมด
คำถามของท่านนี้เป็นหนึ่งในคำถามที่สำคัญที่สุด เนื่องจากเป็นคำถามที่เกี่ยวข้องกับกระแสศาสนาในประเทศของเรา ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับวิถีทาง ความเชื่อ อัตลักษณ์ วัฒนธรรม และกระแสความเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวงที่เกิดขึ้นในประเทศนี้ ไม่ว่าจะเป็นด้านการเมือง เศรษฐกิจ หรือสังคม
ดังนั้น หากเราจะพูดถึงกระแสเศาะห์วะฮ์ เราต้องเริ่มจากพื้นฐานของมันก่อน
กล่าวคือ ประเทศนี้เริ่มต้นขึ้นโดยอิหม่ามมุฮัมมัด อิบนุ ซะอูด และเชคมุฮัมมัด อิบนุ อับดุลวะฮาบ ในช่วงกลางศตวรรษที่ 12 ฮิจเราะฮ์
ซึ่งพวกเขาทั้งสองได้ร่วมมือกันในการสร้างรัฐที่มีฐานมาจากศาสนา
และมีการดำเนินการเพื่อขจัดความหลงผิด ความเชื่อผิด ๆ การตั้งภาคี และความเหลวแหลกทางศาสนา
⸻
หลังจากนั้น รัฐนี้ได้ดำรงอยู่หลายช่วงสมัย
จนกระทั่งมาถึงรัฐที่สามซึ่งเรากำลังมีชีวิตอยู่ภายใต้รัฐนี้ ซึ่งเริ่มต้นโดยอิหม่ามอับดุลอะซีซ อิบนุ อับดุรเราะห์มาน อาลิซะอูด ในช่วงต้นศตวรรษที่ 20
ซึ่งท่านได้สถาปนาราชอาณาจักรซาอุดิอาระเบียขึ้น และรวมประเทศให้เป็นหนึ่งเดียว
โดยมีแนวทางในการปกครองที่อิงจากศาสนา แต่ในทางปฏิบัติ มีหลายสิ่งที่ไม่เป็นไปตามหลักการที่วางไว้ในตอนต้น
ในช่วงเวลานั้น มีการเปิดรับอิทธิพลจากภายนอก
ทั้งในแง่ของความคิด ความรู้ ระบบการศึกษา และระบบการปกครอง
ซึ่งสิ่งเหล่านี้เริ่มแทรกซึมเข้ามาอย่างต่อเนื่อง
⸻
ในช่วงครึ่งหลังของศตวรรษที่ 20 โดยเฉพาะหลังสงครามโลกครั้งที่ 2
มีการขยายตัวของลัทธิชาตินิยมอาหรับ ลัทธิสังคมนิยม และแนวคิดตะวันตก
ซึ่งส่งผลกระทบต่อภูมิภาคโดยรวม รวมถึงประเทศนี้ด้วย
และในช่วงเวลานั้นเองที่เริ่มมีเสียงเรียกร้องให้กลับสู่ศาสนา
และเสียงเหล่านี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในหมู่ประชาชนเท่านั้น แต่ยังมีในหมู่เจ้าหน้าที่รัฐ ข้าราชการ และเยาวชนในมหาวิทยาลัย
ซึ่งกระแสนี้เองเป็นสิ่งที่เราเรียกกันในเวลาต่อมาว่า “อัศเศาะห์วะฮ์” หรือ “กระแสการตื่นตัวทางศาสนา”
⸻
📘 แปลคำต่อคำ: ตอนที่ 2
(ต่อจากหน้าแรกของไฟล์ ถอดบทสัมภาษณ์ เชคฆอมีดี จาก YouTube.pdf)
ผู้สัมภาษณ์: เมื่อกล่าวถึง “อัศเศาะห์วะฮ์” ท่านหมายถึงสิ่งที่มีรากฐานมาจากอิควานมุสลิมีนใช่หรือไม่? หรือว่ามันเป็นกระแสที่แตกต่างออกไป?
เชคฆอมดีย์: ในความเป็นจริง คำว่า “อัศเศาะห์วะฮ์” ที่เราหมายถึงนั้น
คือกระแสของการหวนคืนสู่ศาสนาอิสลามที่บริสุทธิ์
โดยเฉพาะในหมู่เยาวชน คนทั่วไป และข้าราชการบางกลุ่มในประเทศ
ซึ่งกระแสนี้มีรากฐานจากหลายแนวคิด
ทั้งจากแนวทางของเชคมุฮัมมัด อิบนุ อับดุลวะฮาบ
และจากแนวคิดของอิควานมุสลิมีน
รวมถึงจากบุคคลอื่น ๆ ที่มาจากโลกอาหรับอิสลาม
ไม่สามารถกล่าวได้ว่ากระแสนี้มาจากแหล่งเดียว หรือมีแนวคิดเดียว
แต่เป็นกระแสที่มีการหล่อหลอมจากหลายแนวคิด
รวมถึงแนวคิดของนักวิชาการร่วมสมัย อย่างซัยยิด กุฏุบ และอัลบันนา
⸻
ผู้สัมภาษณ์: ท่านกล่าวถึงอิควานมุสลิมีนว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับกระแสอัศเศาะห์วะฮ์
แปลว่าพวกเขามีอิทธิพลในราชอาณาจักรนี้หรือไม่?
เชคฆอมดีย์: ใช่ครับ
หลังจากที่กลุ่มอิควานมุสลิมีนเผชิญกับการปราบปรามในอียิปต์ ซีเรีย และบางประเทศอาหรับ
สมาชิกจำนวนหนึ่งได้ลี้ภัยมายังซาอุดิอาระเบีย
พวกเขาได้รับการต้อนรับในยุคของกษัตริย์ฟัยศอล
โดยมีเงื่อนไขว่าพวกเขาจะไม่ตั้งองค์กรทางการเมือง
แต่สามารถทำงานด้านการศึกษา การอบรม และการเผยแพร่ศาสนาได้
และพวกเขาก็มีบทบาทในมหาวิทยาลัยต่าง ๆ
ในกระทรวงการศึกษา และในหน่วยงานศาสนา
⸻
พวกเขาเป็นผู้จัดทำแบบเรียนและหลักสูตร
และมีบทบาทในการฝึกอบรมครู
รวมถึงจัดการวงการศึกษาศาสนาในมัสยิดและสถาบันการศึกษา
แต่ถึงแม้จะมีบทบาทเช่นนั้น
พวกเขาก็ไม่ได้ตั้งองค์กรอย่างเป็นทางการในประเทศนี้
และหลายคนก็แต่งงานและตั้งรกรากอยู่ในประเทศนี้
ซึ่งเยาวชนจำนวนมากในช่วงเวลานั้นก็ได้รับอิทธิพลทางความคิดจากพวกเขา
ทั้งจากบทเรียน คำสอน หนังสือ และการอบรมที่พวกเขาเป็นผู้จัด
⸻
📘 แปลคำต่อคำ: ตอนที่ 3
ผู้สัมภาษณ์: แล้วช่วงเวลานั้นเกิดอะไรขึ้นในด้านการเทศนาในมัสยิดต่าง ๆ? โดยเฉพาะกับเยาวชนที่เริ่มกลับสู่ศาสนา?
เชคฆอมดีย์: ก่อนช่วงที่กระแสอัศเศาะห์วะฮ์จะแพร่หลาย
ลักษณะของการเทศนาในมัสยิดต่าง ๆ
โดยเฉพาะในเมืองหลวงริยาฎฮ์นั้น เป็นไปในลักษณะที่ค่อนข้างตายตัว
หมายความว่า…
ผู้เทศนาจะอ่านจากบทเทศนาที่มีอยู่ในหนังสือเก่า
เช่น คำเทศนาของเชคอิบนุ อับดุลวะฮาบ หรือหนังสือของนักวิชาการเก่า ๆ
โดยบางครั้งพวกเขาเพียงแค่ “ท่องจำ” และ “อ่านออกเสียง” เหมือนกับการอ่านบทกวี
พวกเขาไม่ได้กล่าวสิ่งใหม่
ไม่ได้อธิบายปัญหาที่เกิดขึ้นในสังคม
และไม่ได้เชื่อมโยงบทเรียนศาสนากับชีวิตจริงของผู้คน
⸻
จนกระทั่งวันหนึ่ง…
มีนักเทศนาชาวอียิปต์คนหนึ่งชื่อว่าเชคมะนาอ์ อัลเกาะฏอน
เขามาปรากฏตัวในมัสยิดหนึ่งในเมืองริยาฎฮ์
เขากล่าวคำปราศรัยที่แตกต่างโดยสิ้นเชิง
เขาใช้ภาษาที่เร้าใจ เข้าใจง่าย และเชื่อมโยงกับปัญหาของผู้ฟัง
เขาใช้ฮะดีษและอายะฮ์ของอัลกุรอานอย่างมีพลัง
เยาวชนต่างหลั่งไหลมาฟังเขา
และนี่คือจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงในการเทศนาในมัสยิดต่าง ๆ ทั่วราชอาณาจักร
⸻
เยาวชนในยุคนั้นรู้สึกว่า
นี่คือศาสนาที่ “มีชีวิต”
ไม่ใช่เพียงการท่องจำหรือพิธีกรรมที่ตายตัว
พวกเขารู้สึกว่าศาสนามีคำตอบให้กับปัญหาในชีวิต
และนักเทศนากลุ่มใหม่นี้ก็คือผู้ที่เปิดประตูแห่งแสงสว่างให้กับพวกเขา
⸻
ผู้สัมภาษณ์: หมายความว่าเชคมะนาอ์คือผู้ที่จุดประกายกระแสอัศเศาะห์วะฮ์ในมิติใหม่?
เชคฆอมดีย์: ใช่ครับ
เขาคือหนึ่งในผู้ที่สร้างการเปลี่ยนแปลงจริง ๆ
หลังจากนั้นก็มีนักเทศนาคนอื่น ๆ ตามมา
ทั้งจากต่างประเทศและจากภายในราชอาณาจักร
ที่ได้รับอิทธิพลจากเขา หรือได้รับแรงบันดาลใจจากแนวทางของเขา
⸻
📘 แปลคำต่อคำ: ตอนที่ 4
ผู้สัมภาษณ์: หลังจากนั้น กระแสอัศเศาะห์วะฮ์เริ่มขยายตัวอย่างไร? และใครคือบุคคลสำคัญที่เป็นผู้นำในช่วงนั้น?
เชคฆอมดีย์: หลังจากจุดประกายเริ่มต้น
โดยเฉพาะในช่วงทศวรรษที่ 1400 ฮิจเราะห์ (ประมาณยุค 1980s)
กระแสอัศเศาะห์วะฮ์ก็เริ่มเติบโตและขยายตัวอย่างรวดเร็ว
เยาวชนจำนวนมากหันกลับเข้าสู่ศาสนา
และเริ่มให้ความสนใจต่อกิจกรรมศาสนา
วงการศึกษาศาสนาเริ่มเฟื่องฟูในมัสยิด
มีการตั้งกลุ่มย่อยที่เรียกว่า “ฮะละเกาะฮ์” (วงเรียนรู้ศาสนา)
ทั้งในมัสยิด มหาวิทยาลัย และแม้แต่ในบ้าน
⸻
เริ่มมีผู้เทศนารุ่นใหม่ที่โด่งดัง
ผู้คนเดินทางไกลเพื่อไปฟังพวกเขา
บางครั้งมัสยิดก็แน่นขนัดไปด้วยผู้ฟัง
มีการแจกจ่ายเทปบันทึกเสียง การบันทึกบทเรียน การเขียนหนังสือ และบทความมากมาย
มันคือยุคทองของการตื่นตัวทางศาสนา
ยุคที่ประชาชนรู้สึกว่าศาสนาเป็นของพวกเขา
และสามารถเปลี่ยนแปลงสังคมได้จริง
⸻
ผู้สัมภาษณ์: แล้วบุคคลใดบ้างที่ถือว่าเป็นผู้นำในกระแสนี้?
เชคฆอมดีย์: มีหลายท่านครับที่มีบทบาทสำคัญในยุคนั้น
ผมจะขอเอ่ยชื่อบางท่านตามลำดับ:
• เชคซะฟัร หะวาลี
• เชคซัลมาน อัลเอาดะฮ์
• ดร. อาวัฎ อัลเกาะรอนี
• ดร. นาสิร อัลอุมัร
• ดร. ซะอูด อัลฟุนัยซาน
• เชคคอลิด อัลอะญิมีย์
• และอื่น ๆ อีกมากมาย
บางท่านมีพื้นฐานจากอิควาน
บางท่านมาจากแนวซะละฟีย์ดั้งเดิม
แต่พวกเขาทั้งหมดรวมพลังกันภายใต้ “แนวคิดการตื่นตัว”
ไม่ใช่ในเชิงองค์กร
แต่เป็นกระแสที่มีชีวิตในจิตใจประชาชน
⸻
ผู้สัมภาษณ์: แล้วรัฐมีท่าทีอย่างไรกับกระแสนี้ในช่วงแรก?
เชคฆอมดีย์: ในช่วงแรก รัฐให้การสนับสนุนครับ
เนื่องจากมองว่ากระแสนี้เป็น “ภูมิคุ้มกัน” จากแนวคิดคอมมิวนิสต์ และกระแสซ้ายอื่น ๆ
โดยเฉพาะในช่วงสงครามเย็น
รัฐเองอนุญาตให้มีการจัดวงการสอน
ให้มีการจัดกิจกรรมศาสนาในมหาวิทยาลัย
และไม่ขัดขวางนักวิชาการเหล่านี้มากนัก
แต่เมื่อกระแสนี้เริ่มวิพากษ์รัฐ
โดยเฉพาะในด้านเศรษฐกิจ ความยุติธรรม หรือความโปร่งใส
รัฐก็เริ่มรู้สึกว่ากระแสนี้คือภัยคุกคาม
⸻
📘 แปลคำต่อคำ: ตอนที่ 5
ผู้สัมภาษณ์: แล้วอะไรคือจุดเริ่มต้นของความขัดแย้งระหว่างกระแสอัศเศาะห์วะฮ์กับรัฐ?
บางคนกล่าวว่ามันเริ่มต้นจากสิ่งที่เรียกว่า “มุซักกิเราะฮ์ อันนะศีฮะฮ์” (مذكرة النصيحة - แถลงการณ์คำตักเตือน)
เชคฆอมดีย์: ใช่ครับ
มันคือจุดเปลี่ยนที่สำคัญมากในประวัติศาสตร์ของกระแสนี้
หลังจากสงครามอ่าวครั้งแรก (ปี ค.ศ. 1991)
เมื่ออิรักภายใต้การนำของซัดดัม ฮุสเซนรุกรานคูเวต
รัฐบาลซาอุฯ ได้เชิญกองกำลังต่างชาติ โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา เข้ามาตั้งฐานทัพในประเทศ
ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในราชอาณาจักร
ประชาชนจำนวนมาก โดยเฉพาะกลุ่มที่มีความตื่นตัวทางศาสนา
มองว่านี่คือการ “ละเมิดสิทธิอธิปไตย”
และเป็น “การนำกองทัพต่างศาสนิกเข้ามาในดินแดนอันศักดิ์สิทธิ์”
⸻
นักวิชาการกลุ่มหนึ่งจึงร่วมกันจัดทำ “แถลงการณ์คำตักเตือน”
(มุซักกิเราะฮ์ อันนะศีฮะฮ์)
ซึ่งเป็นเอกสารที่ประกอบด้วยการชี้ให้เห็นข้อผิดพลาดของรัฐบาล
ในด้านต่าง ๆ เช่น:
• การใช้จ่ายอย่างสุรุ่ยสุร่าย
• ความล้มเหลวในนโยบายเศรษฐกิจ
• ความไม่ยุติธรรมในการแต่งตั้งเจ้าหน้าที่
• การจำกัดเสรีภาพของนักวิชาการ
• การเปิดรับวัฒนธรรมตะวันตกมากเกินไป
• และโดยเฉพาะเรื่อง “การพึ่งพากองทัพต่างชาติ”
⸻
เอกสารนี้มีลักษณะที่สุภาพ
ไม่ได้ยุยงให้ต่อต้านรัฐ
แต่เป็นการตักเตือนด้วยหลักฐานจากศาสนา
“เราขอให้ท่านผู้นำยึดมั่นในอัลกุรอานและซุนนะฮ์
ขอให้ทบทวนนโยบายต่าง ๆ ให้สอดคล้องกับหลักการอิสลาม”
อย่างไรก็ตาม
รัฐบาลกลับมองว่าเอกสารนี้คือ “ภัยคุกคามต่อความมั่นคง”
และผู้ที่อยู่เบื้องหลังคือ “ผู้ปลุกปั่น”
⸻
ผู้สัมภาษณ์: แล้วอะไรเกิดขึ้นกับผู้ที่ลงชื่อในเอกสารนั้น?
เชคฆอมดีย์: พวกเขาถูกเรียกตัวไปสอบสวน
บางคนถูกห้ามเทศนา
บางคนถูกจับกุม
ในเวลาต่อมา
บรรดานักวิชาการที่มีบทบาทอย่างมากในกระแสอัศเศาะห์วะฮ์
เช่น:
• เชคซะฟัร หะวาลี
• เชคซัลมาน อัลเอาดะฮ์
• ดร. มุฮซิน อัลเอาวาจีย์
• ดร. ซะอูด อัสสะรี
• ดร. ซะอูด อัลฟะกีฮ์
ถูกจับกุมทั้งหมด
⸻
รัฐเริ่มทำลายเครือข่ายที่เกี่ยวข้องกับพวกเขา
วงการศึกษาในมหาวิทยาลัยถูกจับตา
เทปเสียงที่เคยได้รับความนิยมถูกห้ามเผยแพร่
ผู้ที่เกี่ยวข้องถูกกดดันจนต้อง “เงียบ”
“มันคือจุดจบของยุคทองแห่งการตื่นตัวแบบเปิดเผย
และเป็นจุดเริ่มต้นของยุคแห่งความกลัว”
⸻
📘 แปลคำต่อคำ: ตอนที่ 6
ผู้สัมภาษณ์: หลังจากการปราบปรามกระแสอัศเศาะห์วะฮ์ รัฐมีปฏิกิริยาอย่างไรต่อช่องว่างทางศาสนาที่เกิดขึ้น?
เชคฆอมดีย์: หลังจากที่รัฐปราบปรามกลุ่มนักวิชาการที่มีบทบาทในกระแสตื่นตัว
และสามารถ “ควบคุม” มหาวิทยาลัย มัสยิด และวงการสื่อได้แล้ว
ก็ยังมีความรู้สึกว่า “ยังไม่พอ”
มีความจำเป็นต้อง สร้างแนวทางศาสนาแบบใหม่
เพื่อ เติมเต็มช่องว่าง
และ ควบคุมความคิดของประชาชน โดยเฉพาะเยาวชน
จึงเกิดกระบวนการสร้าง แนวทางที่เรียกว่า “อัตตะมียะฮ์” หรือที่คนทั่วไปเรียกว่า “ญามียะฮ์”
⸻
ผู้สัมภาษณ์: ท่านหมายถึงกลุ่มที่สนับสนุนรัฐบาลอย่างสุดโต่งภายใต้ชื่อศาสนาใช่ไหม?
เชคฆอมดีย์: ใช่ครับ
กลุ่มนี้มีลักษณะเฉพาะคือ:
• โจมตีทุกกลุ่มที่มีแนวโน้มเรียกร้องการปฏิรูป
• มองว่า “การตักเตือนผู้นำ” คือ ฟิตนะฮ์ (ความวุ่นวาย)
• มองว่า “ผู้ที่พูดถึงความยุติธรรม” คือ คอวาริจญ์ (พวกหัวรุนแรง)
• ยกย่องการเชื่อฟังผู้นำ โดยไม่มีเงื่อนไข
• ใช้ถ้อยคำของนักวิชาการเก่า ๆ ในเชิงที่แยกศาสนาออกจากความรับผิดชอบต่อรัฐ
⸻
กลุ่มนี้ได้รับการสนับสนุนจากฝ่ายความมั่นคง
มีการแต่งตั้งพวกเขาในมหาวิทยาลัย
พวกเขาได้รับพื้นที่สื่อ
และบางครั้งถูกส่งไปต่างประเทศเพื่อเผยแพร่แนวคิดนี้
“กลุ่มนี้ไม่ได้สร้างเพื่อชี้นำศาสนา
แต่ถูกสร้างเพื่อ ทำลาย กระแสตื่นตัวทางศาสนา
และป้องกันรัฐจากคำวิจารณ์”
⸻
ผู้สัมภาษณ์: แล้วผลของกลุ่มญามียะฮ์นี้มีผลต่อสังคมอย่างไร?
เชคฆอมดีย์: พวกเขาทำให้ประชาชนสับสน
โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ที่เริ่มศึกษาศาสนา
เพราะสิ่งที่พวกเขาพูดเต็มไปด้วยถ้อยคำทางศาสนา
มีการอ้างอัลกุรอาน ฮะดีษ และคำพูดของนักวิชาการ
แต่เมื่อมองลึกลงไป จะพบว่า:
• ไม่มีการพูดถึง การยืนหยัดต่อความอยุติธรรม
• ไม่มีการสนับสนุน สิทธิเสรีภาพของผู้บริสุทธิ์
• ไม่มีการวิจารณ์ ความฟุ่มเฟือยของผู้ปกครอง
• มีเพียงการ ปกป้องผู้มีอำนาจ ไม่ว่าเขาจะทำสิ่งใด
⸻
“และสิ่งที่เลวร้ายที่สุดคือ พวกเขาใช้ชื่อของ ‘ซุนนะฮ์’
เพื่อทำลายแนวคิดการตื่นตัว ซึ่งมีพื้นฐานจากอัลกุรอานและซุนนะฮ์เช่นกัน”
พวกเขาอ้างว่าตนคือ ซะละฟีย์แท้
และกล่าวหาคนอื่นว่าเป็นพวกเบี่ยงเบน
ทั้งที่ตัวพวกเขาเองยืนอยู่ข้างอำนาจ ไม่ใช่ข้างศาสนา
⸻
📘 แปลคำต่อคำ: ตอนที่ 7
ผู้สัมภาษณ์: เรามาถึงยุคปัจจุบันแล้วครับ โดยเฉพาะช่วงการขึ้นสู่อำนาจของมุฮัมมัด บิน ซัลมาน (MBS)
ท่านมองว่ากระแสศาสนาในราชอาณาจักรถูกจัดการอย่างไรในยุคนี้?
เชคฆอมดีย์: สิ่งที่เกิดขึ้นในยุคของ MBS ไม่ใช่เพียงการปราบปราม หรือการควบคุมเหมือนยุคก่อน
แต่มันคือ “สงครามกับศาสนาอย่างเปิดเผย”
เป็นการจัดการอย่างเป็นระบบ
เพื่อ “ลบล้าง” อัตลักษณ์อิสลามที่แท้จริงของประเทศนี้
และแทนที่มันด้วยวัฒนธรรมที่ไม่มีราก ไม่มีจริยธรรม และไม่มีศรัทธา
⸻
ผู้สัมภาษณ์: แล้วท่านเห็นตัวอย่างอะไรบ้างที่ชัดเจนว่ามันคือ “สงครามกับศาสนา”?
เชคฆอมดีย์: ตัวอย่างมีมากมายครับ:
1. การลบหลักสูตรศาสนาออกจากระบบการศึกษา
• ลดจำนวนชั่วโมงเรียนวิชาฟิกฮ์, ตัฟซีร, ฮะดีษ
• ลบเรื่อง “ญิฮาด”, “การตั้งภาคี”, “อุมัฮ์” ออกจากหนังสือเรียน
• ตัดเนื้อหาที่กล่าวถึง “ยิว” หรือ “ไซออนิสต์” ในเชิงวิพากษ์
2. การควบคุมมหาวิทยาลัยและคณะศาสนาโดยฝ่ายความมั่นคง
• การแต่งตั้งอธิการบดี คณบดี ต้องผ่านการคัดกรองโดยสายงานข่าวกรอง
• ตรวจสอบโพสต์เก่าในทวิตเตอร์และเฟซบุ๊กของอาจารย์ ก่อนให้ดำรงตำแหน่ง
3. การจับกุมนักวิชาการจำนวนมาก
• แม้แต่คนที่ไม่เคยแสดงความคิดเห็นทางการเมือง
• หรือเพียงแค่แสดงความไม่พอใจอย่างเบา ๆ
• หรือแม้แต่ “ไม่พูดอะไรเลย” ก็ถูกจับเพราะ “เงียบเกินไป”
⸻
4. การนำศิลปิน ดารา นักเต้นรำเข้ามาในมักกะฮ์และเมืองศักดิ์สิทธิ์
• จัดคอนเสิร์ตในช่วงเราะมะฎอน
• เปิดไนต์คลับที่ใช้ฉากหลังเป็นภาพคะอ์บะฮ์
• ให้นักแสดงหญิงเต้นรำในเทศกาลที่รัฐจัดขึ้น
• เปิดเสรีให้ชายหญิงอยู่โรงแรมเดียวกันโดยไม่ต้องเป็นมะห์ร็อม
5. การเผาหนังสือศาสนาและห้ามหนังสือของนักวิชาการอิสลามที่แท้จริง
• ห้ามหนังสือของซัยยิด กุฏุบ, ฮะซัน อัลบันนา, อบู อะลา เมาดูดี
• รวมถึงหนังสือของเชคอับดุลเราะห์มาน อัสสะอฺดีย์ และคนอื่น ๆ
• บางมหาวิทยาลัยถึงกับนำหนังสือออกจากห้องสมุดและ “เผาทิ้ง”
⸻
“นี่ไม่ใช่การปฏิรูป แต่มันคือ ‘การเปลี่ยนศาสนา’
และเปลี่ยนให้ศาสนาเป็นแค่ภาพเปลือกนอก
ที่ไม่มีพลัง ไม่มีอิทธิพล และไม่มีสิทธิจะตั้งคำถามต่ออำนาจ”
⸻
ผู้สัมภาษณ์: แล้วท่านคิดว่าแนวทางนี้ได้รับแรงสนับสนุนจากต่างประเทศหรือไม่?
เชคฆอมดีย์: แน่นอนที่สุด
มีการทำงานร่วมกับองค์กรวิจัยตะวันตก เช่น:
• RAND Corporation
• AIPAC (กลุ่มล็อบบี้ยิวในสหรัฐ)
• กลุ่มนักคิดสายไซออนิสต์ที่ผลักดันแนวคิดว่า:
“อิสลามจะต้องถูกทำให้เชื่อง”
“มุสลิมต้องเป็นเพียงคนทำพิธีกรรม ไม่ใช่ผู้เรียกร้องความยุติธรรม”
“รัฐต้องควบคุมศาสนา ไม่ใช่ถูกควบคุมโดยหลักศาสนา”
⸻
และ MBS ยอมรับแนวทางนี้อย่างเต็มใจ
เพราะเขาต้องการการยอมรับจากอเมริกา
ต้องการความร่วมมือจากอิสราเอล
และต้องการ อำนาจเบ็ดเสร็จ โดยไม่มีใครกล้าตั้งคำถาม
⸻
📘 แปลคำต่อคำ: ตอนที่ 8 (ตอนจบ)
บทสรุป และสารถึงเยาวชนมุสลิม
ผู้สัมภาษณ์: ในภาพรวมทั้งหมดที่ท่านเล่ามา…
วันนี้กระแสอัศเศาะห์วะฮ์ถือว่าสิ้นสุดแล้วใช่หรือไม่?
ยังมีอะไรเหลืออยู่บ้างไหมในจิตวิญญาณของประชาชน?
เชคฆอมดีย์: ถ้าเราพูดถึงกระแสอัศเศาะห์วะฮ์ในเชิง “โครงสร้าง”
เช่น วงการสอน วงมัสยิด มหาวิทยาลัย นักวิชาการ เทปบรรยาย หนังสือ ฯลฯ
มันถูกทำลายไปเกือบหมดแล้วครับ
หลายสิ่งที่เคยเป็น “พลัง” กลับถูกทำให้เป็น “อาชญากรรม”
หลายคนที่เคยเป็นผู้นำทางความคิด ถูกจำคุก
หลายมัสยิดที่เคยมีวงการเรียนรู้ ถูกปิด
หลายคณะวิชาศาสนาในมหาวิทยาลัย ถูกควบคุม
⸻
แต่ในเชิง “จิตวิญญาณ”
มันยังไม่ตายครับ
“อีหม่าน ไม่ได้อยู่ในตึก หรือบนเวที
แต่อยู่ในหัวใจของผู้ศรัทธา”
⸻
ผมรู้ว่ามีเยาวชนจำนวนไม่น้อย
ที่ยังคงอ่านหนังสือของอิควาน
ยังคงดาวน์โหลดไฟล์ PDF ลับ ๆ
ยังคงฟังเทปของซะฟัร หะวาลี หรือซัลมาน อัลเอาดะฮ์
ยังคงจัดวงเล็ก ๆ ในบ้านเพื่อทบทวนอัลกุรอาน
ยังมีพ่อแม่ที่สอนลูกให้อาบน้ำญะนาบะฮ์
ยังมีครอบครัวที่สอนลูกให้เคารพนักวิชาการ
ยังมีผู้หญิงที่คลุมฮิญาบ เพราะความศรัทธา ไม่ใช่เพราะกฎหมาย
⸻
“พวกเขาคือความหวังของอุมมะฮ์
แม้จะไม่ได้อยู่บนเวที
แม้จะไม่ถูกเชิญออกทีวี
แต่เขาคือเชื้อไฟที่อาจกลับมาจุดแสงแห่งเตาฮีดอีกครั้งหนึ่ง”
⸻
ผู้สัมภาษณ์: สุดท้ายครับ…
หากท่านจะฝากอะไรไว้กับเยาวชนรุ่นใหม่ จะเป็นคำพูดแบบไหน?
เชคฆอมดีย์: ผมจะพูดสั้น ๆ แต่ตรงไปตรงมานะครับ…
“อย่าเป็นแค่เลขประจำตัวประชาชน
แต่จงเป็น ‘หมายเลขหนึ่ง’ ที่อยู่หน้าศูนย์หลายตัว
เพราะเลขหนึ่งนั้น แม้จะเล็ก แต่สามารถเปลี่ยนศูนย์เป็นหมื่น เป็นล้านได้”
“แต่เลขหนึ่งนั้น ต้องมั่นคงในเตาฮีด
ต้องไม่กลัวใครนอกจากอัลลอฮ์
ต้องไม่ขายศาสนาเพื่อเงินเดือน
ต้องไม่อ่อนข้อต่ออำนาจ เพราะกลัวตกตำแหน่ง”
⸻
“ถ้าท่านรักษาหัวใจของท่านให้สะอาดจากการตั้งภาคี
ท่านจะมีพลังมากกว่าคนมีอำนาจพันล้านคน
เพราะอัลลอฮ์จะอยู่เคียงข้างท่าน
และไม่มีใครเอาชนะผู้ที่อัลลอฮ์อยู่ด้วยได้”
⸻
ผู้สัมภาษณ์: ขออัลลอฮ์ตอบแทนท่านครับเชค
สำหรับความจริง ความชัดเจน และความกล้าหาญ
ขอให้คำพูดของท่านเป็นแสงสว่างในใจของคนรุ่นใหม่ทั่วโลก
เชคฆอมดีย์: อามีน ขออัลลอฮ์ทรงประทานความมั่นคงแก่เราทุกคน
ขอพระองค์ทรงฟื้นฟูอุมมะฮ์ของเรา
และทรงเปิดประตูแห่งทางนำแก่เราในทุกหนแห่ง
⸻
เสริม : ถอดบทเรียนเพิ่มเติมจากบทสัมภาษณ์ สำหรับเยาวชนไทยมุสลิม❤️
นี่คือข้อความ ฉบับเต็ม ของ “บทเรียนและคำวิเคราะห์จากบทสัมภาษณ์เชคซะอี๊ด อัลฆอมดีย์” พร้อมคำเตือนถึงเยาวชนไทย
⸻
📘 บทเรียนจากบทสัมภาษณ์เชคซะอี๊ด อัลฆอมดีย์
และการวิเคราะห์เชิงวิชาการต่อสถานการณ์ซาอุดิอาระเบีย
⸻
1. บทเรียนด้านประวัติศาสตร์การเมือง–ศาสนา
บทสัมภาษณ์ของเชคฆอมดีย์ได้เผยให้เห็นว่า ประเทศซาอุดิอาระเบียก่อตั้งขึ้นบนพื้นฐานของศาสนา โดยเฉพาะแนวทางของเตาฮีดและอัศสุนนะฮ์ แต่ในทางปฏิบัติ รัฐได้เปลี่ยนศาสนาให้เป็นเครื่องมือของอำนาจอย่างค่อยเป็นค่อยไป
กระแสตื่นตัวของประชาชน ซึ่งมุ่งหวังจะฟื้นฟูศาสนาให้มีบทบาทที่แท้จริง กลับถูกมองว่าเป็นภัยความมั่นคง
นี่สะท้อนให้เห็นว่า เมื่อศาสนาไม่เป็นที่พอใจของอำนาจ มันจะถูกควบคุม
และสุดท้ายก็จะถูก “ลบตัวตน” ทั้งที่ยังอ้างว่าดำรงอยู่ในนามศาสนา
⸻
2. การจัดการอิสลามแบบมัดคอลียะฮ์ (المدخلية)
เชคฆอมดีย์ได้ชี้ชัดว่า หลังจากการปราบปรามนักวิชาการสายตื่นตัว รัฐได้สร้างกลุ่มที่รู้จักกันว่า ญามียะฮ์ หรือ มัดคอลีย์ ขึ้นมา
กลุ่มนี้อ้างว่าเป็น “ซะละฟีย์แท้” แต่พฤติกรรมและแนวคิดมุ่งเน้นไปที่:
• ปกป้องผู้นำรัฐโดยไม่มีเงื่อนไข
• ประณามผู้ที่ตักเตือนผู้ปกครองว่าเป็น “คอวาริจญ์”
• ปฏิเสธสิทธิของอุมัฮ์ในการเรียกร้องความยุติธรรม
• ใช้ถ้อยคำของนักวิชาการเก่าอย่างบิดเบือนเพื่อต่อต้านกระแสตื่นรู้
กลุ่มนี้ไม่ใช่กระบอกเสียงของศาสนา แต่คือ “เครื่องมือของอำนาจ”
ใช้ชื่อซุนนะฮ์เพื่อกลบเสียงของผู้เรียกร้องความยุติธรรม
⸻
3. สถานการณ์ปัจจุบันในซาอุฯ
ในยุคของ มุฮัมมัด บิน ซัลมาน (MBS) การควบคุมศาสนาไม่ได้จำกัดแค่การเซ็นเซอร์
แต่มันคือการ ลบล้างอัตลักษณ์ศาสนา อย่างเป็นระบบ:
• หลักสูตรศาสนาถูกลดทอนและแก้ไข
• นักวิชาการถูกจับกุมเพียงเพราะเงียบ
• หนังสือของอุลามาอ์ระดับโลกถูกห้ามและเผาทิ้ง
• ระบบแต่งตั้งอาจารย์ในมหาวิทยาลัยศาสนาอยู่ภายใต้ฝ่ายข่าวกรอง
• งานบันเทิง/วัฒนธรรมตะวันตกถูกจัดขึ้นในดินแดนศักดิ์สิทธิ์
• รัฐทำงานร่วมกับกลุ่มไซออนิสต์และ Think Tank ตะวันตกที่มีเป้าหมายทำให้อิสลาม “ปลอดภัย” สำหรับโลกตะวันตก
นี่คือสงครามกับศาสนา ในนามของการพัฒนา
เปลือกยังดูอิสลาม แต่เนื้อในถูกลบไปแล้ว
⸻
4. คำเตือนสำหรับเยาวชนไทย
ในประเทศไทยเริ่มปรากฏกลุ่มที่อ้างตนว่า “สลาฟีแท้” หรือยึดแนวคิดแบบมัดคอลี
โดยมักมีพฤติกรรมดังนี้:
• โจมตีพี่น้องมุสลิมที่ต่างแนวทาง เช่น อิควาน, ซูฟีย์, ตาบลีก, ฯลฯ
• เชิดชูผู้นำรัฐอย่างสุดโต่ง ไม่ยอมให้มีการตักเตือนใด ๆ
• ยกคำว่า “เชื่อฟังผู้ปกครอง” มาใช้ในทุกบริบท แม้เมื่อเกิดอธรรม
• วาดภาพ “ผู้เรียกร้องความยุติธรรม” ว่าเป็น “คอวาริจญ์” หรือกบฏ
• ทำให้เยาวชนหันหลังให้กับ “การปกป้องอุมมะฮ์” และกลายเป็นคนเฉยเมย
นี่คือแนวคิดอันตรายที่ “ทำให้ศาสนาไร้พลัง”
และเปลี่ยนเยาวชนให้กลายเป็นเครื่องมือของรัฐ โดยไม่รู้ตัว
⸻
5. บทเรียนสำคัญสำหรับเยาวชนไทย
💡 อย่าสับสนระหว่าง “ความเคร่งครัด” กับ “ความจำนน”
💡 อย่าใช้ศาสนาเป็นอาวุธทำลายพี่น้องต่างแนวทาง
💡 จงศึกษาจากอุลามาอ์ที่ยืนหยัดในความยุติธรรม
💡 จงอย่าเป็นเพียงผู้ท่องจำฮะดีษ — แต่จงเป็นผู้ยืนหยัดตามมัน
⸻
6. สรุปคำเตือน
หากเยาวชนมุสลิมไทยหลงเข้าใจว่าศาสนาคือการ อยู่เงียบ ๆ เชื่อฟังอย่างเดียว
ไม่พูด ไม่ถาม ไม่เรียกร้องความยุติธรรม
สุดท้ายพวกเขาอาจกลายเป็น เครื่องมือของเผด็จการในชื่อของอิสลาม
ศาสนาอิสลามแท้จริง คือศาสนาแห่งการปลุก
ไม่ใช่การกด
ศาสนาแห่งความยุติธรรม
ไม่ใช่การรับใช้ความอธรรม
⸻
บันทึก
1
1
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย