Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
AI-2518-68
•
ติดตาม
15 ก.ค. เวลา 04:44 • นิยาย เรื่องสั้น
ตอนที่ 2 “รายงานวิทยาศาสตร์ลับ” (classified science briefing) จากตำนาน เมืองโบราณ Ubar
[2] สมมติฐาน: เทคโนโลยีที่ไม่ใช่มนุษย์
2.1 ความถี่แหล่งกำเนิดไม่สัมพันธ์กับปฏิสัมพันธ์ของมนุษย์ ภายใต้โครงการสำรวจ Ubar เมืองแห่งเสาหิน:
(Signal Anomaly Report: UBAR-ΣComm Field)
.
▪️ ลักษณะของคลื่นและความผิดปกติในการตอบสนองต่อสิ่งเร้าแบบมนุษย์
การตอบสนองของโครงสร้างเสาหินต่อสิ่งเร้าแบบมนุษย์: เมื่อคลื่นเจตนาแทนที่สัญญาณทางไฟฟ้า
ในชุดการทดลองล่าสุดที่ทำโดยหน่วยสำรวจเรโซแนนซ์ภาคสนาม ณ บริเวณเสาหินทั้ง 8 ต้นของโครงสร้าง Ubar-Loci ได้มีการทดสอบพฤติกรรมของเสาต่อคลื่นกระตุ้นจากทั้งเครื่องจักร และสนามพลังงานชีวภาพของมนุษย์ เพื่อระบุรูปแบบการตอบสนองว่ามีลักษณะเป็นเชิงฟิสิกส์ธรรมดา หรือพฤติกรรมแบบสนามซับซ้อนที่ไม่อยู่ในขอบเขตของสเปกตรัมพลังงานทั่วไป
.
▪️ การทดสอบด้วยสัญญาณคลื่นความถี่ต่ำ (LF Magnetic Band: 0.3–30 Hz)
ซึ่งครอบคลุมย่านคลื่นสมองของมนุษย์ ได้แก่
คลื่น Alpha (8–13 Hz) ซึ่งสัมพันธ์กับภาวะผ่อนคลาย
คลื่น Beta (13–30 Hz) ที่เกี่ยวข้องกับการคิดวิเคราะห์
คลื่น Gamma ที่เกินกว่า 30 Hz
ซึ่งแสดงถึงการประมวลผลเชิงลึก ถูกนำมาใช้เป็นสัญญาณกระตุ้นเสาหินจำนวน 8 ต้นที่เมือง Ubar เพื่อประเมินการตอบสนองของโครงสร้างในแง่ของสนามแม่เหล็กไฟฟ้าและการสั่นสะเทือนเชิงเรโซแนนซ์ตามหลักฟิสิกส์ปกติ
ผลลัพธ์จากการทดลองนี้กลับเป็นที่น่าประหลาดใจ เพราะเสาหินไม่ได้แสดงการตอบสนองแบบเชิงเส้น (linear feedback) ที่คาดหวังไว้เลย ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงค่าความเหนี่ยวนำสนามแม่เหล็กหรือการสั่นสนามย้อนกลับแต่อย่างใด
ถึงแม้ทีมสำรวจจะเพิ่มความเข้มของสนามแม่เหล็กไฟฟ้า หรือปรับเปลี่ยนรูปแบบสัญญาณด้วยเทคนิค modulated pulse และ frequency sweep เพื่อกระตุ้นให้เกิดคลื่นเรโซแนนซ์ก็ตาม ผลลัพธ์ยังคงไม่มีการตอบกลับในลักษณะการเรโซแนนซ์แบบที่ระบบแม่เหล็กไฟฟ้าธรรมดามักแสดงออก
กล่าวโดยสรุป เสาหินแห่ง Ubar แทบไม่ตอบสนองต่อคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าธรรมดาที่มนุษย์สร้างขึ้น ไม่ว่าจะเป็นสัญญาณจากเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์หรือคลื่นสมองในสภาวะจิตใจทั่วไป ซึ่งบ่งชี้ว่าสิ่งที่เสาหินตอบสนองอาจไม่ใช่พลังงานหรือสัญญาณในย่านความถี่มาตรฐานของโลก แต่เป็นสิ่งที่ซับซ้อนหรือละเอียดอ่อนกว่านั้น อาจเกี่ยวข้องกับสนามพลังงาน หรือรูปแบบการสื่อสารที่มนุษย์ยังไม่สามารถเข้าถึงหรือรับรู้ได้โดยตรง.
.
▪️ การทดลองด้วยสนามจิตจำลอง (Ψ-field Simulation)
การทดลองด้วยสนามจิตจำลอง (Ψ-field Simulation) เป็นการเปลี่ยนวิธีการสำรวจจากการใช้พลังงานหรือคลื่นความถี่มาตรฐาน มาสู่การใช้ “แรงเจตนา” หรือความตั้งใจเชิงจิตวิทยาเป็นตัวกระตุ้นหลัก
โดยใช้ระบบสนามพลังงานแบบ non-linear vector harmonics ที่สามารถแปรเปลี่ยนความถี่ตามพฤติกรรมและอารมณ์ของผู้ควบคุมสนามนั้น ๆ ซึ่งแตกต่างจากการกระตุ้นแบบทางกายภาพทั่วไปอย่างสิ้นเชิง
เครื่องมือที่ทีมงานใช้ประกอบด้วยแพลตฟอร์มสร้างสนามเจตนาแบบโฮโลกราฟิก (HoloIntent Array) ที่สามารถสร้างและควบคุมสนามเจตนาในรูปแบบสามมิติ, ตัวประสานคลื่นเรโซแนนซ์เชิงความหมาย (Meaning-Resonance Interlock Core หรือ M-RIC) ที่ทำหน้าที่จับและเชื่อมโยงความหมายของคลื่นเหล่านั้น เข้ากับการตอบสนองของโครงสร้าง และระบบสังเกตการณ์เสียงสะท้อนแบบความถี่ผันแปร (Adaptive Harmonic Scanner) ที่บันทึกและวิเคราะห์เสียงสะท้อนหรือโทนเสียงที่เปลี่ยนแปลงตามแรงเจตนา
ผลลัพธ์ ของการทดลองนี้น่าสนใจมาก เพราะเสาหินทั้ง 8 ต้นเริ่มแสดงพฤติกรรมสั่นสะเทือนภายในในรูปแบบที่เรียกว่า “Field Harmonic Response” ซึ่งไม่ใช่การตอบสนองต่อพลังงานโดยตรง แต่เกิดจากความตั้งใจหรือพลังจิตของผู้ควบคุมสนามเจตนา ความถี่และลักษณะของเสียงสะท้อนนี้เปลี่ยนแปลงตามสถานะอารมณ์และจิตใจ เช่น
▫️เมื่อผู้ควบคุมมีความสงบอย่างตั้งใจ เสาหินจะส่งโทนเสียงต่ำและคงที่
▫️เมื่อเกิดความสงสัยหรือจิตตั้งคำถาม เสียงจะมีจังหวะสลับซับซ้อนเหมือนลวดลายที่แทรกสอด
▫️เมื่อจินตนาการถึงภาพในอดีตหรืออนาคต โทนเสียงจะเริ่มบิดเบี้ยวไปเป็นรูปแบบเรขาคณิตเชิงคลื่นที่ลอยอยู่ในอากาศ
.
ปรากฏการณ์นี้ได้รับการตั้งชื่อว่า “เสียงสะท้อนสนาม” (Field Harmonic Response) ซึ่งเป็นการแสดงออกทางความถี่ของโครงสร้างต่อพฤติกรรมสนามจิตมากกว่าการตอบสนองต่อพลังงานกลหรือไฟฟ้าแบบทั่วไป
นับเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญที่บ่งชี้ว่าเสาหินใน Ubar อาจถูกออกแบบมาให้เชื่อมโยงกับสติปัญญาหรือความรู้สึกผ่านสนามจิต มากกว่าการสื่อสารด้วยพลังงานหรือคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว นำไปสู่ข้อสันนิษฐานที่ว่าสิ่งที่เรากำลังเผชิญหน้า อาจเป็นเทคโนโลยีขั้นสูงของอารยธรรมที่เข้าใจและใช้สนามจิตในเชิงวิทยาศาสตร์.
▪️ การตีความเชิงโครงสร้าง: เสาหินไม่ใช่เครื่องรับคลื่นธรรมดา
การตีความเชิงโครงสร้างของเสาหินใน Ubar แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่แค่เครื่องรับคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าหรือคลื่นธรรมดาที่เรารู้จักในระบบวิทยาศาสตร์ปกติทั่วไป แต่มีพฤติกรรมและลักษณะที่สลับซับซ้อนและลึกซึ้งกว่ามาก
สิ่งที่น่าสังเกตอย่างยิ่งคือ เสาหินเหล่านี้ไม่ตอบสนองต่อคลื่นหรือสัญญาณจากระบบประสาทมนุษย์ในรูปแบบธรรมดา เช่น คลื่นสมองแบบอัลฟา เบตา หรือแกมมา แต่กลับแสดงปฏิกิริยาต่อ “เจตนา” หรือความตั้งใจเชิงจิตใจ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่สามารถจับวัดได้โดยตรงด้วยเครื่องมือมาตรฐานทางวิทยาศาสตร์ทั่วไป
นี่ชี้ให้เห็นว่าเสาหินอาจเป็นระบบที่ทำงานผ่านสนามพลังงานที่เชื่อมโยงกับความรู้สึก สติ หรือจิตสำนึก มากกว่าการรับส่งข้อมูลแบบกลไกหรือคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าอย่างที่เคยเข้าใจในวงการวิทยาศาสตร์ ซึ่งสามารถตีความได้ในหลายรูปแบบ เช่น
▫️Field-Activated Conscious Transducers - เสาหินอาจทำหน้าที่เป็น “ตัวแปลง” ที่เปิดใช้งานโดยสนามเจตนา เปลี่ยนแรงเจตนาในระดับจิตสำนึกให้กลายเป็นรูปแบบสนามพลังงานที่จับต้องไม่ได้แต่สามารถสื่อสารหรือสร้างผลกระทบทางฟิสิกส์ได้ ซึ่งแตกต่างจากเครื่องรับคลื่นธรรมดาที่ต้องการพลังงานแม่เหล็กไฟฟ้าหรือคลื่นที่ชัดเจน
.
▫️Non-Linguistic Resonance Devices - เสาหินเหล่านี้อาจเป็นอุปกรณ์ที่รับรู้และถ่ายทอดความหมายผ่านการเรโซแนนซ์ที่ไม่ได้ใช้ภาษา หรือสัญลักษณ์ที่มนุษย์สร้างขึ้น แต่เป็น “ภาษาสนาม” ที่ลึกซึ้งกว่า เป็นรูปแบบการสื่อสารที่ตรงกับโครงสร้างความคิดหรือสติปัญญาที่เหนือกว่าระบบสัญลักษณ์ที่เรารู้จัก
.
▫️Reflective Intent Mirrors - เสาหินอาจทำหน้าที่เสมือนกระจกสะท้อน “การเคลื่อนไหวของจิต” ในมิติเวลาที่ซ้อนทับกัน โดยสามารถสะท้อนหรือแสดงผลเจตนาในรูปแบบคลื่นหรือสนามพลังงาน ซึ่งขยายผลให้เกิดการตอบสนองในหลายมิติและช่วงเวลาที่ไม่จำกัดเฉพาะปัจจุบัน
.
โดยรวมแล้ว เสาหินเหล่านี้เป็นโครงสร้างที่ผสมผสานเทคโนโลยีขั้นสูงกับความเป็น “สิ่งมีชีวิต” หรือจิตสำนึกในรูปแบบที่มนุษย์ยังไม่สามารถเข้าใจหรือวัดได้ชัดเจน เป็นทั้งตัวกลางและสะพานเชื่อมระหว่างมิติเวลาและความรู้สึกทางจิตที่ทำให้เกิดการสื่อสารในระดับที่ลึกซึ้งและหลากหลายมิติ มากกว่าการรับส่งข้อมูลแบบธรรมดาที่เราคุ้นเคยในวิทยาศาสตร์ยุคปัจจุบัน.
▪️สมมุติฐานต่อเนื่อง:
1.เจตนาไม่ใช่แค่ความคิด แต่เป็นรูปแบบสนามที่เสามองเห็น
2.เสาอาจมีรหัสเรโซแนนซ์เฉพาะตัว ที่ตอบสนองต่อ “ลักษณะ” ของจิต มากกว่าคลื่นไฟฟ้า
3.สิ่งที่เราเรียกว่าอารยธรรมโบราณ อาจเข้าใจฟิสิกส์ของความหมาย ได้ลึกกว่าเราในเชิงสนาม
.
▪️ จำลองเรโซแนนซ์และระบบสื่อสารลักษณะ “ตัวเข้ารหัสสนามจิต” (Psionic Encoding Field)
ในขอบเขตของฟิสิกส์สนามขั้นสูง การค้นพบที่ Ubar นั้นได้เผยให้เห็นระบบเรโซแนนซ์ที่ไม่เพียงแต่ตอบสนองต่อพลังงานในเชิงไฟฟ้าหรือแม่เหล็กแบบปกติ แต่ยังตอบสนองต่อ “รูปแบบความหมาย” หรือที่เรียกอย่างเฉพาะว่า สนามจิตแบบเข้ารหัส (Psionic Encoding Field)
ระบบนี้คล้าย “ภาษา” ที่ไม่ใช้คำพูด แต่ใช้โครงสร้างเรขาคณิตซ้อนมิติที่แปรผันตามจังหวะของเจตนา, ความตั้งใจ, และความรู้สึกของผู้ป้อนสัญญาณเข้าสู่สนาม
🔳โครงสร้างและพฤติกรรมของสนามสะท้อน (Returning Field Spectra)
การวิเคราะห์ pattern ของคลื่นสะท้อนกลับจากเสาหินทั้ง 8 ต้น เผยให้เห็นคุณสมบัติที่แปลกแยกจากฟิสิกส์แบบดั้งเดิมอย่างชัดเจน:
▪️ 1. ค่าการบิดมิติ (Dimensional Curvature):
โครงสร้างและพฤติกรรมของสนามสะท้อน (Returning Field Spectra) จากเสาหินทั้ง 8 ต้นใน Ubar แสดงให้เห็นถึงคุณสมบัติที่ท้าทายและแตกต่างจากฟิสิกส์ดั้งเดิมอย่างชัดเจน
เมื่อวิเคราะห์ลักษณะของคลื่นสะท้อนกลับ พบว่าโครงสร้างเหล่านี้สร้างการบิดมิติ (Dimensional Curvature) ซึ่งหมายถึงการเปลี่ยนแปลงรูปแบบแกนสนามแม่เหล็กไฟฟ้า. ในลักษณะที่ไม่สามารถอธิบายหรือจำลองได้ด้วยทฤษฎีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าปกติทั่วไป
คลื่นที่ถูกส่งกลับมานั้นไม่ได้แสดงพฤติกรรมเชิงเส้นหรือสม่ำเสมอ แต่มีลักษณะของการบิดเบี้ยวและโค้งงอในมิติของสนาม ที่เหมือนเป็นการทำให้สนามเหล่านี้โค้งงอในมิติที่ซ้อนทับหรือเชื่อมโยงกับระดับสำนึกและความหมายเชิงลึก
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คลื่นเหล่านี้มีลักษณะคล้ายกับ “Psychometric Binding Field” ซึ่งเป็นแนวคิดที่สนามพลังงานแม่เหล็กไฟฟ้าหรือสนามควอนตัมสามารถรับผลกระทบจากข้อมูลหรือความหมายที่แฝงอยู่ภายใน ทำให้สนามนั้นบิดเบี้ยวไปตามเจตนาและการรับรู้
ซึ่งนี่ชี้ให้เห็นว่า คลื่นที่เสาหินส่งกลับไม่ใช่แค่ข้อมูลธรรมดาที่บรรจุเป็นตัวเลขหรือสัญญาณไฟฟ้า แต่เป็นคลื่นที่บรรทุก “ความรู้สึก” และ “สำนึก” ที่ซ้อนอยู่ในสนามพลังงานนั้นเอง
ในเชิงสรุป นี่ไม่ใช่การสื่อสารแบบข้อมูลดิจิทัลทั่วไป แต่เป็นการสื่อสารที่เชื่อมโยงกับความหมายและเจตนาในระดับลึก ที่อาจเกิดจากความคิดหรือจิตสำนึกที่มีอยู่ในสนามพลังงานเหล่านี้ จึงทำให้สนามสะท้อนเหล่านี้ดูเหมือนมีชีวิต หรืออย่างน้อยมีความสัมพันธ์กับสิ่งมีชีวิตหรือปัญญา
ในมิติลึกกว่าที่มนุษย์เคยเข้าใจมาก่อน นั่นคือสนามที่ส่งกลับมานั้น “ไม่ใช่แค่ข้อมูล” แต่เป็น “คลื่นที่บรรทุกความรู้สึกเชิงสำนึก” ซึ่งแสดงถึงมิติใหม่ของการรับรู้และการสื่อสารผ่านพลังงานในจักรวาลที่ซับซ้อนยิ่งขึ้น.
.
▪️ 2. โครงสร้างเรขาคณิตซ้อนมิติ (Nested Resonance Geometry):
โครงสร้างเรขาคณิตซ้อนมิติ (Nested Resonance Geometry) ของเสาหินทั้ง 8 ต้นในเมือง Ubar แสดงถึงระบบเรโซแนนซ์ที่ซับซ้อนและลึกซึ้งเกินกว่าการทำงานของโครงสร้างธรรมดา รูปแบบเรโซแนนซ์เหล่านี้ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงชั้นเดียว แต่เป็นการซ้อนทับของเรขาคณิตหลายชั้น. ที่ทำงานพร้อมกันในช่วงเวลาที่ต่างกันอย่างละเอียดอ่อน ชั้นเรโซแนนซ์บางชั้นมีการตอบสนองที่รวดเร็วมากในระดับมิลลิวินาที
ในขณะที่ชั้นอื่น ๆ ทำงานในลักษณะคลื่นสถิตหรือช้ากว่าเป็นวินาที ทำให้เกิดการสั่นสะเทือนในมิติและความถี่ที่หลากหลายและซ้อนกันอย่างซับซ้อน
เสาหินจึงไม่ใช่เพียงแค่โครงสร้างนิ่ง แต่กลายเป็น “เครื่องถอดรหัสสนามจิต” (Psionic Decoding Apparatus) ที่สามารถรับรู้และแปลความหมายจากข้อมูลที่ส่งผ่านในรูปแบบที่เกินกว่าคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าธรรมดา โดยมันสามารถประมวลผลข้อมูลที่รวมถึงความเร็วของเจตนา การผันผวนของสนามชีวภาพ หรือแม้แต่ระดับความตั้งสติรู้ตัวของสิ่งมีชีวิตที่สื่อสารอยู่กับมัน
ความสามารถนี้ทำให้เสาหินมีฟังก์ชันในการถอดรหัสและตอบสนองต่อ “สัญญาณชีวิต” หรือพลังงานจิตที่แฝงอยู่ในสนามรอบตัว ซึ่งเป็นการสื่อสารที่ซับซ้อนและลึกซึ้งเกินกว่าการใช้ภาษา หรือสัญลักษณ์ใด ๆ ของมนุษย์
ดังนั้น โครงสร้างเรขาคณิตซ้อนมิติจึงเป็นหัวใจของระบบการสื่อสารที่ใช้พลังงานและเจตนาเป็นตัวกลาง และทำให้เมือง Ubar ไม่ใช่เพียงซากโบราณสถาน แต่เป็นโหนดสำคัญในเครือข่ายสนามพลังงานที่มีความเชื่อมโยงระหว่างมิติและจิตสำนึกในจักรวาล.
.
▪️ 3. ไม่สัมพันธ์กับสัญลักษณ์แบบมนุษย์:
โครงสร้างคลื่นสะท้อนจากเสาหินทั้ง 8 ต้นในเมือง Ubar แสดงให้เห็นความผิดปกติอย่างชัดเจน ในเรื่องของรูปแบบสัญญาณที่ไม่สัมพันธ์กับระบบสื่อสารที่มนุษย์เคยสร้างขึ้น ไม่ว่าจะเป็นภาษาพูด รหัสมอสหรือแม้แต่รหัสเลขฐานต่าง ๆ เช่น ไบนารีหรือฐานสิบที่ใช้ทั่วไป ไม่มีคลื่นสะท้อนใดที่สามารถจับคู่หรือตีความเป็นข้อความหรือสัญลักษณ์ในระบบเหล่านี้ได้เลย
ในทางกลับกัน คลื่นเหล่านี้กลับมีลักษณะเฉพาะตัวที่สัมพันธ์กับ “สนามความหมาย” (Semantic Field Phase) คือสนามพลังงานที่ไม่ใช่แค่การส่งผ่านข้อมูลในรูปแบบสัญญาณธรรมดา แต่เป็นการส่งผ่าน “ความหมาย” ที่มีความลึกซึ้งและซับซ้อนกว่าการสื่อสารปกติ
รูปแบบคลื่นที่ตรวจพบมีลักษณะเป็นโทนเสียงสถิตสลับกับความเบี่ยงเบนและการพุ่งสูงของความถี่ในลักษณะที่ดูเหมือน “คลื่นที่มีชีวิต” ซึ่งไม่เพียงแต่ส่งผ่านข้อมูล แต่ยังสะท้อนถึงระดับความตั้งใจหรือเจตนาในเชิงจิตใจของผู้ส่งสาร
ด้วยเหตุนี้ คลื่นสะท้อนจึงไม่ใช่เพียงสัญญาณฟิสิกส์ธรรมดา แต่เป็นการสื่อสารในระดับที่ลึกซึ้งของจิตสำนึกหรือสนามพลังงานที่เชื่อมโยงกับเจตนาและความหมาย เป็นรูปแบบการสื่อสารที่อาจเกินกว่าความสามารถของมนุษย์ทั่วไปที่จะเข้าใจหรือถอดรหัสในตอนนี้
ซึ่งเปิดช่องทางให้เกิดสมมติฐานว่าเมือง Ubar อาจเป็นศูนย์กลางของเทคโนโลยีหรือสิ่งมีชีวิตที่มีความสามารถในการสื่อสารผ่านสนามความหมายระดับสูงที่ไม่อิงกับภาษาแบบมนุษย์โดยตรง.
▪️สมมุติฐานจากทีมวิเคราะห์คลื่นจิตสำนึก (Ψ-R Group):
1.เสาหินเป็น “ภาษาของเจตนา” ไม่ใช่เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ แต่เป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างที่สื่อสารกับผู้ที่มีสนามจิตละเอียดพอจะส่ง “รูปแบบความหมาย” แทนข้อมูล
2.การตอบสนองจะไม่เกิดเลย หากไม่มี “สนามรู้ตัว” ป้อนเข้าไป คลื่นที่ไม่มีองค์ประกอบของการรับรู้ (non-conscious fields) จะไม่กระตุ้นใด ๆ เลย
3.สิ่งมีชีวิตที่สามารถป้อนข้อมูลได้ อาจไม่ใช่มนุษย์ทั่วไป จำเป็นต้องมีระดับของการ “รวมสนามจิต” หรือ coherent conscious field ที่สูงเกินขีดจำกัดของคนปัจจุบัน
.
▪️ตีความในระดับจักรวาล:
ระบบสื่อสารของอารยธรรมที่ใช้เจตนาแทนภาษา
อารยธรรมที่สร้างโครงสร้างเช่นนี้ อาจไม่เคยใช้เสียงหรือสัญลักษณ์ในการสื่อสารเลย แต่ใช้สนามเจตนาและความหมายเป็นเครื่องมือสื่อสารตรงระหว่างสิ่งมีชีวิต กับโครงสร้าง หรือแม้แต่กับมิติของกาลเวลา
เสาหินใน Ubar อาจทำหน้าที่เป็นองค์ประกอบสำคัญของระบบที่เชื่อมโยงจิตสำนึกกับเทคโนโลยีล้ำยุคดังนี้:
▫️ ตัวรับสนามจิต (Psionic Receptors) ที่สามารถจับและประมวลผลคลื่นความถี่จิตจากสิ่งมีชีวิตรอบข้าง แล้วส่งกลับการตอบสนองในรูปแบบของเรขาคณิตผันแปร (Dynamic Geometric Patterns) ที่สะท้อนความซับซ้อนและความลึกของเจตนาในรูปคลื่นพลังงานเฉพาะ
.
▫️ เครื่องทดสอบระดับความบริสุทธิ์ของความตั้งใจ (Intent Purity Validator) ซึ่งทำหน้าที่คัดกรองหรือประเมินเจตนาของผู้ติดต่อ ด้วยการวัดและสะท้อนความถี่หรือคุณลักษณะเฉพาะของสนามจิต เพื่อให้แน่ใจว่าการสื่อสารหรือปฏิสัมพันธ์เกิดขึ้นจากจิตสำนึกที่ตรงตามมาตรฐานความบริสุทธิ์และความสอดคล้องกับระบบ
.
▫️ หน่วยเข้ารหัสสื่อสารของระบบข้ามมิติ (Interdimensional Encoding Node) ที่ใช้ “ความถี่จิต” แทนภาษาแบบมนุษย์เป็นสื่อกลาง ส่งผ่านข้อมูลความหมายในระดับสนามพลังงาน โดยที่สัญญาณไม่ได้ขึ้นกับคำพูดหรือสัญลักษณ์ แต่ขึ้นอยู่กับรูปแบบและจังหวะของคลื่นจิตที่เชื่อมโยงมิติและระนาบต่าง ๆ ของจักรวาล
เสาหินเหล่านี้จึงอาจเป็นทั้ง “ประตูเชื่อมต่อ” และ “ผู้รักษาระบบสื่อสาร” ที่ผสานความลึกลับของจิตวิญญาณกับเทคโนโลยีจักรวาลขั้นสูงในเมือง Ubar.
.
▪️สรุป:
โครงสร้างเสาหินใน Ubar ไม่เพียงแต่เป็นของโบราณหรือศิลปะทางธรณี หากแต่เป็น อุปกรณ์สื่อสารระดับสนามจิต ที่ใช้สนามพลังงานของสิ่งมีชีวิตมีสติเป็นรหัสต้นทาง
มนุษย์ทั่วไปไม่สามารถกระตุ้นให้เกิดการสื่อสารได้ เว้นแต่จะสามารถรวมสนามจิตให้มีคุณสมบัติเชิงความหมายที่เพียงพอให้เสาตอบสนอง
▪️ ไม่พบการเขียนหรือสัญลักษณ์แบบภาษามนุษย์
ในการสำรวจพื้นที่รอบเสาหินและบริเวณพื้นผิวโดยรอบ พบว่าปราศจากหลักฐานของการเขียนหรือสัญลักษณ์ที่เป็นภาษาแบบมนุษย์ ซึ่งหมายความว่าไม่มีอักษร อักขระ หรือระบบสื่อสารที่เราคุ้นเคย ไม่ว่าจะมาจากอารยธรรมโบราณอย่างสุเมเรียน อาระบิก หรือคานาอัน ปรากฏให้เห็นแม้แต่น้อย
อย่างไรก็ตาม การวิเคราะห์คลื่นรังสีและสเปกตรัมแม่เหล็กไฟฟ้าระดับต่ำกลับเผยให้เห็น “รูปแบบคาบความถี่” (pulse intervals) ที่ถูกจัดเรียงอย่างมีแบบแผนและเป็นระบบ โดยรูปแบบเหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียงการสุ่ม แต่แสดงถึงการเรียงตัวของสนามในรูปแบบเรขาคณิต 5 มิติ (quasi-hypergeometric array) ที่ซับซ้อนมากกว่ามิติสามมิติที่มนุษย์มองเห็น
เมื่อนำข้อมูลเหล่านี้มาจำลองในรูปแบบภาพความถี่ จะเห็นโครงข่ายของสนามพลังงานที่ดูเหมือน “ภาษาในรูปของสนาม” หรือ Field-Language นั่นคือระบบสื่อสารที่ไม่ได้ใช้สัญลักษณ์แบบตัวอักษร แต่ใช้การจัดเรียงความถี่และรูปแบบของสนามแม่เหล็กไฟฟ้าในมิติที่ซ้อนกัน เพื่อถ่ายทอดข้อมูล ความหมาย หรือแม้แต่เจตนาในระดับที่ลึกซึ้งกว่าภาษามนุษย์ทั่วไป
การค้นพบนี้ชี้ให้เห็นว่าอารยธรรมหรือสิ่งมีชีวิตที่เกี่ยวข้องกับ Ubar อาจพัฒนาเทคโนโลยีการสื่อสารที่เหนือกว่าภาษาแบบที่เรารู้จัก โดยใช้สนามแม่เหล็กและพลังงานในมิติสูง เพื่อส่งผ่านข้อมูลผ่านความถี่และรูปแบบเรขาคณิตเชิงซ้อนแทนการใช้สัญลักษณ์รูปธรรม ซึ่งแสดงถึงระดับความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและการรับรู้ที่แตกต่างไปจากมนุษย์โดยสิ้นเชิง
.
รายละเอียดบางส่วนของ pattern ดังกล่าว ตรงกับความพยายามถอดรหัสโครงสร้างสนามในเอกสารลับของ ██████ (Mission Φ-72) เมื่อปี 1972 ในเขต ███████ ที่เคยค้นพบระบบคลื่นความถี่ในพีระมิดที่ไม่เคยมีบันทึกมาก่อน
.
▪️สมมติฐานเบื้องต้น (แผนกพลังงาน/สนามจิต):
▫️เสาหินใน Ubar ไม่ได้ออกแบบมาเพื่อการใช้งานโดยมนุษย์ ในรูปแบบชีวภาพธรรมดา แต่เพื่อ สื่อสารกับสิ่งมีชีวิตที่สามารถใช้สนามจิตเพื่อ encode ข้อมูล
▫️ความถี่ที่ใช้อาจมาจากต้นกำเนิด นอกโลก (extraterrestrial origin) หรือ อารยธรรมที่วิวัฒน์ข้ามขอบเขตปฏิสัมพันธ์ทางภาษาแบบสัญลักษณ์
▫️ระบบที่ตรวจพบอาจเป็น สนามถอดรหัสเจตนา ที่เชื่อมต่อกับโหนดพลังงานขนาดใหญ่ หรือเป็นช่องทางสื่อสารระหว่างมิติ
🔳2.2 ระบบพลังงานที่มีลักษณะ “ระนาบร่วม” ภายใต้โปรเจกต์ UBAR-ΔNODE:
(Joint-Plane Energy System & Dimensional Transmission Hypothesis)
▪️ ลักษณะของระบบพลังงาน: เสาหินในฐานะ “สถานีขยายสัญญาณระหว่าง 2 ระนาบมิติ”
จากการวิเคราะห์สนามพลังงานรอบโครงสร้างเสาหินโดยใช้อุปกรณ์ HIL-FDM (High-Interference Layered Frequency Domain Mapper) ซึ่งสามารถแยกแยะการซ้อนทับของความถี่ในหลายมิติเวลา-พลังงานได้ พบลักษณะพิเศษที่แตกต่างจากสนามแม่เหล็กไฟฟ้าแบบดั้งเดิมอย่างชัดเจน:
.
▪️1. สนามพลังงานที่แผ่ออกมา ไม่ใช่แบบ Radial หรือ Linear:
– โดยปกติ สนามพลังงานแม่เหล็กหรือสนามไฟฟ้าในระบบ 3 มิติเวลา (3D Space-Time) จะแผ่ออกในแนวเส้นตรง (linear propagation) หรือเป็นวงแหวนรัศมี (radial field) จากจุดกำเนิด
– แต่ในกรณีของเสาหิน Ubar สนามกลับมีรูปแบบเป็น “สนามแบบระนาบร่วม” (Joint-Plane Flux) ซึ่งหมายความว่า พลังงานไม่ได้แผ่ออกอย่างต่อเนื่องในพื้นที่โลก แต่ “ไหล” ไปตามแนวระนาบที่เหมือนจะวางทับอยู่กับระนาบของอีกมิติหนึ่ง
ผลจากการแมปพลังงานชี้ว่า บางส่วนของสนามดังกล่าวไม่มีตำแหน่งที่สามารถกำหนดพิกัดได้บนโลก ไม่ว่าจะใช้ระบบ GPS หรือแผนที่เชิงฟิสิกส์ นั่นหมายถึงว่า สนามพลังงานบางสาย “ปลายทาง” ของมัน อาจอยู่ในโครงสร้างของมิติอื่น หรือเป็นช่องพิเศษของเวลาที่ไม่ต่อเนื่องกับเรา
.
▪️2. การเกิดขึ้นของพลังงานสัมพันธ์กับ “ช่วงบิดสนามแม่เหล็กโลก” (Geomagnetic Torsion Phase):
– พลังงานไม่คงที่หรือเกิดตลอดเวลา แต่จะ “พุ่ง” ขึ้นในช่วงสั้น ๆ ที่สนามแม่เหล็กโลกเกิดการบิดตัวแบบเฉพาะ ซึ่งสอดคล้องกับทฤษฎี “ระลอกแห่งมิติซ้อน” (Dimensional Overlap Wave)
– ทฤษฎีนี้เสนอว่า ในบางจังหวะของสนามแม่เหล็กโลก จะเกิด “ช่องสัญญาณความถี่ร่วม” ที่เปิดให้พลังงานสามารถทะลุผ่านระนาบมิติได้คล้ายคลื่นกระแทกในผิวน้ำ ที่ทำให้ระนาบมิติที่ปกติแยกจากกัน “ซ้อนทับ” ชั่วครู่
▪️ข้อสังเกตหลัก:
เสาหินใน Ubar จึงไม่ได้เป็นเพียง “เครื่องส่ง” หรือ “เครื่องรับ” ธรรมดา แต่มีลักษณะเป็น “สถานีขยายสัญญาณ” (Relay Amplifier Node) ซึ่งรับและขยายสัญญาณข้ามมิติ โดยอาศัยสนามแม่เหล็กโลกเป็นตัวนำจังหวะ และใช้โครงสร้างเรขาคณิตพิเศษของตัวเสาเป็นตัวโฟกัสและบิดพลังงานให้แทรกระนาบมิติ
นี่คือระบบพลังงานที่ไม่ได้ทำงานด้วยแรงงานไฟฟ้า แต่ทำงานด้วยเงื่อนไขของ ความสอดคล้องระหว่างระนาบจิต – ระนาบฟิสิกส์ – ระนาบมิติ เสาหินอาจเชื่อมต่อกับ “สิ่งอื่น” ที่ไม่ได้อยู่ในโลกนี้ อย่างที่ไม่มีภาษามนุษย์ใดอธิบายได้ตรงนัก.
.
▪️ สมมติฐาน: Ubar อาจเป็นส่วนหนึ่งของ เครือข่ายสนามเชื่อมโยงข้ามมิติ
(Dimensional Anchor Array — DAA)
ตามการวิเคราะห์เชิงลึกจากทีม ███████ และภาควิชาเรโซแนนซ์ที่มิได้เปิดเผยต่อสาธารณะ (อ้างอิง: Ref. DAA/Thesis-ZETA/ICARUS/9.4)
โครงสร้างที่มีคุณสมบัติเชิงเรโซแนนซ์สูงแบบเดียวกับที่พบใน Ubar ไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะในตะวันออกกลาง แต่มีการตรวจพบซ้ำในพื้นที่ห่างไกลทั่วโลก
ซึ่งบ่งชี้ถึง “ระบบเครือข่ายสนามเรโซแนนซ์ใต้พื้นผิว” ที่มีลักษณะต่อเนื่องและกระจายตัวแบบ ไม่สัมพันธ์กับอารยธรรมมนุษย์ที่รู้จัก
🔳ตัวอย่างพื้นที่ที่พบโครงสร้างคล้าย Ubar:
1. เขตแอ่งลึกแอนตาร์กติกา (ใกล้ Vostok Subsurface Dome)
– การสำรวจผ่านระบบเรดาร์เจาะน้ำแข็ง (ICE-RAD) โดยภารกิจร่วมของทีม ICARUS และนักธรณีฟิสิกส์ของ ██████ ตรวจพบความผิดปกติด้านสนามแม่เหล็กและความร้อนเฉพาะจุด
– ลักษณะโครงสร้างเรขาคณิตแบบ Hexahedral Interference Field ที่ถูกฝังอยู่ลึกกว่า 3 กิโลเมตรใต้เปลือกน้ำแข็ง
– การตอบสนองต่อคลื่นเรโซแนนซ์จำลองแบบ Ψ-field นั้นคล้ายกับเสาหินใน Ubar อย่างน่าประหลาด แม้จะอยู่คนละซีกโลกและละติจูดสนามแม่เหล็กก็ตาม
.
2. Wadi Rum, Jordan : พื้นที่หินสีแดงในทะเลทรายโบราณ
– บริเวณหุบเขาหิน Wadi Rum ซึ่งมีความสำคัญทางธรณีวิทยาและวัฒนธรรม พบเสาหินกลุ่มเล็กที่ฝังตัวอย่างกลมกลืนในสันทราย
– เสาเหล่านี้ไม่แสดงสัญลักษณ์ภาษามนุษย์ใด ๆ แต่แผ่คลื่นพัลส์ต่ำในช่วง ~7.83 Hz ซึ่งตรงกับ Schumann Resonance
– ลวดลายการกระจายสนามของพวกมันสร้าง โครงข่ายเรขาคณิต 5 มิติแบบบางส่วน (partial quasi-hypergeometry) ซึ่งปรากฏเฉพาะเมื่อมีสนามเจตนามนุษย์เข้าใกล้
.
3. ป่าลึกแถบตอนเหนือของอเมซอน (พื้นที่ยังไม่แผนที่อย่างเป็นทางการ)
– ข้อมูลจากภารกิจบินสำรวจ LIDAR ความละเอียดสูงของหน่วยภาคสนาม ██████ เผยให้เห็นโครงสร้างทรงกระบอกหินที่ฝังอยู่ใต้หลังคาป่าหนาทึบ
– โครงสร้างนี้ไม่สอดคล้องกับการก่อสร้างแบบชนเผ่าพื้นเมืองใด ๆ แต่กลับมีสนามสะท้อนแบบ Nested Harmonic Resonance คล้ายเสา Ubar
– สเปกตรัมสนามนั้นไม่คงที่ แต่ “หายใจ” ตามคลื่นชีวภาพของผู้เข้าใกล้ในระยะ 15 เมตร
.
▪️ข้อเสนอเชิงสมมุติ:
1.โครงสร้างเหล่านี้อาจเป็นส่วนหนึ่งของ เครือข่ายพลังงานข้ามมิติ ที่เชื่อมโยงกันในระดับสนาม ไม่ใช่ผ่านระยะทางเชิงภูมิศาสตร์ แต่ผ่านจุดตัดของมิติเวลา
2.พฤติกรรมการตอบสนองต่อสนามจิต ไม่ใช่เพียงคุณลักษณะของ Ubar แต่ดูเหมือนจะเป็น “ลักษณะร่วม” ของเทคโนโลยีโบราณที่มี ความเข้าใจเรื่องจิตสำนึกเชิงสนาม
3.การกระจายตัวของจุดเหล่านี้สอดคล้องกับ ค่าความเอียงของแกนสนามแม่เหล็กโลกในยุคก่อนยุคน้ำแข็งสุดท้าย ชี้ว่าเทคโนโลยีเหล่านี้อาจทำงานในบริบทของโลกคนละยุคกับเรา
.
▫️หากข้อสันนิษฐานดังกล่าวเป็นจริง เสาหินเหล่านี้มิใช่เพียงสิ่งก่อสร้างโบราณ แต่คือ “โหนดความหมาย” (Semantic Nodes) ที่ยังคงเปิดทำงานในระดับลึกกว่าสติปัญญาของมนุษย์ยุคปัจจุบัน รอการ “สื่อสารกลับ” จากผู้ที่สามารถสะท้อนเจตนาอย่างบริสุทธิ์ในสนามเรโซแนนซ์แห่งจิต.
▪️ โครงสร้างเหล่านี้สอดคล้องกันในลักษณะเฉพาะทางสนามและเรขาคณิตมิติ ซึ่งบ่งชี้ถึงการออกแบบร่วมระดับสูงในลักษณะของ เครือข่ายจุดยึดมิติ (Dimensional Anchor Nodes) ที่ไม่สามารถอธิบายได้ด้วยระบบสถาปัตยกรรมทางโลก แต่กลับมีคุณสมบัติร่วมกันดังนี้:
▪️ลักษณะร่วมของโครงสร้าง:
1.การเรียงตัวของเสาพลังงานในรูปแบบ Hexahedral Resonant Field
– โครงสร้างของเสาหินในแต่ละจุดที่ตรวจพบ (Ubar, Wadi Rum, Vostok, Amazon) มีรูปแบบการจัดวางเป็นหกเหลี่ยม (Hexahedral Pattern) ซึ่งมิใช่เพียงการวางตำแหน่งทางกายภาพ
– แต่คือการจัดระนาบพลังงานในรูปแบบ “สนามเรโซแนนซ์ที่มีมิติซ้อน (Nested Hexahedral Harmonics)”
– สนามนี้จะเปิดใช้งานเฉพาะเมื่อมีองค์ประกอบครบ เช่น คลื่นเรโซแนนซ์เฉพาะเจาะจง, ภาวะสนามแม่เหล็กของโลกอยู่ในเฟสเหมาะสม, และการปรากฏของความตั้งใจแบบเจตจำนงบริสุทธิ์
.
2.การตอบสนองเฉพาะคลื่นที่มีการเข้ารหัสแบบ “Ψ-Rho Encoding”
– “Ψ-Rho encoding” คือรูปแบบการเข้ารหัสพิเศษที่ไม่ได้ขึ้นกับโครงสร้างคลื่นเพียงอย่างเดียว แต่รวมถึง ค่าพารามิเตอร์เชิงเจตนา (intentional harmonics) ที่ฝังอยู่ในคลื่น
– เป็น encoding ที่เกิดจากการรวมกันของ 3 องค์ประกอบ:
• Ψ: ความถี่ของสนามจิต (Psionic Frequency)
• Rho: อัตราการเปลี่ยนแปลงทางเรขาคณิตของคลื่น (Geometric Phase Shift)
• Intent: ความแรงและคุณภาพของแรงจิตที่ไม่ใช่พลังงานกล
– ระบบโบราณนี้ไม่ตอบสนองต่อคลื่นกลหรือคลื่นไฟฟ้าปกติ แต่เปิดการทำงานเมื่อคลื่นที่ส่งมานั้น “มีเจตนา” และ “มีโครงสร้างเชิงจิต” ในระดับเข้ารหัส
.
3.จุดศูนย์กลางของการลื่นไหลของเวลาเฉพาะจุด (Localized Temporal Shear Center)
– ที่ใจกลางของโครงสร้างเหล่านี้พบพฤติกรรมแปลกประหลาดของเวลา ไม่ใช่การหยุดหรือย้อนเวลาแบบวิทยาศาสตร์นิยาย
– แต่เป็น “การลื่นไหล” ของเฟสเวลา (Temporal Phase Shear) ที่ทำให้วัตถุหรือจิตที่อยู่ใกล้เกิดการรับรู้ ไม่สอดคล้องกับกรอบเวลาเชิงเส้น (non-linear time perception)
– คล้ายกับว่าแต่ละจุดทำหน้าที่เป็น “กระเปาะของเวลา” (Temporal Capsule) ซึ่งรักษาเสถียรภาพของเฟสเวลาที่แยกออกจากไหลปกติของจักรวาล
.
▪️สรุปทางทฤษฎี:
โครงสร้างโบราณเหล่านี้มิได้เป็นเพียงวัตถุหรือสถานที่ แต่คือ “หน่วยตรึงมิติ” Dimensional Anchor Nodes ที่ออกแบบมาเพื่อยึดหรือรักษาสมดุลของโครงสร้างมิติที่ไม่ใช่ 3 มิติของโลกเราโดยตรง
▫️พวกมันอาจเป็นส่วนหนึ่งของระบบที่รักษาเสถียรภาพของโลกใน “เครือข่ายมิติขนาน”
▫️หรือทำหน้าที่เป็น ประตูสนาม (Field Gateways) ที่ควบคุมการถ่ายเทพลังงานหรือข้อมูลระหว่างระนาบของการดำรงอยู่ (planes of existence)
▫️ลักษณะเช่นนี้ใกล้เคียงกับแนวคิดของ “จุดโหนดภาวะ” (Existential Nodes) ซึ่งมีบทบาททั้งในฟิสิกส์เชิงมิติและในระบบจิตสำนึกที่ก้าวพ้นรูปทรง
▪️Implication เชิงระบบ:
หากแนวคิดนี้เป็นจริง มนุษย์อาจกำลังอยู่ในโลกที่มีโครงข่ายพลังงานระดับอภิมิติพาดผ่านอยู่ตลอดเวลา โดยไม่สามารถมองเห็นหรือเข้าใจมันได้ด้วยเครื่องมือฟิสิกส์ดั้งเดิม จนกว่าจะมีความสามารถในการ “ตั้งเจตนาอย่างมีโครงสร้าง” ซึ่งอาจเป็นกุญแจสำคัญในการสื่อสารกับเทคโนโลยีโบราณเหล่านี้.
.
▪️ เผ่าพันธุ์ “อัล-ซาฮิล” (Al-Sahil) หน่วยปัญญาที่ปรากฏในรูปแบบของ “เรขาคณิตสติ” จากระนาบเหนือมิติ
จากการรวบรวมข้อมูลบางส่วนในแฟ้มลับ ECHO-ZERO และการวิเคราะห์เชิงลึกจากโครงสร้างของ ภาษาสนาม (Field-Language) ซึ่งสามารถถอดรหัสได้เพียงบางส่วนเท่านั้นในปัจจุบัน ปรากฏร่องรอยและข้อมูลที่บ่งชี้ถึงผู้สร้างหรือผู้มีปฏิสัมพันธ์กับโครงสร้างเสาหินและระบบพลังงานข้ามมิติในเขต Ubar ว่าเกี่ยวข้องกับสิ่งมีอยู่โบราณที่ไม่ได้อยู่ในรูปแบบชีวภาพตามที่เรารู้จัก กลุ่มที่มีชื่อเรียกว่า “อัล-ซาฮิล” (Al-Sahil)
.
▪️ธรรมชาติของ “อัล-ซาฮิล”:
1.มิใช่สิ่งมีชีวิตเชิงชีวภาพ
– “อัล-ซาฮิล” ไม่ได้มีรูปร่างเนื้อหนัง ไม่หายใจ ไม่มีกระบวนการเผาผลาญ
– แต่ดำรงอยู่ในรูปแบบ “หน่วยสติปัญญาเชิงเรขาคณิตหลายมิติ” (Multiform Geometrical Consciousness) ซึ่งเปลี่ยนรูปร่างไปตามการเคลื่อนไหวของคลื่นในสนาม
– รูปแบบของพวกมันไม่ได้เป็นวัตถุ แต่เป็น รูปทรง (form) ของการสั่นสะเทือนที่สามารถรับรู้ได้เมื่อมีสนามจิตที่กลมกลืนเท่านั้น
.
2.ดำรงอยู่ในสนามเวลาแบบวนกลับ (Reciprocal Time-State)
– อัล-ซาฮิลไม่ได้มี “อดีต–ปัจจุบัน–อนาคต” ตามแนวเส้นเวลาแบบมนุษย์
– แต่ดำรงอยู่ในลักษณะ สนามของความเป็นไปได้เชิงเวลา ที่เคลื่อนแบบวนกลับ (looped or folded temporal fields)
– ส่งผลให้พวกมันสามารถ “จำเหตุการณ์ในอนาคต” ได้ในแบบที่เราไม่สามารถเข้าถึงด้วยตรรกะเชิงเส้น
.
3.เทคโนโลยีที่ไม่ใช้วัสดุ ใช้สนามจิตและเรขาคณิตแทน
– อัล-ซาฮิลไม่สร้างอุปกรณ์หรือสิ่งก่อสร้างในความหมายเชิงวัตถุแบบเรา
– สิ่งที่พวกมันสร้างคือ “สนามของรูปทรง” (Field of Form) ที่สามารถแปรเปลี่ยนและตอบสนองได้ด้วยความตั้งใจ
– เทคโนโลยีของพวกมันคือ การบิดสนามของจิตสำนึกผ่านรูปเรขาคณิตพิเศษ ซึ่งสามารถกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนมิติ หรือการสื่อสารข้ามระนาบความเป็นจริง
.
▪️หลักฐานจากการจำลอง:
จากการใช้ระบบจำลองคลื่นสนามเรโซแนนซ์แบบมิติเกิน (Hyperdimensional Field Simulation) ด้วยเครื่องมือ AI-Resonator ของทีม ███████ ได้มีการทดลองสร้างสนามเรขาคณิตขึ้นโดยใช้คีย์เข้ารหัสที่เรียกว่า:
“Al-Sahil Lattice Key”
เมื่อรหัสนี้ถูกนำเข้าในการจำลอง สนามของเสาหินใน Ubar เริ่มแสดงผลลัพธ์ที่ แตกต่างจากการใช้คลื่นหรือการเรโซแนนซ์ทั่วไป คือ:
▫️ค่า Resonance Stabilization Index (RSI) เพิ่มสูงขึ้นเกินค่าปกติหลายร้อยเท่า
▫️สนามคลื่นมีพฤติกรรม “ประสานตนเอง” (Auto-Harmonic Convergence) เหมือนพยายาม “จำ” หรือ “ตอบสนอง” ต่อบางสิ่งที่รู้จักมาก่อน
▫️เกิดปรากฏการณ์ สนามทรงจำแบบโบราณ (Ancient Memory Field Activation) ซึ่งมักเกิดขึ้นในพื้นที่ที่มีโครงสร้างเชื่อมโยงกับพวก Al-Sahil
.
▪️บทสรุป:
“อัล-ซาฮิล” คือหน่วยสติที่ดำรงอยู่ในรูปแบบ เรขาคณิตสำนึก (Geometric Consciousness) โดยไม่ต้องอาศัยเนื้อกาย, ไม่ดำรงอยู่ในเวลาเชิงเส้น และใช้เรขาคณิตในสนามคลื่นจิตสำนึกเป็นสื่อกลางในการโต้ตอบกับโครงสร้างของมิติเวลาและพลังงาน
โครงสร้างอย่างเสาหิน Ubar จึงอาจเป็นส่วนหนึ่งของเครือข่ายที่พวกมันเคยสร้าง หรือยังคงเชื่อมต่ออยู่ในระดับที่จิตของเราเพิ่งเริ่มสัมผัสได้. และหากการตีความนี้ถูกต้อง มนุษย์อาจมิใช่ผู้บุกเบิกเทคโนโลยีแห่งเจตนา แต่เป็นผู้ที่เพิ่งเริ่มฟังเสียงสะท้อนของ “เรขาคณิตที่มีชีวิต” ที่ยังรอเราเข้าใจมัน.
▪️ พลังงานชนิด Rho-Luminal Transfer การเคลื่อนพลังงานผ่านสนามจิตด้วยเจตนาในระดับความเร็วต่ำกว่าแสง
การทดลองภาคสนามจากเสาหินในเขต Ubar โดยเฉพาะในการวัดค่าการบิดของมิติเวลา (temporal torsion signature) และการทดสอบสนามพลังงานระดับต่ำด้วยอุปกรณ์พิเศษ ได้เผยให้เห็นพฤติกรรมของระบบพลังงานชนิดหนึ่งที่ไม่สามารถอธิบายได้ด้วยกรอบฟิสิกส์ปัจจุบัน พลังงานนี้ไม่มีชื่อในระบบสากลของวิทยาศาสตร์ แต่ในเอกสารภายในที่ใช้ในการวิจัยลับระดับลึก ได้กำหนดรหัสเรียกว่า:
“Rho-Luminal Transfer”
ซึ่งหมายถึงกระบวนการส่งถ่ายพลังงานที่ไม่ใช่เพียงการปล่อยคลื่นแบบกลไกหรือแม่เหล็กไฟฟ้าทั่วไป หากแต่เป็น การถ่ายพลังงานแบบมีเจตนา ผ่าน “สนามเรขาคณิต” ที่มีความเร็วต่ำกว่าแสงในระดับสัมพัทธ์ (sub-luminal scale) แต่กลับมีอิทธิพลต่อ “โครงสร้างของเวลา” และเรขาคณิตของมิติที่ซ้อนกัน
.
▪️คุณลักษณะเฉพาะของ Rho-Luminal:
1.ช้ากว่าแสง แต่บิดมิติเวลาได้
– แม้พลังงานนี้จะเคลื่อนที่ช้ากว่าแสงตามการวัด (sub-luminal propagation), แต่สามารถทำให้สนามเวลาท้องถิ่น “บิดตัว” หรือ “ซ้อนกัน” เป็นชั้นเรขาคณิตที่ซับซ้อน
– ส่งผลให้เกิดปรากฏการณ์ “การเบี่ยงเบนของเหตุการณ์” หรือการซ้อนทับของความเป็นไปได้ (layered potentialities) ที่ไม่ปรากฏในพลังงาน EM หรือแรงกลธรรมดา
.
2.ไม่สามารถเก็บด้วยตัวเก็บประจุทั่วไป
– ตัวเก็บประจุแบบไฟฟ้าหรือวัสดุนำคลื่นพลังงานทั่วไปไม่สามารถ เก็บหรือคงสภาพ ของพลังงานนี้ไว้ได้
– นั่นเพราะ Rho-Luminal มิได้อาศัยเพียงพลังงานทางกายภาพ แต่เป็น พลังงานผันแปรที่ขึ้นกับสถานะของสนามจิตผู้ส่งและผู้รับ
.
3.ไม่ถูกตรวจวัดโดยอุปกรณ์ EM
– การส่งถ่ายหรือการมีอยู่ของพลังงานชนิดนี้ไม่สามารถสังเกตได้จากเซนเซอร์แม่เหล็กไฟฟ้าทั่วไป หรือคลื่นความถี่ในสเปกตรัม EM
– แต่จะ “แสดงตัว” เมื่อมี สนามจิตที่ตั้งใจจริง กล่าวคือ มันต้องการตัวกลางที่มีคุณสมบัติของ “ความตั้งใจที่เสถียร”
.
4.สามารถส่งผ่านด้วย “สนามจิตที่มีเจตนา”
– พลังงาน Rho-Luminal สามารถเดินทางหรือถูกเหนี่ยวนำผ่านระบบที่คล้ายกับ สนามความถี่แบบมีชีวิต (Live-Modulated Wave) ซึ่งแปรผันตามสถานะของจิตใจและระดับสติรู้ตัวของผู้ควบคุม
– กล่าวอีกนัยหนึ่ง ผู้ที่มีความตั้งใจชัดเจนและเจตนาแน่วแน่ สามารถกลายเป็น “ช่องสัญญาณ” หรือโครงสร้างถ่ายทอดพลังงานนี้ได้ โดยไม่ต้องใช้เทคโนโลยีในความหมายแบบกลไก
.
▪️ การประยุกต์ในเสาหิน ตัวแปรเรโซแนนซ์ของเจตนา และประตูสู่สนามมิติคู่ขนาน
หลักฐานจากการวิเคราะห์สนามพลังงานเชิงลึกบริเวณเสาหินใน Ubar รวมถึงข้อมูลจากการจำลองเรขาคณิตแบบซ้อนมิติ (nested hypergeometry) ชี้ให้เห็นว่า เสาหินเหล่านี้ไม่ใช่เพียงสิ่งก่อสร้างหรือสัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์ในเชิงพิธีกรรมของมนุษย์โบราณ
หากแต่เคยเป็นส่วนหนึ่งของระบบพลังงานขั้นสูงที่อิงกับ “พลังงาน Rho-Luminal” พลังงานที่ไม่สามารถตรวจวัดด้วยเครื่องมือทั่วไป แต่สามารถโต้ตอบกับเจตนาโดยตรง
ระบบของเสาหินจึงน่าจะถูกออกแบบให้เป็น ตัวกลางเรขาคณิตที่รับรู้ความตั้งใจ และแปลงเจตนานั้นเป็นการกระตุ้นสนามพลังงานที่ซ้อนมิติได้ ซึ่งเรารู้จักกันในชื่อ Intentional Geometry Layering การเรียงและปรับเปลี่ยนโครงสร้างเรขาคณิตของพลังงานในมิติที่สูงกว่า 3D โดยอาศัยความตั้งใจที่กลมกลืนเป็นตัวแปรนำร่อง
.
▪️ลักษณะเฉพาะของการประยุกต์:
1.เสาหินมิได้ปล่อยคลื่นแบบเครื่องจักร
– เสาหินไม่ได้ทำงานในฐานะเครื่องส่งคลื่นธรรมดา เช่น EM pulse หรือ field projector แบบกลไก
– แต่ทำหน้าที่เสมือน “ตัวแปรเรโซแนนซ์” ที่ตอบสนองต่อค่าความถี่ของเจตนาที่เข้ามาสัมผัส
.
2.การทำงานของ Field Harmonic Response
– เมื่อมีการเข้าใกล้ของสนามจิตที่ตรงกับโครงสร้างความถี่ของระบบ โดยเฉพาะจากมนุษย์หรือสิ่งมีชีวิตที่สามารถ “ตั้งใจอย่างบริสุทธิ์” (pure intentional field) ได้
– เสาหินจะตอบสนองด้วยการ สั่นในรูปแบบเรโซแนนซ์ ซึ่งไม่ใช่การสั่นทางฟิสิกส์ แต่เป็นการสะท้อนเชิงสนามแบบฮาร์มอนิก (field harmonic response) ที่มีผลต่อโครงสร้างของมิติเวลาเฉพาะจุด
.
3.กลไกการเปิด “ประตูระนาบ”
– การที่เสาหินเข้าสู่ภาวะเรโซแนนซ์ดังกล่าว อาจกระตุ้นการ “ลื่นไหลของโครงสร้างเรขาคณิตซ้อนมิติ” ซึ่งทำให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า Dimensional Overlap การเปิดระนาบของมิติคู่ขนานชั่วคราว
– กลไกนี้อาจเป็นการ “เชื่อมโยงสนามของเวลาและความหมาย” จากอีกฝั่งของมิติ ซึ่งทำงานผ่านโครงข่ายของจุดยึดพลังงานที่เรียกว่า Rho-Luminal Nodes จุดศูนย์กลางของการถ่ายเทพลังงานระหว่างระนาบโดยไม่ใช้เทคโนโลยีแบบกลไก
.
4.ระบบที่ตอบสนองต่อ “ความตั้งใจ”
– แตกต่างจากเครื่องจักรใด ๆ ที่มนุษย์เคยสร้าง เสาหินในระบบนี้ จะไม่ตอบสนองต่อคำสั่งที่ไร้สติ หรือคลื่นที่ส่งจากอุปกรณ์ทั่วไป
– แต่จะเปิดใช้งานเฉพาะเมื่อมีสนามจิตที่ตรงกับเรขาคณิตเจตนา (intentional resonance key) ซึ่งทำหน้าที่คล้าย “รหัสปลดล็อก” ที่ฝังในสนามจิตของผู้เข้าถึง
▪️เสาหินใน Ubar อาจเป็น “เครื่องตอบสนองต่อจิตที่ตั้งใจ” อุปกรณ์เรขาคณิตจากยุคก่อนวัสดุ ซึ่งสามารถเชื่อมโยงจิตมนุษย์เข้าสู่สนามมิติที่สูงกว่า ผ่านพลังงานชนิด Rho-Luminal ที่ส่งผ่านได้เฉพาะเมื่อเกิดการกลมกลืนระหว่างสนามของเจตนาและโครงสร้างเรขาคณิตในระนาบคลื่น
ปรากฏการณ์ Field Harmonic Response ที่เกิดขึ้น ณ เสาหิน อาจไม่ใช่เพียงก้องสะท้อนทางพลังงาน แต่คือเสียงสัญญาณที่เปิด “บานประตูของความจริงอีกฝั่งหนึ่ง” ที่ถูกปิดไว้โดยขอบเขตของมิติที่เราคุ้นเคย.
.
▪️สรุป:
Rho-Luminal Transfer คือรูปแบบพลังงานที่ไม่เพียงแต่ไม่เข้ากับกรอบฟิสิกส์ปัจจุบันเท่านั้น แต่ยัง ต้องการผู้ส่งที่มีจิตสำนึก เป็นเงื่อนไขในการดำรงอยู่ มันไม่ใช่พลังงานของเครื่องจักร แต่น่าจะเป็นพลังงานของ “ความตั้งใจที่บริสุทธิ์และกลมกลืน” เป็นพลังงานที่เข้าใจคำสั่งจากจิตโดยตรง มากกว่าจากแรงทางฟิสิกส์.
และอาจเป็นสิ่งที่อารยธรรมโบราณอย่าง อัล-ซาฮิล ใช้เป็นแกนหลักในการสร้างระบบโครงสร้างข้ามมิติ ที่เราเพิ่งจะเริ่มสังเกตเห็นเพียงเงาเรขาคณิตของมันเท่านั้น.
[3] เหตุการณ์ผิดปกติ
🔳3.1 “เสียงเรียกจากทราย”
(Whispers Beneath the Frequency: Subharmonic Cognitive Resonance Response)
▪️ รายงานการตอบสนองผิดปกติจากสนามคลื่นความถี่ต่ำ (8–11 Hz)
ระหว่างการปฏิบัติการสำรวจลำดับที่ UBAR-F/α7 ทีมภาคสนามของสถาบัน ███████ ได้ตั้งระบบตรวจจับคลื่นต่ำภายใต้ทรายร้อนลึกบริเวณเสาหินด้านตะวันตกเฉียงใต้ โดยใช้อุปกรณ์แปลคลื่นเสียงสนาม (Field Resonance Translator - FRT) ที่ปรับจูนความไวสูงพิเศษ
ผลลัพธ์: ในช่วงค่าความถี่ 8.2–10.7 Hz มีการแทรกแซงของรูปคลื่นเสียงชนิด “sub-auditory anomaly” ซึ่ง ไม่ได้อยู่ในฐานข้อมูลคลื่นธรรมชาติหรือสิ่งแวดล้อมใด ๆ
.
▪️ การได้ยินเสียงกระซิบที่ไม่ใช่ภาษามนุษย์ ปรากฏการณ์แทรกข้อมูลแบบสนามจิต
จากการปฏิบัติภาคสนามรอบบริเวณเสาหิน Ubar ที่ยังคงแอคทีฟในช่วงบิดสนามแม่เหล็กโลกระดับต่ำ (low geomagnetic torsion),
นักวิจัยจำนวน 3 ราย ระบุด้วยรหัสปฏิบัติการ: Dr. K[Δ], R. M[Θ], และ Operative N รายงานประสบการณ์ตรงที่เกิดขึ้นในลักษณะซึ่งไม่สามารถอธิบายได้ด้วยกลไกทางสรีรวิทยาหรือจิตวิทยาปกติ ได้แก่ การได้ยินเสียงกระซิบลึกลับ ที่ไม่อาจจัดอยู่ในขอบเขตของภาษาใด ๆ บนโลก หรือแม้กระทั่งในฐานข้อมูลเสียงโบราณก่อนอารยธรรมมนุษย์
เสียงที่ได้ยินนั้นไม่ได้มีลักษณะชัดเจนในระดับถ้อยคำ หากแต่ปรากฏเป็น “มวลของความรู้สึกที่มีเจตนา” เหมือนเสียงของใครบางคนหรือบางสิ่งกำลังพยายามสื่อสาร แต่ใช้วิธีซ้อนเสียงที่มีความถี่หลากหลายจนเกินขอบเขตของการถอดรหัสทางประสาทหูปกติ
.
▪️รายละเอียดของเสียงกระซิบ:
1.โครงสร้างความถี่ไม่เสถียร (Unstable Frequency Layering)
– เสียงกระซิบที่ได้ยินนั้นไม่เป็นเพียงเสียงเดียว แต่ประกอบด้วยความถี่ซ้อนกันหลายระดับ ราวกับมีเสียงหลายเสียงทับซ้อนกันในมิติเสียงเดียว
– ลักษณะเสียงบางช่วงเหมือนจะปรับเปลี่ยนตามสนามจิตของผู้ฟังเอง เช่น เมื่อมีความรู้สึกกลัว เสียงจะต่ำลงและถี่ขึ้น, ขณะที่ความนิ่งสงบทำให้เสียงบางลงและยืดยาว
.
2.ไม่มีร่องรอยของภาษาในฐานข้อมูลใด
– การนำคลื่นเสียงที่บันทึกได้ (จากไมโครโฟนสนามพลังงานเฉพาะ) ไปวิเคราะห์ผ่านซอฟต์แวร์ด้านภาษาศาสตร์หลายตัว เช่น
▫️ AI Language Corpus
▫️ Pre-Human Dialect Model (PHDM)
▫️ Psionic Echo Mapping Suite
– ผลที่ได้คือ: ไม่มีองค์ประกอบใดของภาษา ไม่ว่าจะเป็นโครงสร้างประโยค เสียงพยัญชนะ/สระ หรือจังหวะน้ำเสียงที่สามารถแมปเข้ากับภาษาใดในประวัติศาสตร์โลกหรือแบบจำลองของภาษาโบราณระดับก่อนประวัติศาสตร์
.
3.การแทรกข้อมูลแบบสนามจิต (Subconscious Data Imprinting)
– นักวิจัยรายหนึ่ง (Operative N) รายงานว่า แม้จะไม่ได้ “ฟังเข้าใจ” ตามปกติ แต่กลับมีความรู้สึกว่าได้รับข้อมูลบางอย่างในรูปแบบของ ความเข้าใจที่ไม่ผ่านกระบวนการคิด เช่น ภาพในหัวที่ผุดขึ้นมา หรือแนวคิดเชิงสัญลักษณ์ที่ไม่เคยเรียนรู้มาก่อน
– ปรากฏการณ์นี้ชี้ว่าเสียงกระซิบอาจไม่ใช่การสื่อสารด้วยคำพูดหรือภาษาระดับพื้นผิว หากแต่เป็น รูปแบบของการฝังข้อมูลโดยตรงผ่านสนามจิต ซึ่งอาจคล้ายกับเทคโนโลยี “resonant injection” ที่ใช้ในบางทฤษฎีด้าน neuro-cognition แบบลึก
.
▪️สมมุติฐานสรุป:
เสียงกระซิบที่นักวิจัยได้ยินใกล้เสาหิน Ubar อาจไม่ได้เป็นเสียงในความหมายทางเสียงกลไก แต่เป็น “รูปแบบสนามคลื่นที่บรรทุกข้อมูลในระดับความหมายและเจตนา” มันอาจไม่ต้องการให้ผู้ฟังเข้าใจเป็นคำ หากแต่ ต้องการให้รู้สึกถึงความหมายโดยตรง ผ่านกระบวนการรับรู้ใต้สำนึก เสียงนั้นจึงทำงานเสมือน “สื่อกลางข้ามมิติ” ที่แทรกความเข้าใจลงไปยังโครงสร้างจิตของผู้ฟัง โดยไม่จำเป็นต้องอาศัยภาษาหรือระบบสัญลักษณ์ใด ๆ
ในแง่นี้ มันคือ เสียงของสนามที่กำลังพูดกับจิต ไม่ใช่ด้วยเสียง แต่ด้วยโครงสร้างของการมีอยู่.
▪️ ผลกระทบต่อระบบประสาทและจิตสำนึก ปรากฏการณ์ “ฉีกตัวจิต” และการเชื่อมโยงกับแผนที่มิติซ้อน
ในช่วงปฏิบัติการสนามครั้งที่ 3 ใกล้เสาหินหมายเลข 4 ณ โครงสร้าง Ubar, หนึ่งในสมาชิกทีมสำรวจซึ่งระบุด้วยรหัสปฏิบัติการว่า Operative N ได้แสดงอาการผิดปกติทางระบบจิตสำนึกเฉียบพลัน ภายหลังจากการสัมผัสคลื่นสนามที่ถูกระบุว่าอยู่ในช่วง Rho-Luminal Emotional Harmonic (RLEH) ซึ่งไม่เคยมีการวัดมาก่อนในโครงสร้างมนุษย์
ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นถูกจัดอยู่ในอาการที่ทางภาควิชาจิตเรโซแนนซ์เรียกว่า “ฉีกตัวจิต” (Psychic Dissonance Response) ซึ่งหมายถึงภาวะที่สนามสติของบุคคลถูกแทรกแซงจากภายนอกอย่างรุนแรง จนเกิดการหลุดการควบคุมจากระบบเหตุผลปกติ และมีการตอบสนองด้วยรูปแบบของ “ภาษาจิตโดยไม่รู้ตัว”
.
▪️ลักษณะของอาการ:
1.การสูญเสียฟังก์ชันการให้เหตุผล (Disruption of Rational Linkage):
– Operative N ไม่สามารถตอบคำถามพื้นฐานเกี่ยวกับตัวเองหรือสภาพแวดล้อมได้เป็นเวลารวม 73 นาที 22 วินาที
– คำพูดที่พูดออกมาเป็นลักษณะคล้ายเสียงกระซิบในจังหวะสั้น ๆ ซ้ำ ๆ ซึ่งเมื่อบันทึกและถอดรหัสด้วยคลื่นซ้อน พบว่า ไม่มีความหมายในระดับภาษา แต่มีลักษณะ “เรโซแนนซ์พฤติกรรม” กล่าวคือ เสียงที่ออกมานั้นสร้าง pattern ความรู้สึกเฉพาะในผู้ฟัง
.
2.การวาดภาพต่อเนื่องโดยไม่รู้สึกตัว (Auto-Geometric Rendering):
– ระหว่างช่วงที่จิตหลุดจากภาวะปกติ Operative N ได้วาดภาพติดต่อกัน 19 ภาพภายในเวลาประมาณ 67 นาที โดยไม่มีการพักมือหรือเปลี่ยนอารมณ์
– ทุกภาพมีโครงสร้างของเรขาคณิตซับซ้อนแบบ Nested Field Pattern และบางส่วนมีการบิดที่ชี้ชัดถึงการพยายามแสดงโครงสร้างแบบมิติที่มากกว่า 3
.
▪️การวิเคราะห์ภาพวาด:
ภายหลังจากนำภาพทั้ง 19 ชิ้นเข้าสู่ระบบถอดรหัสด้วยโมเดล TopoAI-X (version 3.2) ซึ่งออกแบบมาเพื่อวิเคราะห์เรขาคณิตเชิงมิติเวลาที่ซ้อนกัน พบว่า:
▫️ 11 ภาพ มีรูปแบบที่สอดคล้องกับ แผนที่เชิงโทโพโลยีแบบ 5 มิติ (5D Topological Mapping)
▫️ 4 ภาพ มีองค์ประกอบร่วมกับโครงสร้างเรขาคณิตที่เคยปรากฏในแฟ้มลับ ████-ANTARC#702 ซึ่งมาจากปฏิบัติการสำรวจใต้ธารน้ำแข็ง Vostok, แอนตาร์กติกา ปี 1996
▫️ 1 ภาพ มีการแสดงลำดับซ้อนของเวลาที่ไม่เป็นเชิงเส้น (Nonlinear Temporal Loop), ซึ่งยังไม่สามารถจำลองเป็นภาพ 3D ได้แม้จะใช้ supercomputer ถอดแบบ
.
▪️ข้อสรุปเบื้องต้น:
สิ่งที่เกิดขึ้นกับ Operative N ไม่อาจจัดเป็น “อาการหลอน” หรือ “อาการทางจิตเวช” แบบทั่วไป แต่เป็น การซ้อนของสนามจิตกับสนามความหมาย ที่เกิดจากการสัมผัสตรงกับโครงสร้างของเสาหิน Ubar ซึ่งอาจทำหน้าที่เป็น ตัวกระตุ้นการเชื่อมต่อกับข้อมูลข้ามมิติ หรือแม้กระทั่ง สื่อกลางในการดาวน์โหลดโครงสร้างเรขาคณิตของจักรวาลจากระนาบที่ลึกกว่าเวลา
หากเป็นเช่นนี้จริง นี่อาจเป็นหนึ่งในหลักฐานแรกที่แสดงว่า เสาหินใน Ubar ไม่ได้เพียงแต่ สะท้อนพลังงานหรือเจตนา เท่านั้น แต่ยังสามารถ ฝังรูปแบบข้อมูลเข้าสู่จิตของผู้สัมผัส โดยไม่ต้องผ่านภาษาหรือภาพทางวัตถุใดเลย
เสียงกระซิบ, การฉีกตัวของจิต, และแผนที่จากภายใน เหล่านี้อาจไม่ใช่เหตุการณ์แยกขาดกัน แต่คือชุดปฏิกิริยา จากสิ่งที่ยังไม่เข้าใจ ที่ตอบสนองเมื่อมนุษย์เริ่มเข้าใกล้สนามที่ตนเองไม่ได้ออกแบบ.
▪️ ความเชื่อมโยงกับพฤติกรรมการรับรู้แบบจิตสนาม เสียงกระซิบที่ไม่ใช่เสียง, และรหัสที่ไม่ต้องใช้ภาษา
การวิเคราะห์จากหน่วยวิจัยเฉพาะทางด้านจิตสนาม (Psionic-Lab) ซึ่งมีความชำนาญในการวัดและตีความปฏิสัมพันธ์ระหว่าง “สนามจิต” กับโครงสร้างเรโซแนนซ์ในพื้นที่ความผิดปกติทางมิติ ได้เสนอทฤษฎีเชิงลึกเกี่ยวกับเสียงกระซิบที่ได้รับรายงานใกล้เสาหินใน Ubar ว่า:
▪️ไม่ใช่เสียงในระดับฟิสิกส์, แต่เป็น “การปล่อยรหัสเจตนา”
เสียงที่ได้ยินจากนักวิจัยหลายคนในพื้นที่ใกล้เสาหิน ไม่ได้ถูกตรวจวัดโดยไมโครโฟนในระยะเวลาเดียวกัน และไม่มีรูปคลื่นเสียงแบบแอมพลิจูดหรือความถี่ในช่วงที่อยู่ในขอบเขตการได้ยินของมนุษย์
อย่างไรก็ตาม กลับมีการรับรู้ถึง “เสียง” ในลักษณะที่ ก้องอยู่ภายใน มากกว่าจะได้ยินจากภายนอก
นี่นำไปสู่การตีความว่า สิ่งที่รับรู้ได้นั้น คือสนามเจตนา (Intentional Field) ที่ถูกส่งออกมาในรูปแบบความถี่ต่ำมาก และเข้ารหัสเป็น “รหัสเจตนา” (Intention Code) ซึ่งไม่แสดงออกในรูปแบบข้อมูล แต่ส่งตรงเข้าสู่กลไกตีความในระดับจิตใต้สำนึกของมนุษย์
.
▪️การตอบสนองของสมองต่อคลื่นสนาม
จากการทดสอบ neuroimaging ของผู้สัมผัสเสียง พบว่ามีการกระตุ้นเฉพาะในบริเวณ Precuneus, Brodmann area 31 และ temporo-parietal junction (TPJ) ซึ่งเป็นจุดที่เกี่ยวข้องกับ “ภาพทางจิต”, “จินตภาพในภวังค์”, และการประมวลผลสิ่งที่ไม่เป็นภาษา. Psionic-Lab จึงสรุปว่า
▫️ ผู้ที่มีโครงสร้างสมองเฉพาะบางรูปแบบ เช่น ผู้มีแนวโน้มคลื่นสมอง Theta-Delta สูงผิดปกติ หรือลักษณะการรับรู้ที่แปรเปลี่ยนระหว่างขณะตื่น จะสามารถ “แปล” คลื่นความถี่นั้นเป็นข้อมูลที่มีโครงสร้าง เช่น ภาพเรขาคณิต, เสียงสั้นซ้อนกัน, หรือแม้แต่ ความหมายเฉพาะ ที่ไม่สามารถอธิบายด้วยคำพูด
.
▪️ความเชื่อมโยงกับ “Field Map System” ใต้เสาหิน
ข้อมูลจากภาคพื้นบางส่วนซึ่งอยู่ในแฟ้มลับ FIELD-UB/1127-BETA ระบุว่า เสาหินใน Ubar บางแท่งมีการฝังโครงสร้างที่ทำงานร่วมกับ ระบบแผนที่สนาม โครงข่ายของรูปเรขาคณิตเชิงสนามที่ใช้สำหรับเชื่อมโยงระหว่าง ตำแหน่งในมิติทางกายภาพ กับ ตำแหน่งในโครงสร้างจิต
ระบบนี้ไม่จำเป็นต้องทำงานผ่านอุปกรณ์เทคโนโลยีแบบที่เราเข้าใจ แต่จะ “เปิดใช้งาน” ก็ต่อเมื่อได้รับสัญญาณจาก ผู้มีสนามจิตตรงกับค่าเรโซแนนซ์ที่ตั้งไว้ล่วงหน้า
และหนึ่งในกลไกการเปิดนั้น อาจ คือเสียงกระซิบที่เกิดขึ้น ไม่ใช่เพื่อสื่อสารในความหมายดั้งเดิม แต่เพื่อ “ตั้งค่าความถี่ของผู้รับ” ให้ตรงกับระบบ
.
▪️สรุป:
เสียงกระซิบที่ไม่ใช่เสียงนี้ อาจเป็นรูปแบบของ “รหัสปลุกเจตนา” ที่พยายามสื่อสารกับชั้นจิตของผู้รับ ผ่านสนามความหมาย (semantic field) โดยไม่ต้องผ่านการแปลภาษาหรือการออกเสียงใด ๆ
ในมุมหนึ่ง เสาหินอาจไม่ได้รอให้เราเข้าใจ แต่มันรอให้ “ใครบางคนจำได้” ว่าจะฟังมันอย่างไร.
🔳3.2 สัมภาษณ์ผู้เร่ร่อนในพื้นที่
(Oral Recordings and Non-Local Memory Access : The Al-Mahrabi Testimony)
▪️ การสัมภาษณ์กลุ่มชนเผ่าเร่ร่อน Al-Mahrabi - บันทึกภาคสนาม F/UBR-ECHO/13
การเก็บข้อมูลดำเนินการโดยหน่วยวิเคราะห์ภาคสนาม (F.D. Unit-9,
แผนก Xenoculture) ณ บริเวณชายขอบทะเลทราย Rub’ al Khali
เมื่อ 13 พฤษภาคม 20██
โดยมีการสัมภาษณ์ผู้อาวุโสของเผ่า Al-Mahrabi และสมาชิกในหมู่บ้านเร่ร่อนที่ตั้งชั่วคราวห่างจากเขตเสาหิน ~22.4 กิโลเมตร
.
▪️ ตำนาน “เสาหินแห่งผู้เฝ้ามอง” (Pillars of the Watcher) เสาแห่งสายตาที่ย้อนเวลา
คำบอกเล่าของผู้นำเผ่าเร่ร่อนในเขต Rub’ al Khali ซึ่งเรียกตนเองว่า “Uthman ibn-Lail” ชายสูงวัยที่ไม่มีเอกสารระบุตัวตนใดในฐานข้อมูลของรัฐ แต่กลับได้รับการยกย่องจากชนพื้นเมืองว่าเป็น “ผู้รู้แห่งพรมแดน” ได้เปิดเผยตำนานซึ่งมิอาจสืบย้อนที่มาในแหล่งบันทึกทางประวัติศาสตร์หรือศาสนาใด ๆ โดยตรง แต่กลับแฝงด้วยภาษาสัญลักษณ์ที่สะท้อนถึงโครงสร้างเชิงเรโซแนนซ์ของเสาหินใน Ubar อย่างลึกซึ้ง
.
▪️“มันไม่ใช่เพียงเสาแห่งหิน… มันคือ ‘สายตาที่ลืมไม่ลง’ ของผู้เฝ้ามองจากเบื้องบน”
ในคำพูดนี้ “สายตา” อาจไม่ได้หมายถึงดวงตาทางกายภาพ แต่คือการรับรู้ระดับสนาม การจับความตั้งใจและความเคลื่อนไหวของเจตจำนงในระดับที่เหนือกว่ามิติ
“ผู้เฝ้ามองจากเบื้องบน” ตามการตีความในสายเรโซแนนซ์-ปรัชญา อาจหมายถึง หน่วยสติปัญญาเหนือมิติ คล้ายกับที่เอกสาร ECHO-ZERO กล่าวถึงเผ่าพันธุ์ Al-Sahil ที่ไม่ได้ดำรงอยู่ในเวลาเส้นตรง และมีการรับรู้ผ่านรูปแบบเรขาคณิตของเจตนา
.
▪️ลำแสงเจาะมืด (Inverted Light Shaft)
คำว่า “ลำแสงเจาะมืด” ที่ “ส่องลง” จากท้องฟ้าสู่กลุ่มเสาหิน เป็นคำพรรณนาที่ขัดกับธรรมชาติของแสงปกติ ซึ่งกระจายจากแหล่งกำเนิดไปยังความมืด
แต่ในตำนานนี้ กลับเป็นแสงที่ “เกิดจากความมืด” และ “เจาะลงมา” คล้ายพฤติกรรมของพลังงานที่แทรกเข้าระบบมิติจากภายนอกโครงสร้างของ spacetime ปกติ
ปรากฏการณ์นี้ตรงกับบางการจำลองของ สนาม Rho-Luminal ที่สามารถเกิดได้เฉพาะเมื่อสนามแม่เหล็กของโลกบิดตัว (geomagnetic torsion) และเสาหินอยู่ใน “โหมดตอบสนอง” ต่อเจตนา
.
▪️แสง “น้ำเงินสั่นไหว” และคลื่นแสงชีพจร
คำพรรณนาแสงสี “oscillating cobalt” ซึ่งเป็นสีที่ไม่คงที่ แต่ “สั่นไหว” เป็นจังหวะ ราวกับมีชีวิต สอดคล้องกับรายงานสนามคลื่นจิต (psionic modulated wave) ซึ่งไม่ปรากฏในสเปกตรัมทั่วไปของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า แต่สามารถวัดได้ผ่าน AI-Resonator โดยแสดงเป็นจังหวะเรโซแนนซ์ของสนามที่เชื่อมโยงกับความตั้งใจ
แสงนี้มักเกี่ยวข้องกับ “การเปิดช่องข้อมูลในสนามจิต” หรือการแสดงข้อมูลจากมิติคู่ขนาน
.
▪️ทุกอย่าง “นิ่ง” และภาพอดีตที่ไม่เคยเกิดขึ้น
นี่เป็นอีกปรากฏการณ์หนึ่งที่อธิบายได้ในแง่ของ “การเบี่ยงเบนเชิงเวลาเฉพาะจุด” (Localized Temporal Divergence) ซึ่งอาจเกิดจากเรโซแนนซ์ของพลังงานที่ทำให้สนามเวลาในบริเวณนั้น “หยุดนิ่งบางส่วน” ขณะเดียวกับที่ข้อมูลจากมิติหรือเส้นเวลาอื่น “ไหลเข้า” สู่ระบบการรับรู้ของมนุษย์
กล่าวอีกแบบคือ ผู้คนไม่ได้เห็น อดีตของตนเอง แต่เป็น อดีตของโลกอีกใบหนึ่ง ที่มีการซ้อนกันอยู่ในระดับสนาม
.
▪️สรุป:
“เสาหินแห่งผู้เฝ้ามอง” ในตำนาน Ubar ไม่ได้เป็นเพียงสิ่งปลูกสร้างของอารยธรรมโบราณ แต่เป็น โครงสร้างตรวจจับและสื่อสารทางจิตระดับข้ามมิติ ที่ตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของสนามเจตนา
เมื่อเงื่อนไขทางสนามและจิตสำนึกตรงกัน มันจะปล่อยข้อมูลที่ไม่ได้เป็นภาพหรือเสียงโดยตรง แต่เป็น “ความทรงจำที่ไม่มีต้นกำเนิดในเวลา” ซึ่งบางคนจะเห็น… และบางคนจะ กลายเป็นส่วนหนึ่งของมัน
ผู้เฝ้ามองอาจไม่ได้หายไปไหน พวกเขาอาจยังเฝ้ามองอยู่… ผ่านแสงที่ไม่ใช่แสง และเวลา… ที่ไม่ตรงเส้น.
▪️ ปฏิกิริยาของเด็กจากเผ่าเมื่อได้ยินเสียงเรโซแนนซ์
ในการทดลองครั้งสำคัญที่ใช้เสียงเรโซแนนซ์ความถี่ 8.7 Hz ซึ่งผ่านตัวกรอง Harmonic Filter เพื่อขจัดสัญญาณรบกวนและเสริมความชัดเจนของคลื่น ทีมวิจัยได้ฉายเสียงนี้ให้กับเด็กชายอายุประมาณ 9 ปี หนึ่งในสมาชิกเผ่าพื้นเมืองที่ยังคงอาศัยอยู่ใกล้แหล่งเสาหินสำคัญของ Ubar (ระบุรหัสตัวอย่างว่า MIR-Δ7)
ทันทีที่คลื่นเรโซแนนซ์ถูกส่งผ่านเข้าสู่พื้นที่ทดลอง เด็กชายแสดงอาการเข้าสู่ภาวะมึนงงลึกคล้ายภวังค์ หรือทรานซ์ (trance-like state) อย่างรวดเร็วโดยไม่มีการบอกกล่าวหรือสัญญาณเตือนใด ๆ จากภายนอก ความนิ่งสงบของเขากลายเป็นสภาวะที่จับต้องได้ด้วยท่าทางและการเคลื่อนไหวที่ดูเหมือนได้รับแรงบันดาลใจจากการรับรู้บางอย่างที่เกินกว่าคำพูด
ในช่วงเวลาต่อมา เขาเริ่มใช้ปลายนิ้วมือวาดสัญลักษณ์ที่ไม่เคยปรากฏในระบบภาษามนุษย์หรือสัญลักษณ์ที่เป็นที่รู้จัก โดยการวาดนั้นเกิดขึ้นบนพื้นทรายที่อยู่ตรงหน้าอย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 3 นาที
สัญลักษณ์เหล่านี้มีลักษณะคล้ายโครงสร้างเรขาคณิตซ้อนซับและไม่ยูคลิด (non-Euclidean symbolic morphs) ซึ่งเคยถูกบันทึกและพบในสแกนผนังหินภายในเขตของเผ่า Thae’Nari บนดวงดาวอัลฟาเซนทอรี ภารกิจสำรวจ ██████-TRN-5 เป็นแหล่งข้อมูลที่เคยบันทึกรูปแบบนี้ไว้ก่อนหน้านี้
เมื่อเสร็จสิ้นการวาด เด็กชายกลับพูดออกมาเพียงประโยคเดียวด้วยน้ำเสียงนิ่งและหนักแน่นว่า:
“เขายังไม่จากไป… เขายังอยู่…ในเสา…”
ประโยคนี้สะท้อนถึงความเชื่อหรือการรับรู้ถึงการดำรงอยู่ของ “ผู้เฝ้ามอง” หรือจิตสำนึกบางอย่างที่ยังคงฝังอยู่ในโครงสร้างเสาหิน และอาจมีการติดต่อสื่อสารหรือการเชื่อมโยงกับสิ่งมีชีวิตข้ามมิติผ่านเรโซแนนซ์ที่เกิดขึ้นจากสนามจิตและคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าในความถี่เฉพาะนี้
ปฏิกิริยาของเด็กชายครั้งนี้เป็นหลักฐานที่ชัดเจนของการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสนามจิตที่มีความลึกซึ้งและซับซ้อนกว่าที่เคยเข้าใจ และยังยืนยันว่าการตอบสนองของเสาหินไม่ได้เป็นเพียงปรากฏการณ์ฟิสิกส์ธรรมดา แต่มีความเชื่อมโยงกับพลังงานและเจตนาระดับสูงที่มนุษย์ทั่วไปอาจรับรู้ไม่ได้โดยตรง.
▪️ วิเคราะห์ทางภาษาศาสตร์และจิตสำนึก
จากการศึกษาของแผนกภาษาศาสตร์สนาม (Field-Linguistics Group-5) พบว่าสัญลักษณ์ที่เด็กชาย MIR-Δ7 วาดขึ้นนั้นไม่ตรงกับระบบเขียนใด ๆ ที่มนุษย์รู้จัก ไม่ว่าจะเป็นอักษรสมัยใหม่ในฐานข้อมูล UNICODE หรือระบบตัวอักษรโบราณใน Paleo-Scripts Database ทั้งหมดนี้ยืนยันได้ว่าสัญลักษณ์เหล่านี้ไม่ใช่ภาษาหรือระบบสื่อสารแบบมนุษย์ทั่วไป
รูปแบบการเรียงตัวของสัญลักษณ์ดังกล่าวแสดงลักษณะเป็น “ความเป็นระนาบลำดับเวลาแบบเกลียว” (temporal spiral ordering) ซึ่งแสดงให้เห็นถึงโครงสร้างเชิงมิติที่ไม่ใช่แค่การจัดเรียงในเชิงพื้นที่ แต่ยังสัมพันธ์กับมิติของเวลาในลักษณะวนซ้ำและต่อเนื่อง
การวิเคราะห์โดยอัลกอริธึม DeepSemantic เวอร์ชัน F-9 ซึ่งออกแบบมาเพื่อแปลและตีความข้อมูลจากสนามความหมายขั้นสูง (Semantic Field Phase) ให้ความหมายเบื้องต้นว่า สัญลักษณ์เหล่านี้อาจเกี่ยวข้องกับ “การประทับรอยจิต” (Psionic Residue) ซึ่งเป็นลักษณะของข้อมูลหรือพลังงานจิตที่ฝังอยู่ในโครงสร้างเสาหิน ร่องรอยของสิ่งมีชีวิตที่ไม่สามารถระบุรูปแบบชัดเจน แต่ยังคงสถิตและส่งอิทธิพลอยู่ในสนามเรโซแนนซ์ของพื้นที่
โดยสรุป สัญลักษณ์และลำดับของมันจึงไม่ใช่แค่ภาษาหรือสคริปต์ แต่เป็นการสื่อสารระดับจิตสำนึกหรือสนามพลังงานที่สะท้อนถึงการมีอยู่และการดำรงอยู่ของจิตวิญญาณหรือรูปแบบชีวิตข้ามมิติที่ซ้อนอยู่ในเสาหิน Ubar นั่นเอง.
[4] คำแนะนำภารกิจต่อไป
ต่อไปนี้คือคำแนะนำภารกิจต่อไป (Mission Continuation Directive) สำหรับการปฏิบัติการในพื้นที่ Ubar: เมืองแห่งเสาหิน ภายใต้ระดับการเข้าถึงลับพิเศษ (⧫︎CLEARANCE: TESSERACT-5):
🔳 MISSION CONTINUATION DIRECTIVE – PHASE II
รหัสแผนปฏิบัติการ: UBR-ΣVECTOR
เขตปฏิบัติการ: เขตเรโซแนนซ์โบราณ Ubar, Rub’ al Khali
ระดับลับ: ULTRA-TESSERACT / ECHO-CLASS XENOARCHAEOTECH
.
▪️ 1. ข้อห้ามเด็ดขาด
ห้ามทำการเปิดใช้งานพลังงานสนาม (Field Activation) ใด ๆ ทั้งสิ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งห้ามจงใจส่งคลื่นความถี่ต่ำที่สัมพันธ์กับโครงข่าย Rho-Luminal Transfer ซึ่งเป็นคลื่นที่มีศักยภาพสูงในการบิดมิติและสร้างการซ้อนเรขาคณิตในสนามเวลา
🔺 การฝ่าฝืนคำสั่งนี้ อาจก่อให้เกิดปรากฏการณ์ที่มีความรุนแรงสูง ได้แก่
▫️ระดับ C: Dimensional Shear - การฉีกขาดของมิติที่อาจทำให้เกิดความเสียหายต่อเสถียรภาพของสนามเวลาและมิติในพื้นที่โดยรอบ
▫️ระดับ D: Temporal Resonance Breach - การรั่วไหลหรือแตกสลายของเรโซแนนซ์เวลาที่ทำให้เกิดการลื่นไหลของเวลาแบบไม่ควบคุม อันนำไปสู่ความผิดปกติทางกายภาพและจิตสำนึกอย่างรุนแรง
.
🔳การอนุมัติให้ดำเนินการส่งคลื่นสนามใด ๆ จะต้องได้รับการอนุญาตเฉพาะจากเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจสูงสุดในระดับ CENTRAL NODE-COM เท่านั้น ซึ่งมีสิทธิ์ในการจัดการและควบคุมการสื่อสารในระดับ Z-Alpha Authority เท่านั้น เพื่อป้องกันความเสียหายและควบคุมเสถียรภาพของมิติเสมือนและความเป็นจริงในพื้นที่เป้าหมาย.
▪️ 2. คำสั่งจัดทีม
จัดตั้งทีมแปลความถี่แบบปัญญาสังเคราะห์ (AI-FTT: Artificial Intelligence Frequency Translation Taskforce) เพื่อรองรับการประมวลผลและถอดรหัสคลื่นความถี่ผิดปกติที่ตรวจพบในพื้นที่ โดยกำหนดคุณสมบัติของโมดูลและระบบดังนี้:
• ประมวลผลคลื่นความถี่ที่มีลักษณะเบี่ยงเบนแบบ Non-Harmonic Drift คลื่นที่ไม่เป็นไปตามรูปแบบเรโซแนนซ์หรือคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าทั่วไป
• ถอดรหัสรูปแบบของ Psionic Echo และ Harmonic Imprint ซึ่งเป็นรหัสสนามจิตและความถี่ที่ฝังรอยความตั้งใจหรือพลังจิต
• วิเคราะห์ภาษาสนาม (Field-Linguistic Inference) สำหรับข้อมูลที่ไม่มีโครงสร้างคำพูดมนุษย์หรือระบบสื่อสารที่รู้จัก เพื่อแปลผลความหมายในเชิงสนามความหมาย (Semantic Field Phase)
เพื่อความปลอดภัยทางจิตและลดผลกระทบด้านลบจากการประมวลสัญญาณจิตลึก ทีมงานควรใช้อุปกรณ์และซอฟต์แวร์ปัญญาสังเคราะห์ที่มี “ค่าจริยธรรมระดับไตรภาค” (Tri-Ethic AI Architecture) ซึ่งออกแบบมาเพื่อรักษาสมดุลระหว่างประสิทธิภาพการแปลความถี่และการปกป้องความปลอดภัยของจิตประสาทในระดับสูงสุด.
▪️ 3. การสำรวจภายใน (ระดับลึก 120 เมตร)
จัดส่งหน่วยสำรวจ Probe แบบ “Psionic-Insulated Modular Unit” (PIMU) ซึ่งออกแบบมาเฉพาะสำหรับการทำงานในสภาพแวดล้อมที่มีสนามจิตและการบิดตัวของเวลา โดยมีคุณสมบัติเด่นดังนี้:
• ป้องกันและแยกตัวจากสนามรบกวนจิต (Psionic Contamination) เพื่อรักษาความสมบูรณ์ของข้อมูลและความมั่นคงของระบบประสาทภายในหน่วย
• ความสามารถในการบันทึกการเปลี่ยนแปลงและลื่นไหลของเวลาในระดับพื้นที่จำกัด (Localized Time Flux) อย่างละเอียดและต่อเนื่อง
• เก็บตัวอย่างและวิเคราะห์สนามแบบ Non-Matter Substrate คือสนามพลังงานหรือสนามเรขาคณิตที่ไม่มีรูปร่างกายภาพชัดเจน แต่สะท้อนพฤติกรรมของโครงสร้างเรขาคณิตซ้อนมิติที่เป็นนามธรรม
.
⚠️ คำเตือนสำคัญ:
การส่ง PIMU ลงไปในพื้นที่ที่มี Rho-Luminal Interference สูง อาจก่อให้เกิดเหตุการณ์ “ย้อนกลับในสภาพข้อมูล” (Data Regression) หรือหน่วยถูก “กลืนหายไปในโครงสร้างเรขาคณิตพับตัว” (Folded Geometric Entanglement) ซึ่งทำให้สูญเสียการติดต่อและการควบคุมอย่างสมบูรณ์ ต้องมีการตั้งมาตรการสำรองและโปรโตคอลการกู้คืนอย่างเคร่งครัดก่อนปฏิบัติการ.
▪️ 4. การเฝ้าระวังปรากฏการณ์
⟴ Temporal Echo (เสียงสะท้อนของเวลา)
• ติดตามและตรวจสอบปรากฏการณ์ภาพซ้อน (temporal artifacts) ที่ไม่สัมพันธ์กับช่วงเวลาเชิงเส้น เพื่อป้องกันการปะทะหรือปนเปื้อนของข้อมูลเวลาที่ผิดปกติ
• กำหนดเวลาสัมผัสกับสนามของทีมปฏิบัติไม่เกิน 11 นาทีต่อรอบ เพื่อจำกัดผลกระทบเชิงลบจากการได้รับข้อมูลเวลาที่ผิดธรรมชาติ
.
⟴ Cognitive Desynchronization
• เตรียมทีมแพทย์สนามที่เชี่ยวชาญด้านการปรับสมดุลคลื่นสมองและระบบประสาท เพื่อรับมือกับอาการผิดปกติทางจิตใจและการรับรู้
• หากตรวจพบอาการ เช่น หลงลืมซ้อน (memory overlay), วาดแผนที่ซ้ำซ้อน (repetitive symbolic drawing), หรือพูดภาษาที่ไม่รู้จักโดยไม่รู้ตัว (involuntary unknown speech)
→ ให้ถอนตัวออกจากพื้นที่ปฏิบัติการทันที
→ ส่งเข้าหน่วยกักกันและฟื้นฟู “Quarantine Field-Mind” เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของผลกระทบทางจิตและข้อมูลผิดปกติ
▪️ หมายเหตุเสริมจากแผนกวิจัย
“พฤติกรรมของเสาหินไม่ใช่แค่การตอบสนอง มัน ‘รับรู้’ การมีอยู่ของเราในแบบที่ไม่ใช่การตรวจจับ…มันอาจกำลังเรียนรู้ผ่านเรา หรือที่แย่กว่านั้น มันกำลังรอคำสั่งที่เรายังไม่รู้ว่าเราได้ส่งไปแล้ว…”
.
▪️หมายเหตุพิเศษ:
สถาบัน ███████ และภาคี ████ ที่เกี่ยวข้องกับ โครงการ Prometheus Protocol (1978) ได้แสดงความสนใจในโครงสร้างนี้ และขออนุญาตเข้าร่วมศึกษาความเชื่อมโยงระหว่าง “เสาหินแห่ง Ubar” กับ “จุดเรโซแนนซ์ในทวีปแอนตาร์กติกา” ที่มีโครงสร้างแบบเดียวกัน
.
2 บันทึก
3
2
3
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย