[Shoper Gamer] Transport Layer คืออะไร ใน OSI Model โดย

สำรวจ
ลงทุน
คำถาม

มีบัญชีอยู่แล้ว?หรือ

Shoper Gamer

•

15 ก.ค. เวลา 15:57 • การศึกษา

Network By Shoper Gamer

Transport Layer คืออะไร ใน OSI Model

โดย

ในโมเดล OSI (Open Systems Interconnection) ที่ใช้เป็นมาตรฐานในการอธิบายการสื่อสารเครือข่าย ชั้นขนส่ง (Transport Layer) ถือเป็นชั้นที่สำคัญลำดับที่ 4 ทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมระหว่างชั้นเครือข่าย (Network Layer) และ ชั้นสูงกว่า โดยมีบทบาทหลักในการควบคุมการส่งข้อมูลระหว่างอุปกรณ์ต้นทางและ ปลายทางให้มีความน่าเชื่อถือ และ มีประสิทธิภาพ

★
ความหมายของชั้น Transport Layer

Transport Layer เป็นชั้นขนส่งเป็นชั้นที่รับผิดชอบในการส่งข้อมูลระหว่างโฮสต์ต้นทาง และ ปลายทางอย่างถูกต้องและ ครบถ้วน โดยมุ่งเน้นที่

- การควบคุมการไหลของข้อมูล (Flow Control)

- การตรวจสอบ และ แก้ไขข้อผิดพลาด (Error Checking and Recovery)

- การแบ่งข้อมูลเป็นส่วนย่อย (Segmentation and Reassembly)

- การควบคุมความแออัด (Congestion Control)

★
Transport Layer ทำงานอย่างไร

1. การแบ่งข้อมูลเป็นส่วนย่อย (Segmentation)

- แบ่งข้อมูลจากชั้นบน (เช่น ชั้น Session) เป็นส่วนย่อยเรียกว่า Segment (ใน TCP) หรือ Datagram (ใน UDP)

2. การควบคุมการเชื่อมต่อ (Connection Control)

- TCP (Transmission Control Protocol) ใช้การเชื่อมต่อแบบ Connection-oriented โดยมีการ Handshake (SYN, SYN-ACK, ACK) เพื่อสร้างการเชื่อมต่อที่เสถียร

- UDP (User Datagram Protocol) ใช้การส่งข้อมูลแบบ Connectionless ที่ไม่ต้องยืนยันการรับข้อมูล

3. การตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล (Error Detection and Recovery)

- ใช้ Checksum เพื่อตรวจสอบความผิดพลาดของข้อมูล

- หากพบข้อผิดพลาด จะมีการส่งข้อมูลส่วนนั้นซ้ำ (Retransmission)

4. การควบคุมการไหลของข้อมูล (Flow Control)

- ปรับความเร็วในการส่งข้อมูลให้เหมาะสมกับผู้รับ โดยใช้กลไกเช่น Sliding Window

5. การควบคุมความแออัด (Congestion Control)

- ป้องกันไม่ให้เครือข่ายมีข้อมูลหนาแน่นเกินไป โดยลดอัตราการส่งข้อมูลเมื่อพบความแออัด

★
ประเภทของชั้น Transport Layer

☆ 1. โปรโตคอลแบบเชื่อมต่อ (Connection-Oriented Protocol)

โปรโตคอลประเภทนี้จะสร้างการเชื่อมต่อ (Connection) ก่อนส่งข้อมูล และ มีการยืนยันการรับข้อมูล (Acknowledgement) เพื่อให้มั่นใจว่าข้อมูลส่งถึงปลายทางอย่างถูกต้อง

☆ ตัวอย่างโปรโตคอล

- TCP (Transmission Control Protocol)

- ใช้ในแอปพลิเคชันที่ต้องการความน่าเชื่อถือสูง เช่น การโหลดเว็บไซต์ (HTTP/HTTPS), การส่งอีเมล (SMTP), การถ่ายโอนไฟล์ (FTP)

- มีกลไก Flow Control (ควบคุมการไหลของข้อมูล) และ Error Recovery (กู้คืนข้อมูลสูญหาย)

☆ ลักษณะสำคัญ

✔ ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล (Error Checking)

✔ รับประกันการส่งข้อมูลถึงปลายทาง (Reliable Delivery)

✔ ควบคุมความแออัดของเครือข่าย (Congestion Control)

☆ 2. โปรโตคอลแบบไม่เชื่อมต่อ (Connectionless Protocol)

โปรโตคอลประเภทนี้ ไม่มีการสร้างการเชื่อมต่อล่วงหน้า และ ไม่มีการยืนยันการรับข้อมูล (No Acknowledgement) ทำให้ทำงานได้เร็ว แต่ไม่รับประกันความน่าเชื่อถือ

☆ ตัวอย่างโปรโตคอล

- UDP (User Datagram Protocol)

- ใช้ในแอปพลิเคชันที่ต้องการความเร็วสูง และ สามารถทนต่อข้อมูลสูญหายได้ เช่น สตรีมมิ่งวิดีโอ (YouTube, Netflix), VoIP (Zoom, Skype), การเล่นเกมออนไลน์

- ไม่มีการควบคุมการไหลของข้อมูล หรือ กู้คืนข้อมูล

☆ ลักษณะสำคัญ

✔ ส่งข้อมูลเร็ว (Low Latency)

✔ ไม่มี Overhead จากการสร้าง Connection

✔ เหมาะสำหรับข้อมูล Real-Time