16 ก.ค. เวลา 03:08 • หนังสือ

ธรรมะในห้องน้ำ

นานมาแล้ว มีอยู่วันหนึ่งผมไปเข้าห้องน้ำสาธารณะในอาคารที่คุ้นเคยแห่งหนึ่ง ระหว่างทางก็ครุ่นคิดอะไรไปตามเรื่องตามประสาคนหัวอยู่ไม่สุข เข้าไปในห้องน้ำชายแล้ว ก็แปลกใจที่โถปัสสาวะชายหายไปทั้งหมด หาเท่าไรก็ไม่เจอ นึกสงสัยว่าพวกเขาย้ายมันไปที่ใด จนกระทั่งสายตาเหลือบเห็นสุภาพสตรีสองสามคนในห้องนั้น จึงสะดุ้ง เพิ่งพบว่าตนเองเข้าห้องน้ำหญิง! โชคดีที่รอดชีวิตออกมาได้โดยไม่ถูกใครแพ่นกบาล!
1
การเป็นนักเขียนซึ่งชอบคิดพล็อตเรื่องตลอดเวลาก็มีอันตรายของมัน นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่จินตนาการในหัวอยู่เหนือความรู้สึกตัว หลายครั้งที่ผมขับรถโดยไม่รู้ว่าไปถึงจุดหมายได้อย่างไร เป็นเหตุผลหนึ่งที่ไม่ขับรถหากไม่จำเป็น เพราะอาจเป็นอันตรายไม่แพ้ 'เมาแล้วขับ'
1
สมัยเด็กผมเคยอ่านเรื่องประเภทศาสตราจารย์สติเฟื่องมาไม่น้อย ศาสตราจารย์เหล่านั้นเป็นคนฉลาดเหนือคนธรรมดา แต่ก็ป้ำ ๆ เป๋อ ๆ มักออกจากบ้านไปมหาวิทยาลัยโดยลืมสวมกางเกงบ้าง สวมเสื้อผ้าผิดฤดูบ้าง นึกว่าวันจันทร์เป็นวันอาทิตย์บ้าง เวลานั้นอ่านแล้วก็คิดว่าเป็นเรื่องแต่งเหลวไหล เพราะใครเล่าจะลืมโลกได้ถึงขนาดนั้น
แต่หัวสมองของมนุษย์ทำงานด้วยความมหัศจรรย์ของเซลล์ประสาทนูรอนจำนวนนับแสนล้านเซลล์ เมื่อเพ่งจดจ่อกับเรื่องใดเรื่องหนึ่งจนเข้าสู่ภวังค์ โลกภายนอกก็คล้ายหยุดไปชั่วคราว มันจะเป็นอาการที่เราอธิบายพระอรหันต์ผู้เข้าสู่สมาธิขั้นสูงหรือไม่ ก็ไม่รู้ แต่ที่แน่ ๆ คือ พระมีสติรู้ตัว ขณะที่ 'ศาสตราจารย์สติเฟื่อง' ลืมเรื่องนั้นเรื่องนี้ตลอดเวลา!
1
สติสัมปชัญญะ (consciousness) เป็นเครื่องมือหนึ่งที่ธรรมชาติให้เราติดตัวมา จุดมุ่งหมายเพื่อให้เราอยู่รอด ความมีสติทำให้เรารู้ตัว รู้สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นรอบตัว สติทำให้เกิดปัญญา ปัญญาทำให้รู้ว่าอะไรคือปัญหาและหาทางแก้ปัญหา
1
ดังนั้นในทางพุทธจึงมักใช้คำว่า 'สติ-ปัญญา' ควบคู่กันเสมอ เพราะมีสติแต่ไม่มีปัญญาก็แก้ปัญหาไม่ได้ มีปัญญาแต่ไม่มีสติ ก็มีชีวิตรอดยากในโลกที่เต็มไปด้วยการแข่งขัน
1
การทะเลาะกันในครอบครัว ไปจนถึงในสเกลใหญ่ขึ้นคือความแตกแยกในระดับสังคมและประเทศ ส่วนหนึ่งก็มาจากการขาดสติ ปล่อยให้อารมณ์ต่าง ๆ ยึดครองพื้นที่สมองทั้งหมด และอันตรายยิ่งกว่าการเดินเข้าห้องน้ำหญิง เพราะการกระทำที่ขาดสติที่เรียกว่า ทำด้วยอารมณ์ชั่ววูบ มักสร้างความเสียหายที่ย้อนกลับคืนไม่ได้
ท่านพุทธทาสภิกขุเขียนในหนังสือเรื่อง ศิลปะแห่งการใช้สติในทุกกรณี ว่า
"...สตินี้หมายถึงมีปัญญารวมอยู่ด้วย ธรรมดาคนเราย่อมรู้จักคิด รู้จักนึก รู้จักผิดถูกชั่วดี ส่วนนั้นมันเป็นปัญญา แต่ถ้าว่าไม่มีสติแล้ว ปัญญาไม่รู้ว่ามันไปคลานงุ่มง่ามอยู่เสียที่ไหน มันไม่มาช่วยแก้ปัญหาทันท่วงที ฉะนั้นจึงต้องมีสติ คือสิ่งที่ไปดึงเอาปัญญาเข้ามาใช้ให้ทันท่วงที ที่มันเกิดปัญหา...
1
"ถ้าสติเอาปัญญามาได้ทันท่วงทีฉับไว อย่างนี้ปัญญานั้นเปลี่ยนชื่อใหม่ แทนที่จะเรียกว่าปัญญา กลับได้ชื่อใหม่ว่า ปฏิภาณ ปฏิภาณนั้นก็เป็นปัญญาชนิดหนึ่ง คือปัญญาไว ปัญญามาทันท่วงที ไม่ใช่ปฏิภาณลมปากเล่นลิ้น โกหก หลอกลวง นั้นมันเป็นปฏิภาณของคนพาล ถ้าปฏิภาณที่แท้จริงตามหลักธรรมะแล้ว คือปัญญาที่มาไว มาทันท่วงที จนสามารถพูดออกไปได้ทันควันและถูกต้องนี้เรียกว่า ปฏิภาณ...
"คนที่มีปฏิภาณแล้วจะไม่อับจน จะแก้ปัญหาได้ทุกอย่าง ไม่ว่าทางกายหรือทางจิต ไม่ว่าทางวัตถุหรือทางนามธรรม จะไม่เกิดปัญหาเกี่ยวกับการเงิน ทรัพย์สมบัติหรือการกระทำใด ๆ ที่จะต้องกระทำอยู่เป็นประจำวัน เดี๋ยวนี้สติไม่มี คือปัญญาปฏิภาณไม่มี มันก็ทำผิดเสียเรื่อย ก็ต้องมีข้อแก้ตัวเรื่อย สำหรับจะทำความชั่ว มีข้อแก้ตัวสำหรับจะไปดื่มน้ำเมา ไปเล่นการพนัน หรือไปทำอะไรก็ตาม นี่สติไม่มีพอที่จะเอาปัญญามาหักห้ามกิเลส กิเลสก็ครอบครองจิตใจของบุคคลนั้น..."
ไม่น่าเชื่อว่าแค่การไม่สามารถควบคุมความประพฤติของเซลล์ประสาทเพียงวูบเดียว สามารถก่อความเสียหายต่อชีวิตทั้งชีวิต
รู้อย่างนี้แล้ว ทีหน้าทีหลังเวลาเข้าห้องน้ำ ให้ตั้งสติให้ดีเสียก่อน เพราะอาจหัวแตกได้โดยไม่จำเป็น!
จากหนังสือ สองปีกของความฝัน46 บทความกำลังใจ ราคาเพียง 170 บาท = บทความละ 3.69 บาท (ไม่คิดค่าส่ง)
หนังสือหมดเมื่อไร จะไม่ตีพิมพ์ใหม่แล้ว
โฆษณา