17 ก.ค. เวลา 05:53 • ไลฟ์สไตล์
Chiangmai, Thailand

🍡 บทที่ 2: ขนมไทย 101

โรงเรียน “กินหนมยาย” เปิดสอนแล้วจ้ะ!
หลังจากคุยกับแม่ว่าอยาก “ลองทำขนมไทยขาย”
ในช่วงที่รู้สึกเบื่อ ไม่อยากว่างเปล่าเกินไป
มันคือกิจกรรมคลายเหงาก็จริง แต่แฝงไว้ด้วยความตั้งใจทำนะครับ:
จะสานต่อรสชาติขนมไทยแบบที่ “มันยังไม่หายไปไหน”
แม่ผมไม่ได้มีสูตรลับ ไม่ได้ทำขนมอร่อยกว่าชาวบ้าน
แต่แม่ “ซื่อสัตย์” กับรสมือ และวัตถุดิบทุกอย่าง
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง...
“กะทิสด” เท่านั้น!
ผมเคยสงสัยเหมือนกัน ว่าทำไมขนมไทยบางร้านอร่อยมาก หอม มัน กลมกล่อม
แต่บางร้านกลับจืดชืด ทั้งที่หน้าตาก็ดูเหมือนกัน
แม่บอกว่า
“ก็เพราะกะทิมันไม่เหมือนกันไง”
แล้วแม่ก็ลงมือสาธิตให้ดูเลย
เริ่ม(สอน)จากการเลือกมะพร้าวที่ดี
แนะนำให้ลองขูดเองด้วย “กระต่ายไม้” แบบดั้งเดิม
คั้นด้วยน้ำต้มใบเตยอุ่นๆ กลิ่นหอมฟุ้งจนผมถึงกับร้อง...
“เฮ้ยยย!”
เป็นการร้องที่ลืมภาพกะทิกล่องไปชั่วขณะเลยครับ
ขนมที่ใช้กะทิสดเป็นพระเอก อย่าง “วุ้นกะทิ” นี่แหละ
กินแบบเย็นๆ สดชื่น หอม มัน เค็มนิดๆ หวานหน่อยๆ
รสแบบนี้แหละ ที่แม่บอกว่า “ของจริง”
🍌 เมนูขนมไทยรุ่นแรกฝีมือผม
แม่แนะนำว่าอย่าเพิ่งทำเมนูยาก เริ่มจากของบ้านๆ ที่ใครๆ ก็รัก
วุ้นกะทิสด
ขนมต้ม
ขนมตะโก้ (กระทงใบเตย)
ขนมชั้น
ขนมกล้วย
ขนมถั่วแปบ
ขนมมันสำปะหลัง
ทั้งหมดนี้มี “มะพร้าว” เป็นนักแสดงนำ
ผมเลยได้เรียนวิชาพื้นฐานของหลักสูตร “ขนมไทย 101” ทันที:
วิชา: มะพร้าวศึกษา
หรือชื่อเล่นที่ผมตั้งเองว่า
“เลือกมะพร้าวยังไงไม่ให้ขนมพัง”
มะพร้าวแก่: กะลาสีเข้ม เนื้อมะพร้าวแข็ง ใช้คั้นหัวกะทิ
มะพร้าวทึนทึก: เนื้อยังนุ่ม ใช้ทำไส้กระฉีก
มะพร้าวขูดคลุกขนม: ขูดให้ได้เส้นฝอยเบาๆ
มะพร้าวขูดคั่วหน้า: ขูดหยาบนิด เพื่อความหอม
มะพร้าวอ่อนระดับ 1: เนื้อเป็นวุ้น ใช้ทำวุ้น/กะทิน้ำหาง
มะพร้าวอ่อนระดับ 2: เนื้อนุ่ม ไม่ติดเปลือก ใช้ทำขนมบ้าบิ่น บัวลอย กล้วยบวชชี ฯลฯ
ผมลงมือทำเองหมด
เจ็บมือก็ยอม มือด้านก็ทน
เพราะรู้ว่า วันหนึ่งผมจะได้ส่งขนมเหล่านี้ให้คนที่ “รักขนมไทย” ได้กิน
🛍️ แล้วจะขายยังไงดีล่ะ?
ตอนนั้นปี 2565 โควิดยังไม่ซา
เปิดร้านหน้าบ้านก็กลัวไม่มีใครกล้าเดินเข้า
ค้าขายช่วงนั้นเหมือนเครื่องยนต์สะดุด ขายก็ไม่แน่ ใจก็ยังไม่กล้า
โชคดีที่อำเภอเล็กๆ ของผมมีเพจแนะนำของกินใน Facebook
ผมเลยลองโพสต์รูปขนมลงไป “ขำๆ แก้เหงา”
แต่ปรากฏว่า...
ไม่ขำเลยครับ คนเริ่มสั่งจริง! 😂
🧠 แล้วชื่อร้านล่ะ? “ขนมแม่สน” ดีไหม?
ตอนนั้นผมนึกถึงหลักการสร้างแบรนด์แบบคลาสสิก:
Awareness > Knowledge > Liking > Preference > Conviction > Purchase
หรือพูดแบบบ้านๆ:
เห็น → รู้สึกดี → อยากลอง → ติดใจ → บอกต่อ
ก็เลยคิดว่าชื่อร้านต้องทำให้ “จำได้” และ “แชร์ต่อได้”
ผมเลยหันไปถามหลานสาววัยรุ่นว่า
“ช่วยลุงตั้งชื่อร้านขนมหน่อย”
หลานตอบสั้นๆ ว่า
“กินหนมยาย”
ตอนแรกก็ขำ
แต่พอนั่งทบทวนดีๆ — มันใช่เลย
อบอุ่น เป็นกันเอง และที่สำคัญ...
มัน “จริง”
🎨 เริ่มสร้างแบรนด์เล็กๆ แบบบ้านๆ
ออกแบบโลโก้เอง
สั่งทำสติ๊กเกอร์ติดกล่อง
ถ่ายรูปขนม (แสงแดดจากสวนหน้าบ้านช่วยชีวิตมาก 😅)
โพสต์รับพรีออเดอร์วันแรก...
เสียงโทรเข้ามา:
“มีขนมแหม่ก่อเจ้า?”
ยอดสั่งทะลักจนผมต้องโทรหาแม่ว่า
“แม่ๆ ทำเพิ่มอีกได้ไหม?”
เช้าวันถัดมา
ผมกับแม่ก็เริ่มภารกิจใหม่:
พาขนมไทย…ไปถึงบ้านของลูกค้า
ในชื่อเล็กๆ ที่เรียบง่ายว่า:
“กินหนมยาย”
โฆษณา