18 ก.ค. เวลา 02:10 • ประวัติศาสตร์

สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี

สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี เสด็จพระราชสมภพเมื่อวันที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2443 ณ จังหวัดนนทบุรี เป็นบุตรคนที่ 3 ในนายชูและนางคำ มีพี่น้อง 2 คนซึ่งได้ถึงแก่กรรมตั้งแต่เยาว์วัย คงเหลือแต่น้องชายซึ่งอ่อนกว่า 2 ปี ชื่อ คุณถมยา
พระองค์ทรงอยู่ในความอุปการะของป้าซ้วย พี่สาวของพระชนนีคำ ซึ่งมีอาชีพรับจ้างม้วนบุหรี่ และทำขนมขาย วันหนึ่ง ญาติของครอบครัวนายชู มาแนะนำนางคำ ให้นำเด็กหญิงสังวาลย์ ไปฝากคุณจันทร์ แสงชูโต ซึ่งเป็นญาติและพระพี่เลี้ยงในสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าวไลยอลงกรณ์ นรินทรเทพยกุมารี(พระเชษฐภคินีในสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามหิดลอดุลเดช) เพื่อถวายตัวเป็นข้าหลวง ในขณะนั้นมีพระชนมายุเพียง 7-8 พรรษา
เข้าศึกษาที่โรงเรียนศึกษานารีได้ไม่นาน พระองค์ก็ได้ถูกส่งไปศึกษาที่โรงเรียนสตรีวิทยา โดยประทับอยู่บ้านคุณหวน หงสกุล วัดมหรรณพาราม โรงเรียนเพื่อประชาชนสามัญแห่งแรก จากนั้นได้เข้าโรงเรียนแพทย์ผดุงครรภ์ และหญิงพยาบาลแห่งศิริราช ตามคำชักชวนจากพระยาดำรงแพทยกุล
ทรงเป็นนักเรียนที่มีอายุน้อยที่สุดในรุ่นของพระองค์ซึ่งมีจำนวนเพียง 14 คน พระองค์ทรงเรียนได้ดีและทรงศึกษาสำเร็จภายใน 3 ปี และทรงทำงานต่อที่โรงพยาบาลศิริราช ตามข้อผูกพันของการเป็นนักเรียนหลวง หลังจากสำเร็จการศึกษา ทรงได้รับการคัดเลือกให้ไปทรงศึกษาวิชาพยาบาลต่อที่โรงเรียนแพทย์มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ประเทศสหรัฐอเมริกา
เมื่อไปเรียนต่างประเทศจำเป็นที่จะมีนามสกุลในหนังสือเดินทาง เมื่อขณะนั้นยังไม่มีนามสกุล จึงจำเป็นต้องมีการหานามสกุลให้ นางสาวสังวาลย์จึงได้ใช้นามสกุลของข้าราชบริพารที่มีนามสกุลคนหนึ่งซึ่งเป็นเจ้ากรมของสมเด็จเจ้าฟ้าฯกรมขุนสงขลานครินทร์ คือ ขุนสงขลานครินทร์(หลี ตะละภัฎ) พระองค์จึงมีพระนามในหนังสือเดินทางว่า นางสาวสังวาลย์ ตะละภัฏ(มีพระราชกฤษฎีกาให้ใช้คำนำนามสตรี พ.ศ. 2460)
ต่อมา คุณถมยา เมื่อเจริญวัยแล้ว ได้ไปขอจดทะเบียนที่อำเภอใช้นามสกุล"ชูกระมล" ถึงแม้ว่าพระองค์ไม่เคยใช้นามสกุลดังกล่าว ก็อยากจะถือว่าทรงเกิดมาในสกุลนี้
ในปี พ.ศ. 2460 ทรงได้รับทุนให้ไปเรียนวิชาพยาบาลเพิ่มเติมที่สหรัฐฯ ซึ่งที่นั่นพระองค์ได้ทรงพบกับ สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมขุนสงขลานครินทร์(สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก) ซึ่งได้ทรงถูกพระทัย และขอพระราชทานพระราชานุญาตหมั้นกับ นางสาวสังวาลย์
จากนั้นได้ทรงจัดพิธีอภิเษกสมรส ที่วังสระปทุม เมื่อวันที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2463 มีพระราชโอรสและพระราชธิดา 3 พระองค์ ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณต่อประชาชนไทยเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะด้านการแพทย์ ทรงตั้งมูลนิธิขาเทียมออกจัดทำขาเทียมให้ผู้พิการ
สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจ เพื่อประชาชนชาวไทยอย่างมากมาย เช่น ทรงให้การอุปถัมภ์ราษฎรชาวไทยภูเขาที่อาศัยในถิ่นทุรกันดาร เพื่อให้มีอาชีพ ตลอดจนมีคุณภาพชีวิตที่ดี จนเป็นที่มาของ‘มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง’ ทรงตั้งมูลนิธิแพทย์อาสาสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี(พอ.สว.) เพื่อรักษาราษฎรที่เจ็บไข้ได้ป่วย ซึ่งส่วนใหญ่ฐานะยากจน อยู่ในถิ่นทุรกันดาร ทรงตั้งมูลนิธิขาเทียมออกจัดทำขาเทียมให้ผู้พิการ
นอกจากนี้ยังทรงเป็นแบบอย่างของความพอเพียง ทรงสอนพระโอรสและพระธิดาให้รู้จักการเสียสละ แบ่งปัน มาตั้งแต่เมื่อครั้งยังทรงพระเยาว์
โดยพระองค์จะทรงตั้งกระป๋องออมสินเรียกว่า‘กระป๋องคนจน’ หากทรงนำเงินไปทำกิจกรรมแล้วมีกำไร จะต้องถูก‘เก็บภาษี’ หยอดใส่กระปุกนี้ 10% และทุกสิ้นเดือนพระองค์จะเรียกประชุมเพื่อตรัสว่า จะนำเงินในกระป๋องไปทำอะไร เช่น มอบให้โรงเรียนตาบอด มอบให้เด็กกำพร้า หรือทำกิจกรรมเพื่อคนยากจน
สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี มีพระนามที่นิยมเรียกกันว่า"สมเด็จย่า" ทั้งนี้พระองค์ยังได้ประกอบพระราชกรณียกิจเยี่ยมราษฎรชาวไทยภูเขาที่อาศัยในถิ่นทุรกันดาร และได้พระราชทานความช่วยเหลือผ่านทางเฮลิคอปเตอร์พระที่นั่ง เปรียบเสมือนพระองค์เสด็จมาจากฟากฟ้าช่วยให้พวกเขามีวิถีชีวิตที่ดีขึ้น ชาวไทยภูเขาจึงถวายพระสมัญญานามว่า"แม่ฟ้าหลวง"
สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี เสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2538 ด้วยโรคพระวักกะ(ไต) ณ โรงพยาบาลศิริราช สิริพระชนมายุ 94 พรรษา
ปัจจุบัน ได้มีการกำหนดให้วันที่ 21 ตุลาคมของทุกปี ซึ่งเป็นวันคล้ายวันพระราชสมภพของสมเด็จย่า เป็นวันทันตสาธารณสุขแห่งชาติ วันพยาบาลแห่งชาติ วันสังคมสงเคราะห์แห่งชาติ และวันรักต้นไม้ประจำปี
โฆษณา