18 ก.ค. เวลา 04:02 • ประวัติศาสตร์

ทุกข์เท่าไหร่ก็จะทน

สวัสดีครับท่านผู้อ่านทุกท่าน ก่อนที่จะไปอ่านบทความนี้ ผู้เขียนขอให้ทุกท่านโปรดช่วยกดไลก์ กดติดตาม และกดแชร์ เพื่อเป็นกำลังใจให้ผู้เขียนในการทำบทความต่อๆไป
สำหรับท่านใดที่มีเรื่องใดน่าสนใจ ท่านสามารถส่ง inbox ข้อความมาได้ที่ Facebook Supakrit Falcon หากเรื่องใดโดนใจผู้เขียนจะนำเรื่องราวไปศึกษาค้นคว้าหาข้อมูลเพื่อเตรียมการเสนอครั้งต่อไป
บทความนี้ขอใช้ประสบการณ์จากที่ผู้เขียนฟังธรรมะมาสอดแทรกอาจมีไม่หน่อยก็ต้องขออภัย เนื่องจากจะมีฉากการปฏิบัติภารกิจของทหารนายหนึ่ง ท่านจะเป็นใครรอติดตามกันได้ จากนี้จะเป็นบทสนทนาระหว่างพระชั้นผู้ใหญ่รูปหนึ่งกับทหารเสือราชินีนายหนึ่ง ผู้พันทหารเสือราชินีนายนี้ถ้าจำกันได้เคยมีในเรื่องสั้นหรือบทความที่ผู้เขียนได้เขียนไปแล้ว สามารถไปหาอ่านกันได้ ส่วนทหารกล้าจะเล่าในบทความนี้จากปากหลวงพ่อหรือที่ผู้เขียนนำมาจาก อาจารย์หนุ่ม พลตรี ศนิโรจน์ ธรรมยศ เป็นบุคคลที่มีตัวตนจริงๆไปติดตามกันได้ครับ
พันโท : กระผมจะขอเรียนถามหลวงพ่อครับ
หลวงพ่อ : เชิญเลยผู้พัน ผู้พันมีอะไรจะถามหลวงพ่อ
พันโท : กระผมจะขอเรียนถามว่า ถ้าจะลาออกจากราชการมาบวช เพราะที่ผ่านมาพวกผมไปฆ่าคนมาเยอะ จิตเลยไม่เป็นสุข หลวงพ่อคิดว่ายังไงครับ
หลวงพ่อ : ผู้พันลองคิดดูเสียเถิด อนาคตผู้พันอาจได้เป็นใหญ่เป็นโต ผู้พันไม่ต้องบวชแต่สามารถศึกษาหลักธรรมควบคู่ไปกับการเป็นทหารได้ หลวงพ่อแนะนำว่าว่างๆผู้พันลองสวดมนต์และนั่งสมาธิดู ชีวิตจะดีขึ้น อ้อ เเล้วหลวงพ่อมีเรื่องเล่านะ
พันโท : เรื่องอะไรครับ
หลวงพ่อ : เป็นเรื่องราวของพันโท ปริญญา อยู่เพ็ชร ทหารไทยที่ไปรบในสงครามบ้านร่มเกล้า หลวงพ่อจดบันทึกจากคลิปที่อาจารย์หนุ่มแกเล่าเรื่อง ด้วยความที่หลวงพ่อเป็นคนจดบันทึกทุกๆเรื่องในโลกเพื่อสอดแทรกกับการสอนธรรมะไปด้วย หลวงพ่อจึงไม่อายเวลาใช้วิธีนี้ในการสั่งสอนธรรม จะเบื่อหรือไม่หลวงพ่อขอให้ผู้พันสดับตรับฟังดูนะ
เมื่อนั้นหลวงพ่อเล่าเรื่องด้วยน้ำเสียงนุ่มๆ สุขุมว่า " ปีพ.ศ.2531 ณ สงครามบ้านร่มเกล้า สงครามนี้ร้ายแรงมาก ตายกันเยอะจริงๆหลวงพ่อไม่เคยลืม มีอยู่ครั้งหนึ่งนะผู้พัน กองทัพไทยเผชิญหน้ากับการระดมยิงอย่างไม่เลือกเป้าหมายจากอาวุธหนักของข้าศึกทั้งปืนใหญ่และเครื่องยิงลูกระเบิดที่ตั้งอยู่ลึกเข้าไปในดินแดนของฝ่ายตรงข้าม ในช่วงเวลาที่สถานการณ์ตึงเครียดถึงขีดสุดนี้เองกองพลรบพิเศษที่ 1 ได้รับมอบภารกิจสุดหฤโหษจากกองทัพบก"
ผู้พันนั่งฟังด้วยความสนใจ หลวงพ่อเล่าต่อว่า "หน่วยเฉพาะกิจสีหราชเดโชพร้อมชุดรบผสม 4 ชุด ได้รับคำสั่งให้แทรกซึมเข้าไปในดินแดนของข้าศึกเพื่อชี้เป้าให้ปืนใหญ่ของฝ่ายเราในการทำลายที่ตั้งอาวุธหนักของศัตรู"
"พันโท ปริญญา อยู่เพ็ชร รองผู้บังคับชุดรบผสมที่ 1 แห่งหน่วยเฉพาะกิจสีหราชเดโช ผู้ชายคนนี้ไม่ใช่คนแปลกหน้า สำหรับสมรภูมิ เขาคือลูกชายของทหารผ่านศึกเวียดนาม เขาถูกปลูกฝังให้เป็นทหารตั้งแต่เยาว์วัย ชีวิตของเขาถูกหล่อหลอมด้วยความรู้และประสบการณ์จากครูบาอาจารย์ รวมถึงการฝึกฝนอันเข้มข้นในการจัดตั้งชุดควบคุมและประสานงาน 514 (ชค 514) ที่สอนให้เขา แข็งแกร่ง อดทน และรู้จักการแก้ปัญหา"
ในช่วงเวลาดังกล่าวพันโทปริญญาในวัยเพียง 20 กว่าปีต้องปกครองทหารพรานที่ล้วนแต่มีอายุและประสบการณ์มากกว่า มีคำสบประมาทอย่างไอ้หน้าละอ่อนเนี่ยนะ มันจะเก่งแค่ไหน ไม่ได้ทำให้เขาท้อแท้ แต่กลับกลายเป็นแรงผลักดันให้เขาต้องแสดงภาวะผู้นำออกมาให้เห็น"
"เขาทำได้ด้วยการเป็นผู้นำในแนวหน้า วิ่งนำลูกน้องเข้าตีฐานข้าศึก แม้จะมีความกลัวในใจก็ตามเขายังแสดงความสามารถในการกู้ระเบิดและทุ่นระเบิดที่ฝึกฝนมา เมื่อผ่านพ้นสถานการณ์เหล่านั้น เขาก็ใช้หลักคุณธรรมในการปกครองควบคู่ไปกับความเด็ดขาด เพื่อครองใจลูกน้องจนลูกน้องที่เคยดูแคลนกลับกลายเป็นคนที่พร้อมจะพลีชีพปกป้องเขาในทุกสมรภูมิ"
"ต้นปีพ.ศ. 2531 หลวงพ่อพึ่งมาบวชที่วัดนี้พอดีตรงกับช่วงที่พันโทปริญญาถูกเรียกตัวอย่างกะทันหัน มีเวลาเพียงไม่กี่วันสำหรับการวางแผน ปรับกำลัง และซักซ้อมแผน"
"ผู้พันเชื่อไหม ข้อมูลเกี่ยวกับพื้นที่ปฏิบัติการมีน้อยมาก ทำให้เกิดความกังวลอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ด้วยความเป็นทหารและการถูกปลูกฝังจากประสบการณ์ที่ผ่านมา ให้ทำภารกิจให้ประสบสำเร็จไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ความกลัวจึงเปลี่ยนเป็นความรับผิดชอบอันใหญ่หลวง เขาจะต้องรับผิดชอบต่อชีวิตลูกน้อง ต่อทีม และต่อภารกิจ ไม่ต่างอะไรกับหลวงพ่อที่จะต้องดูแลพระแลเณรทั้งวัดในฐานะเจ้าอาวาส"
ทหารยศพันโทนั่งฟังไปเรื่อยๆไม่มีการถามแทรกท่าน "ในคืนวันที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2531 เวลาประมาณ 21:30 น. ชุดรบผสมของพันโท ปริญญา ซึ่งประกอบด้วยกำลังพล 34 นาย ได้เคลื่อนที่ออกจากค่ายสฤษดิ์เพื่อแทรกซึมเข้าสู่เขตอำเภอท่าลี่ จังหวัดเลย พวกเขาข้ามลำน้ำเหืองซึ่งกั้นพรมแดนไทย-ลาว เข้าสู่ดินแดนของฝ่ายตรงข้าม ความท้าทายเริ่มต้นขึ้นเมื่อคนนำทางชาวม้งล้มป่วย ทำให้ พวกเขาต้องดำเนินภารกิจต่อไปโดยลำพัง"
"ภัยคุกคามหนักขนาดไหนท่านเจอครับหลวงพ่อ" เขาถามหลวงพ่อ จากนั้นหลวงพ่อจึงตอบว่า "การเคลื่อนที่ถูกจำกัดให้อยู่แต่ในเวลากลางคืนเท่านั้น เพราะเฮลิคอปเตอร์ Mi-8 ของข้าศึกบินลาดตระเวนตลอดเวลาในเวลากลางวัน หน่วยต้องหยุดพักและหลบซ่อนตัวในป่า โปร่งโดยสมาชิกต้องนอนหงายหน้ามองเฮลิคอปเตอร์ที่บินผ่าน รอดมาได้ก็บุญแค่ไหนแล้ว ถ้ามันเห็นแล้วยิงใส่เขาป่านคงจะไม่มีเรื่องเล่าให้หลวงพ่อจดบันทึกดอก"
"ในคืนแรกของการแทรกซึมขณะที่ต้องผ่านพื้นที่โล่งแจ้ง พวกเขาเผชิญหน้ากับรถบรรทุก เก่าๆ ของข้าศึกที่ขับผ่านมาบนถนนในป่า
ด้วยสัญชาตญาณของการเป็นนักรบ พวกเขา ตัดสินใจซุ่มหลบอยู่ข้างหัวคันนาแคบๆ เลือกที่จะไม่เปิดฉากโจมตีเพื่อรักษาภารกิจไม่ให้เสียเที่ยว ในขณะเดียวกันพวกเขามีความกระหายที่จะเข้าดักรถถังตามเส้นทางลำเลียงสำคัญของข้าศึกเพื่อตัดกำลังส่งบำรุง พวกเขาจึงมุ่งมั่นที่จะวางทุ่นระเบิดเพื่อจัดการรถถัง"
"ความทรมานมันมีนะใช่ว่าจะไม่มี สิ่งที่เลวร้ายยิ่งกว่าการเผชิญหน้ากับข้าศึกคือการขาดแคลนน้ำอย่างรุนแรง ในช่วงหน้าแล้ง ช่วงนั้นเป็นเดือนกุมภาพันธ์ ถ้าผู้พันเคยนำลูกน้องไปลาดตระเวณช่วงนั้นจะเห็นภูเขาไม่สวยงามถูกจริตตา ไม่มีต้นไม้สีเขียว เป็นดินลูกรังไม่มีแหล่งน้ำให้เห็น จึงทำให้เสบียงหรือกับข้าวไม่สามารถรับประทานได้เพราะไม่มีน้ำหรืออาหารดีๆแบบร้านเซเว่น แม้แต่ตัวพันโทปริญญาเองก็เป็นเช่นนั่นไม่ต่างกับผู้พันเพราะเขาเคยไปบุกป่าฝ่าดงเช่นนี้มาแล้วจึงพบกับเจอกับความทุกข์นี่แล"
"จนกระทั่งเข้าสู่วันที่ 3 ของภารกิจพวกเขาต้องดื่มน้ำขี้โคลนที่ขุดเจอ เมื่อเข้าสู่วันที่ 7 ของภารกิจซึ่งพวกเขาอยู่ลึกเข้าไปเกือบ 20 กิโลเมตรจากชายแดน สถานการณ์เลวร้ายมากถึงขั้นต้องดื่มปัสสาวะของตัวเองเพื่อประทังชีวิต นี่คือบททดสอบความแข็งแกร่งทั้งร่างกายและจิตใจอย่างแท้จริง เรื่องนี้สอนให้รู้ว่าถ้าไม่มีทุกข์เป็นบทเรียนมันก็ไม่มีกำลังใจอันฮึกเหิมที่จะไปรบกับใครได้"
"ในวันที่ 10 ของภารกิจคือวันที่ 16 กุมภาพันธ์พ.ศ. 2531 เมื่อกำลังพลกำลังหาแหล่งน้ำพวกเขาก็ปะทะเข้ากับชุดลาดตระเวนของข้าศึก  เสียงปืน RPG , M79 พร้อมด้วยอาวุธปืนเล็กดังสนั่นไปทั่วป่า ตอนนั้นข้าศึกมันเปิดฉากยิงก่อนทันที สิบตรี สมบัติ อังสนันท์ สหายร่วมรบได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการโดน RPG เข้าไปเต็มๆ"
"ท่านกลางความเป็นความตายพันโทปริญญาไม่รีรอ เขาจึงใช้ความเป็นผู้นำชุดลงไปช่วยเหลือทันทีท่ามกลางการยิงตอบโต้กันอย่างหนัก เพราะถูกปลูกฝังเสมอว่านักรบพิเศษต้องไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ตอนนั้นเขาไม่สนใจนะว่าชีวิตเขาจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร เขาจะได้ออกไปจากป่าแห่งนี้ได้ไหม เขาไม่ได้คิดเรื่องนี้เลยในสถานการณ์ที่ลูกน้องกำลังถูกยิงปะทะอย่างหนัก เขามีแต่จะต้องเข้าไปเพื่อให้ทหารทุกนายได้ปลอดภัยสำหรับใช้ในการรบครั้งหน้า"
" การปะทะดำเนินไปอย่างดุเดือดนานกว่า 4 ชั่วโมง ในช่วงเวลาคับขันนั้นเขาจับเชลยได้ 3 คน ซึ่งเป็นทหารกองหลอนติดอาวุธ ด้วยความเฉลียวฉลาดในสถานการณ์วิกฤตเขาตัดสินใจใช้เชลยเหล่านี้แบกหามคนเจ็บกลับออกมา แทนที่จะสังหารทิ้งในสนามรบ"
หลวงพ่อเล่าเรื่องแบบน่าตื่นเต้นในขณะที่ท่านยังคงสำรวมกาย "เมื่อถอนตัวออกมาถึงจุดนัดพบเสียงที่ไม่คาดคิดก็ดังขึ้น "ก๊กๆๆๆ" เหมือนรถกำลังลากของหนัก ผ่านไปไม่ถึง 5 นาทีหลังจากนั้น เสียงปืนใหญ่ก็กระหน่ำลงมายังจุดที่พวกเขาเพิ่งจะถอนกำลังออกมา! ต้นไม้ในป่าสั่น ใบไม้ร่วงลงจากต้นไม้ตามแนวโน้มถ่วงโลก"
"แผ่นดินสะเทือนไปหมดจากเสียงปืนใหญ่ ลูกน้องในทีมเริ่มขวัญเสีย จนมีบางคนเกือบจะเตลิดหนี ถ้าเป็นเสียงปืนใหญ่มันได้ยินไปทั้งป่าเชียว ผู้พันลองนึกดูขนาดนกยังจะต้องบินหนี สัตว์บกจะวิ่งต้องหลบหนีตามสัญชาตญาณของพวกมัน อานุภาพช่างร้ายจริงๆหนอ"
"ใจเย็นๆ ถ้าแตกยิ่งตาย! อยู่กับที่ก่อน!" พันโทปริญญาสั่งการเสียงดังแม้ในใจจะยอมรับว่ากลัวตาย เขาจึงเลือกที่จะแสดงภาวะผู้นำอีกครั้ง จึงนำพาทหารทุกนายคลานขึ้นสู่สันเขา ซึ่งเป็นจุดที่อาวุธวิถีโค้งโจมตียากกว่า
พวกเขาจึงเคลื่อนที่แบบ "กบกระโดด" ไปตลอดทั้งคืนแทนการเดินเท้า"
"โดยมีคนเจ็บอยู่ตรงกลาง และกระสุนที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิด เชลยยังคงถูกบังคับให้แบกคนเจ็บนำไปส่งให้หน่วยใหญ่ก่อน ในที่สุดพวกเขาก็สามารถมาสมทบกับกำลังส่วนใหญ่และได้รับคำสั่งให้ถอนกำลังออกมาจากป่านรกได้สำเร็จ"
"แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้ไปบุกถึงฐานสุดท้ายของข้าศึกที่บ้านนากอก เมืองบ่อแตน ซึ่งเป็น ศูนย์สนับสนุนขนาดใหญ่ที่มีปืนใหญ่และ เฮลิคอปเตอร์จอดอยู่ แต่การปฏิบัติการครั้งนี้กลับสร้างผลลัพธ์ที่สำคัญยิ่งกว่าการแทรกซึม ลึกถึงหลังแนวข้าศึกได้สำเร็จ ทำให้ฝ่ายตรงข้ามเสียขวัญ เพราะพวกเขาตระหนักดีว่าศัตรูสามารถเข้าถึงใจกลางของพวกเขาได้"
"สำหรับเรื่องราวของหน่วยเฉพาะกิจสีหราชเดโชและพันโท ปริญญา อยู่เพ็ชร คือเรื่องราวที่พิสูจน์ถึงความกล้าหาญ การเสียสละ และความมุ่งมั่นที่ไม่ย่อท้อ นี่คือวีรกรรมของนักรบ พิเศษที่พิสูจน์ให้เห็นว่า แม้ความกลัวจะเป็นธรรมชาติของมนุษย์ แต่ความรับผิดชอบและภาวะผู้นำสามารถเปลี่ยนความกลัวให้กลายเป็นพลังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดได้"
หลวงพ่อกล่าวต่อไปว่า "ผู้พันจำไว้นะดีหรือชั่วอยู่ที่ตัวเรา พันโท ปริญญา อยู่เพ็ชร จริงๆเขาก็เป็นคนๆหนึ่งเพียงแต่ว่ามีหน้าที่ต้องรับผิดคือการปกป้องประเทศจากทหารข้าศึก ถ้าไม่ยิงก็เสียศักดิ์ศรีทหาร มันคือความจำเป็นที่เขาและผู้พันหลีกเลี่ยงไม่ได้ ถึงมันจะเป็นบาปหรือเป็นการสร้างเวรกรรม เราก็ควรที่จะปกป้องประเทศชาติให้เป็นปึกแผ่นจนถึงวินาทีสุดท้าย"
"หลวงพ่อขอย้ำผู้พันอีกครั้งว่า อย่าลืมสวดมนต์ นั่งสมาธิและเเผ่เมตตาให้ทหารข้าศึกที่ผู้พันเคยก่อกรรมชั่วไว้ ยิ่งแผ่เมตตาชีวิตผู้พันจะมีความสุข หามีผู้ใดเบียดเบียนไม่ เรื่องราวร้ายๆกลายสามารถเป็นความเข้มแข็งได้จากเรื่องที่หลวงพ่อเล่ามาเปรียบเสมือนกับพระมหาชนกที่เรือแตกในมหาสมุทร แต่ยังทรงเพียรว่ายน้ำต่อไป 7 วัน 7 คืน ''
"โดยมุ่งไปทางเมืองมิถิลา แม้จะทรงเหน็ดเหนื่อยสักเพียงใดพระองค์ก็ไม่ทรงท้อถอย ทรงยึดมั่นในเป้าหมายที่จะกอบกู้ราชสมบัติกลับคืนมาให้ได้ จนเทพธิดามณีเมขลาเห็นความเพียรพยายามของพระมหาชนกก็เกิดความเลื่อมใส นางจึงอุ้มพระองค์เหาะไปส่งไว้บนแผ่นศิลามงคลในพระราชอุทยานของมิถิลานคร"
"พระมหาชนกทรงเป็นแบบอย่างความเพียร ที่แสดงให้เห็นว่าถึงอะไรๆจะทุกข์ มันก็ไม่ได้ทุกข์ไปตลอด มันมีความสุขปะปนเข้ามาด้วย ทหารไทยแม้จะทนทุกข์เสียเลือดเนื้อเพื่อรักษาแผ่นดินไทย แต่ก็มีความสุขเข้ามาแทรกบ้างหนาผู้พัน เช่นการพบปะชาวบ้านในพื้นที่ การทำกิจกรรมเพื่อสังคม หรืออะไรๆก็แล้วแต่ที่ไม่ไช่สงครามทหารก็ยังเป็นที่พึ่งพาของประชาชนได้เสมอ"
"ฉะนั้นก่อนที่จะเกษียณอีก 20 กว่าปีนับจากนี้ ขอให้ผู้พันนำสิ่งที่หลวงพ่อพูดไปสอนทหารในหน่วยด้วยจะได้ให้พวกเขามีกำลังใจในการปกป้องชาติบ้านเมือง"
"กราบพระขอบคุณหลวงพ่อนะครับ กระผมจะนำคำสอนหลวงพ่อไปปฏิบัติด้วยความศรัทธาและความมุ่งมั่น หากกระผมรบกวนเวลาหลวงพ่อก็ต้องขออภัยด้วยครับ" ผู้พันกล่าว
"เจริญพร แล้วพบกันเมื่อชาติต้องการ" หลวงพ่อกล่าวจบเขาจึงเดินไปขับรถแล้วออกจากวัดไป จากนั้นเขาก็นำสิ่งที่หลวงพ่อเล่ามาให้ทหารที่จะลาออกฟัง จนไม่มีใครกล้าลาออกพร้อมกับชักชวนสวดมนต์ นั่งสมาธิ และแผ่เมตตาในยามที่ว่างเว้นจากการฝึกในทุกๆวัน
ถ้ามีศัพท์ธรรมะติดมาก็ขออภัยด้วย เพราะผู้เขียนก็ปฏิบัติธรรม จนในขณะนี้สามารถใช้ศัพท์ธรรมะแบบไม่เขินอายได้ แม้บางคำจะใช้ความหมายยากผู้เขียนก็พยายามใช้ภาษาที่ทำให้เข้าใจง่ายเพื่อให้เนื้อเรื่องไม่น่าเบื่อ สำหรับท่านใดอยากลองปฏิบัติธรรมตามตัวละครหลวงพ่อรูปนี้สอนผู้พัน สามารถนำไปปรับใช้ได้ ไม่ว่าท่านจะมีอายุน้อยหรืออายุมาก ท่านลองทำดูเถิดครับ จะได้ไม่เสียประโยชน์ที่เกิดมาในชาตินี้ เอวังก็มีประการละฉะนี้ ขอลาไปก่อนสวัสดีครับ
Credit บทความและภาพประกอบ
ชายน้อย ยำใหญ่
กลุ่มภาพเก่าในอดีต
วิกิพีเดีย
อาจารย์หนุ่ม พลตรี ศนิโรจน์ ธรรมยศ
เรียบเรียงบทความ : นักรบชายแดน
โฆษณา