เมื่อเข้าสู่ทศวรรษ 1970 เขาตัดสินใจทำในสิ่งที่ถือว่าอุกอาจที่สุดสำหรับดาราในยุคนั้น หวังหยู่กล้าฉีกสัญญากับชอว์บราเธอร์สแล้วหันไปหาคู่แข่งหน้าใหม่อย่างโกลเดนฮาร์เวสต์ การกระทำนี้เท่ากับการประกาศสงครามกับนายทุนเก่า เพราะสัญญากับชอว์ยังไม่หมด แล้วไปอยู่กับบริษัทที่อดีตลูกหม้อของชอว์ของเรย์มอนด์ เชาและเลียวนาร์ด โฮออกมาตั้งบริษัทสร้างหนังเป็นคู่แข่งกันอย่างเปิดเผย กลายเป็นเรื่องใหญ่โตเพื่อซื้อใจหวังหยู่ ชอว์ให้หวังหยู่กำกับหนังหวังหยู่สู้ตาย The Chinese Boxer (1970) อยากทำอะไรก็ได้ตามใจ
หวังหยู่ขอลองทำหนังตามแนวทางของตัวเองโดยไม่ต้องมีจางเชอะคุม The hinese Boxer เลยเป็นงานที่เขาทั้ง กำกับ เขียนบท และแสดงนำเอง พอหนังออกฉายประสบความสำเร็จถล่มทลาย ทำเงินสูงมากและเป็นจุดเริ่มต้นให้หนังแนว กังฟูหมัดมวย กลายเป็นกระแสใหม่ในฮ่องกง แทนที่หนังดาบแฟนตาซีแบบเดิมที่กำลังเริ่มตกยุคพอดี ดังนั้น The Chinese Boxer ก็เหมือนการเปิดประตูให้กับหนังกังฟูสายดิบ
The Chinese Boxer หนังเรื่องแรกที่หวังหยู่กำกับเองและกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของวงการ หนังกวาดความสำเร็จเพราะมันทลายกรอบของหนังกำลังภายในแบบเดิมที่เต็มไปด้วยดาบ อาวุธวิเศษ เคล็ดลับวิชา พลังตัวเบา และพลังลมปราณเหนือจริง หวังหยู่แทนที่ด้วยการต่อสู้มือเปล่าที่ดิบและสมจริงขึ้นมาก เป็นครั้งแรกที่คนดูรู้สึกได้ว่ากังฟูไม่ใช่เรื่องของเซียนบนยอดเขา แต่เป็นศิลปะการต่อสู้ของมนุษย์ธรรมดา สิ่งนี้เองที่เป็นรากให้ยุคกังฟูหมัดดิบก็เบ่งบาน และเป็นแรงบันดาลใจให้บรูซ ลีมาสานต่อปิดจ็อบในเวลาต่อมาจนโด่งดังไปทั่วโลก
แม้ The Chinese Boxer จะประสบความสำเร็จ หวังหยู่ก็ยังรู้สึกอึดอัด เพราะระบบของชอว์บราเธอร์สยังคงเข้มงวดมาก ทั้งค่าแรงสัญญาถูก และอำนาจสร้างสรรค์ยังจำกัด เขาจึงตัดสินใจฉีกสัญญาหนีออกไป แล้วไปเริ่มต้นใหม่ที่โกลเดนฮาร์เวสต์ และทำ One-Armed Boxer (1972) ในไต้หวัน ซึ่งเป็นเหมือนการแก้แค้นเชิงศิลปะและการตลาดต่อต้นสังกัดเก่า
พูดง่าย ๆ ว่า The Chinese Boxer เป็นหนังสายกังฟูมือเปล่าเรื่องแรกของชอว์ และเป็นผลงานสุดท้ายที่หวังหยู่กำกับให้ชอว์ ก่อนที่เขาจะหนีไปแล้วเปลี่ยนตัวเองเป็นผู้สร้างหนังอิสระ(มีเรมอนด์ เชาเปิดบริษัททำหนังให้)
ชื่อหวังยี่ก็เป็นชื่อที่เส้าอี้ฟู่ลงทุนตั้งให้เอง จงใจสะกดและออกเสียงใกล้เคียงกับ Wang Yu แต่เป็น Wang Yi เพื่อให้คนดูเกิดการเชื่อมโยงโดยอัตโนมัติ เบื้องหลังการตั้งชื่อนี้ก็มีอารมณ์ประชดประชันอยู่ไม่น้อย เพราะตอนนั้นเส้าอี้ฟู่ยังหัวเสียที่หวังหยู่ “ดังแล้วแยกวง” ไปอยู่กับโกลเดนฮาร์เวสต์ แกเลยเรียกจางเชอะมาสั่งให้ทำเดชไอ้ด้วนใหม่
แต่หวังหยู่ยังมีความบ้าพลังซ่อนอยู่ เขาตัดสินใจต่อยอดเรื่องราวของหมัดแขนเดียวให้ยิ่งบ้าดีเดือดยิ่งกว่าเดิมในเดชไอ้ด้วนผจญฤทธิ์จักรพญายม (Master of the Flying Guillotine - 1976) ภาคต่อทางจิตวิญญาณที่ทั้งเพี้ยนกว่าเดิมและดุเดือดจนกลายเป็นหนังคัลท์เหนือกาลเวลา