18 ก.ค. เวลา 07:08 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์

One-Armed Boxer

เมื่อไอ้ด้วนไม่สยบ แขนเดียวก็เอาคืนได้ หวังหยู่โต้กลับชอว์บราเดอร์ส
ในช่วงปลายทศวรรษ 1960 วงการภาพยนตร์ฮ่องกงยังอยู่ใต้ร่มเงาของชอว์บราเธอร์ส สตูดิโอที่ยิ่งใหญ่ผู้กำหนดรสนิยมผู้ชมและสร้างดาราผ่านสูตรสำเร็จ สร้างหนังแบบโรงงาน ชอว์มีสตูดิโอขนาดใหญ่ที่สุดในเอเชีย มีโรงถ่ายที่สามารถสร้างได้พร้อมกันสิบสองเรื่อง มีฉากถาวรจำลองกำแพงเมืองจีน วังหลวง ถนนเมืองโบราณ ทุกอย่างถูกออกแบบประณีต ทว่าภายใต้ความสำเร็จนั้นก็ซ่อนแรงกดดันแบบเผด็จการ นักแสดงถูกผูกสัญญาแน่นหนา ค่าตอบแทนแน่นอนแต่ไม่สูง และต้องเชื่อฟังคำสั่งของผู้บริหารอย่างสิ้นเชิง
ในช่วงเวลาเดียวกัน ชื่อของหวังหยู่เริ่มโดดเด่นขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เขาไม่ได้เริ่มต้นจากโรงเรียนการแสดงแต่เป็นอดีตนักว่ายน้ำทีมชาติที่ถูกค้นพบโดยผู้กำกับจางเชอะ หลังจากฝากฝีมือในหนังเล็กๆ แบบทดลองของจางเชอะคือ Tiger Boy (1966) เพื่อสร้างหนังกำลังภายในแนวทางใหม่ และกลายเป็นซูเปอร์สตาร์กับเดชไอ้ด้วน( One-Armed Swordsman - 1967) พระเอกนักดาบแขนเดียวที่กลายเป็นตำนาน หวังหยู่ถูกยกให้เป็นดาราชูโรงของชอว์
แต่แม้จะประสบความสำเร็จ เขากลับรู้สึกอึดอัดกับกรอบของสตูดิโอและภาพลักษณ์ “พระเอกชอว์” ที่ต้องเท่ เนี้ยบ และเป็นเพียงหุ่นเชิดในระบบอุตสาหกรรมแบบโรงงาน
เมื่อเข้าสู่ทศวรรษ 1970 เขาตัดสินใจทำในสิ่งที่ถือว่าอุกอาจที่สุดสำหรับดาราในยุคนั้น หวังหยู่กล้าฉีกสัญญากับชอว์บราเธอร์สแล้วหันไปหาคู่แข่งหน้าใหม่อย่างโกลเดนฮาร์เวสต์ การกระทำนี้เท่ากับการประกาศสงครามกับนายทุนเก่า เพราะสัญญากับชอว์ยังไม่หมด แล้วไปอยู่กับบริษัทที่อดีตลูกหม้อของชอว์ของเรย์มอนด์ เชาและเลียวนาร์ด โฮออกมาตั้งบริษัทสร้างหนังเป็นคู่แข่งกันอย่างเปิดเผย กลายเป็นเรื่องใหญ่โตเพื่อซื้อใจหวังหยู่ ชอว์ให้หวังหยู่กำกับหนังหวังหยู่สู้ตาย The Chinese Boxer (1970) อยากทำอะไรก็ได้ตามใจ
หวังหยู่ขอลองทำหนังตามแนวทางของตัวเองโดยไม่ต้องมีจางเชอะคุม The hinese Boxer เลยเป็นงานที่เขาทั้ง กำกับ เขียนบท และแสดงนำเอง พอหนังออกฉายประสบความสำเร็จถล่มทลาย ทำเงินสูงมากและเป็นจุดเริ่มต้นให้หนังแนว กังฟูหมัดมวย กลายเป็นกระแสใหม่ในฮ่องกง แทนที่หนังดาบแฟนตาซีแบบเดิมที่กำลังเริ่มตกยุคพอดี ดังนั้น The Chinese Boxer ก็เหมือนการเปิดประตูให้กับหนังกังฟูสายดิบ
The Chinese Boxer หนังเรื่องแรกที่หวังหยู่กำกับเองและกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของวงการ หนังกวาดความสำเร็จเพราะมันทลายกรอบของหนังกำลังภายในแบบเดิมที่เต็มไปด้วยดาบ อาวุธวิเศษ เคล็ดลับวิชา พลังตัวเบา และพลังลมปราณเหนือจริง หวังหยู่แทนที่ด้วยการต่อสู้มือเปล่าที่ดิบและสมจริงขึ้นมาก เป็นครั้งแรกที่คนดูรู้สึกได้ว่ากังฟูไม่ใช่เรื่องของเซียนบนยอดเขา แต่เป็นศิลปะการต่อสู้ของมนุษย์ธรรมดา สิ่งนี้เองที่เป็นรากให้ยุคกังฟูหมัดดิบก็เบ่งบาน และเป็นแรงบันดาลใจให้บรูซ ลีมาสานต่อปิดจ็อบในเวลาต่อมาจนโด่งดังไปทั่วโลก
แม้ The Chinese Boxer จะประสบความสำเร็จ หวังหยู่ก็ยังรู้สึกอึดอัด เพราะระบบของชอว์บราเธอร์สยังคงเข้มงวดมาก ทั้งค่าแรงสัญญาถูก และอำนาจสร้างสรรค์ยังจำกัด เขาจึงตัดสินใจฉีกสัญญาหนีออกไป แล้วไปเริ่มต้นใหม่ที่โกลเดนฮาร์เวสต์ และทำ One-Armed Boxer (1972) ในไต้หวัน ซึ่งเป็นเหมือนการแก้แค้นเชิงศิลปะและการตลาดต่อต้นสังกัดเก่า
พูดง่าย ๆ ว่า The Chinese Boxer เป็นหนังสายกังฟูมือเปล่าเรื่องแรกของชอว์ และเป็นผลงานสุดท้ายที่หวังหยู่กำกับให้ชอว์ ก่อนที่เขาจะหนีไปแล้วเปลี่ยนตัวเองเป็นผู้สร้างหนังอิสระ(มีเรมอนด์ เชาเปิดบริษัททำหนังให้)
หลังวุ่นวายกับการฉีกสัญญาแต่สุดท้ายชอว์ก็ยังไม่วายต้องปล่อยหวังหยู่ไปด้วยความขัดแย้ง สุดท้ายตกลงกันได้ว่าหวังหยู่จะไม่เล่นหนังในฮ่องกงจนกว่าสัญญาจะสิ้นสุดในปี 1973 เขาต้องลี้ภัยการเมืองในวงการหนังฮ่องกงไปไต้หวัน แต่แทนที่จะหยุดนิ่ง เขากลับใช้โอกาสนี้ลุกขึ้นสู้ด้วยวิธีที่เขาถนัดที่สุด การสร้างหนังให้โลกเห็นว่าเขาไม่จำเป็นต้องพึ่งชอว์ก็ยืนได้
เรื่องนี้หากไม่กล่าวถึงการตอบโต้ของชอว์ก็คงไม่ได้ เมื่อเสียหวังหยู่ไปแล้ว เส้าอี้ฟู่ดำเนินกลยุทธ์โต้กลับ 2 ด้านด้วยกัน คือ 1. สายแทนจริงจัง เดวิด เจียง ตี้หลุง เพื่อเป็นตัวตายตัวแทน และ 2. สายล้อเลียน ดิสเครดิต ตัวล่อหลอกให้ไขว้เขว
1. สายแทนจริงจัง ก็เพื่อตอบโต้หวังหยู่หลังจากที่เขาฉีกสัญญาออกจากค่าย ซึ่งเป็นวิธีที่ชอว์เคยทำบ่อยเวลานักแสดงระดับซูเปอร์สตาร์ “หนี” ไปอยู่กับค่ายคู่แข่ง เมื่อหวังหยู่ออกจากชอว์ ชอว์ก็ไม่ยอมให้ชื่อของเขากลายเป็นตำนานฝ่ายเดียว โดยรีบปั้นนักแสดงใหม่เพื่อให้คนดูรู้สึกว่าพวกเขายังมี “หวังหยู่เวอร์ชันของตัวเอง” อยู่เสมอ และเป็นการส่งสัญญาณว่าค่าย “ไม่เดือดร้อน” และยังมีคนแทนได้เสมอ
ชอว์ยังทำหนัง “New One-Armed Swordsman” (1971) เปลี่ยนตัวเอกเป็นปั้นเดวิด เจียง ขึ้นมาใหม่แทนหวังหยู่โดยตรง พร้อมสร้างคู่หูตี้หลุงขึ้นมาประกบ หนังเดชไอ้ด้วนใหม่นี้ประสบความสำเร็จพอสมควรและตอกย้ำว่า “ชอว์ไม่ต้องพึ่งหวังหยู่ก็อยู่ได้”
นอกจากนี้ชอว์ยังผลักดัน “คู่เหล็ก” เดวิด เจียง + ตี้หลุงที่กำกับโดยจางเชอะ ให้กลายเป็นสามประสานเขยื้อนภูผา เป็นขวัญใจคนดูยุคใหม่แทนภาพของหวังหยู่ ผลคือพวกเขาสร้างหนัง Vengeance! (1970) และ The Blood Brothers (1973) ที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก เป็นการสร้างรุ่นใหม่มาเบียดอิทธิพลของหวังหยู่
2. สายล้อเลียน ดิสเครดิต ชอว์สร้างหนังที่จิกกัดหวังหยู่ ด้วยการใช้ ดาราหน้าและชื่อคล้ายเป็นชื่อที่ใช้การทำให้คนดูสับสนในหนังตลกและหนังเกรดบีของค่าย และหวังยี่ (Wang Yi) กลายเป็นตัวอย่างชัดเจนของ “สงคราม” ระหว่างชอว์บราเธอร์สกับหวังหยู่ที่หนีออกจากค่ายไปทำงานกับคู่แข่ง
ที่จริงหวังยี่ไม่ได้มีชื่อหวังยี่ตั้งแต่แรก ชื่อจริงของเขาคือหวังจื่อกวน เกิดปี 1955 เป็นเด็กหนุ่มที่เข้ามาเรียนการแสดงกับโรงเรียนฝึกนักแสดงของชอว์ในต้นยุค 70 พอเข้ามาไม่นาน เส้าอี้ฟู่เห็นว่าเขามีหน้าตาละม้ายคล้ายหวังหยู่อย่างน่าทึ่ง ทั้งโครงหน้า ดวงตา บุคลิกหนุ่มนักบู๊แบบแข็งกร้าว ทำให้ไอเดียจะ “สร้างหวังหยู่คนใหม่” ขึ้นมาแทนที่ แต่เป็นด้านล้อเลียนตลกขบขัน
ชื่อหวังยี่ก็เป็นชื่อที่เส้าอี้ฟู่ลงทุนตั้งให้เอง จงใจสะกดและออกเสียงใกล้เคียงกับ Wang Yu แต่เป็น Wang Yi เพื่อให้คนดูเกิดการเชื่อมโยงโดยอัตโนมัติ เบื้องหลังการตั้งชื่อนี้ก็มีอารมณ์ประชดประชันอยู่ไม่น้อย เพราะตอนนั้นเส้าอี้ฟู่ยังหัวเสียที่หวังหยู่ “ดังแล้วแยกวง” ไปอยู่กับโกลเดนฮาร์เวสต์ แกเลยเรียกจางเชอะมาสั่งให้ทำเดชไอ้ด้วนใหม่
ตั้งใจปั้น “เดชไอ้ด้วนคนใหม่” มาลบล้างอิทธิพล และดำเนินกลยุทธ์ชื่อพ้องควบคู่กันไป แต่ยังนับว่าหวังยี่ไม่ถึงคราอับจนเพราะไปเข้าตาหลิวเจียเหลียงดึงมาร่วมทีมจนดังขึ้นมาได้ แต่น่าเสียดายชีวิตเขามีแต่เรื่องเศร้าๆ จนกระทั่งตายจากไป
การปั้น เดวิด เจียง-ตี้หลุง และเรื่องของหวังยี่จึงเป็นทั้งการประชดเชิงสัญลักษณ์ และการตลาดเชิงกลยุทธ์ที่หวังจะบอกว่า“ใครหนีไป ชอว์ก็ยังสร้างดาวใหม่มาแทนได้” แต่ในความเป็นจริงหวังยี่ไม่สามารถขึ้นถึงระดับซูเปอร์สตาร์เท่าหวังหยู่ได้ เพราะตลาดหนังกำลังเปลี่ยนไปสู่ยุคบรูซ ลี และหนังกังฟูดิบ ๆ ของโกลเดนฮาร์เวสต์ และอูซือหยวนที่ตีตลาดแรงขึ้นทุกที
---
กลับมาที่หวังหยู่ เขาเห็นการตอบโต้ของชอว์ เขารู้ดีว่าชอว์เคยสร้างตำนานให้เขาด้วย One-Armed Swordsman บัดนี้ ชอว์สร้างนักดาบแขนด้วนขึ้นมาใหม่ ดังนั้น เขาจะใช้ภาพจำเดียวกัน แต่บิดมันให้กลายเป็นงานของตัวเอง เขาลงมือทำนักชกแขนเดียว One-Armed Boxer ในเวอร์ชันไร้ดาบ ไม่มีชุดยุทธภพ ไม่มีฉากหรูหราของชอว์ มีเพียงหมัดมือเปล่าและความแค้น หนังเล่าเรื่องนักสู้หนุ่มที่ถูกเหล่าร้ายรุมตัดแขนจนพิการ แต่เขาฝึกฝนแขนข้างเดียวที่เหลือจนแข็งแกร่งกว่าเดิมและกลับมาล้างแค้น
มันคือเรื่องของคนธรรมดาที่โดนเหยียบย่ำและลุกขึ้นสู้ ไม่ใช่เรื่องของยอดฝีมือที่อยู่สูงส่งเกินเอื้อม เหมือนบทหนังที่หวังหยู่เขียนขึ้นกับมือจะส่งสารบางอย่างถึงเส้าอี้ฟู่โดยตรง
สิ่งที่ทำให้หนังแตกต่างและโดดเด่นกว่าผลงานในยุคนั้นคือการปะทะกันของนักสู้จากหลายสัญชาติ ยูโดจากญี่ปุ่น คาราเต้สายเลือดเย็น ลามะจากทิเบต นักสู้โยคะจากอินเดีย ไปจนถึงคู่หูนักมวยไทยที่เตะหนักและทะลวงเข่าจนพื้นสะเทือน(แต่มาในชุดแบบโชว์ตามสวนหรือฟาร์มจระเข้) ความหลากหลายนี้ไม่เพียงสร้างสีสันแต่ยังตอบสนองความอยากรู้อยากเห็นของผู้ชมว่า “ใครเก่งกว่าใคร” ฉากต่อสู้ถูกถ่ายแบบตรง ๆ ไม่มีลีลาละครท่ามากแต่เต็มไปด้วยแรงปะทะ เถื่อน ดิบ ความเจ็บ และถึงเลือด
หนังเรื่องนี้เหมือนเป็นคำประกาศกร้าวของหวังหยู่ต่อชอว์บราเธอร์ส ตอนนี้เขาอาจจะคิดว่า
“ฉันยังเป็นแขนเดียวได้ แต่ไม่ต้องอยู่ใต้เงาของพวกนาย” เขาใช้ภาพลักษณ์ที่สตูดิโอเคยสร้างให้เขาเป็นอาวุธในการปฏิเสธระบบเดิม ๆ มันคือการแก้แค้นเชิงศิลปะที่คมคายและทรงพลัง
ความสำเร็จของ One-Armed Boxer ที่มาเก็บเงินในฮ่องกงได้มากกว่า 1 ล้านเหรียญไม่เพียงย้ำให้เห็นว่าหวังหยู่ไม่จำเป็นต้องอาศัยเครื่องจักรยักษ์อย่างชอว์ก็ยังทำเงินได้ มันยังเปิดประตูให้ผู้สร้างอิสระในฮ่องกงและไต้หวันกล้าทดลองแนวทางใหม่ ๆ ยุคหมัดดิบจึงเริ่มเบ่งบานเต็มที่ ในขณะที่ชอว์ยังตั้งตระหง่านในโลกเก่าและเหมือนนักชกมวยไทยที่ถูกเตะเจาะยางหรือตัดขาไปเรื่อยๆ (ถ้าไม่ขี้เกียจค่อยมาเล่าอีกทีว่าชอว์โดยกลุ้มรุมจากบริษัทหนังอิสระในฮ่องกงและไต้หวันอย่างไร จนสุดท้ายต้องเลิกทำหนังดีกว่า)
แต่หวังหยู่ยังมีความบ้าพลังซ่อนอยู่ เขาตัดสินใจต่อยอดเรื่องราวของหมัดแขนเดียวให้ยิ่งบ้าดีเดือดยิ่งกว่าเดิมในเดชไอ้ด้วนผจญฤทธิ์จักรพญายม (Master of the Flying Guillotine - 1976) ภาคต่อทางจิตวิญญาณที่ทั้งเพี้ยนกว่าเดิมและดุเดือดจนกลายเป็นหนังคัลท์เหนือกาลเวลา
คราวนี้พระเอกแขนเดียวต้องเผชิญกับศัตรูที่ประหลาดยิ่งกว่าเดิม พระหลวงตาที่ควรจะเมตตาแต่ใช้ “กิโยตินบิน” อาวุธหมวกเหล็กที่ลอยไปครอบหัวเหยื่อแล้วตัดขาดในพริบตา ข้างกายยังมีนักสู้จากสารพัดชาติ ทั้งโยคีอินเดียแขนยืดได้ นักมวยไทยพลังม้า คาราเต้เลือดเย็น ทุกคนมีท่าไม้ตายเฉพาะเหมือนหลุดจากเกมไฟต์ติ้ง เรียกว่าหนังรวมความบ้าทุกอย่างเท่าที่จะคิดได้เอาไว้
หนังไม่สนความสมจริงอีกแล้ว มันเต็มไปด้วยการประลองที่เหมือนการ์ตูน แต่นั่นคือเสน่ห์ที่ทำให้มันตรึงตาคนดู การต่อสู้ถูกออกแบบให้แปลกจำง่าย ดนตรีประกอบใช้ธีมและเสียงที่หลอนแปลกใหม่สำหรับยุคนั้น ทำให้โทนหนังทั้งดิบ โหด และเหนือจริงแบบที่ไม่มีใครเหมือน หวังหยู่ปล่อยพลังสร้างสรรค์ให้ระเบิดไปอีกขั้น จนได้หนังที่เพี้ยนสุดโต่ง
ผลที่ตามมาคือ Master of the Flying Guillotine กลายเป็นแรงบันดาลใจข้ามสื่อ ทั้งโครงสร้างทัวร์นาเมนต์ของมันถูกใช้ซ้ำ และต่อมากลายเป็นต้นแบบของเกม Street Fighter Mortal Kombat ไปจนถึงอนิเมะอย่าง Dragon Ball
ว่าไปแล้วหนังเรื่องนี้มันเป็นความไร้ระเบียบที่กลับลงตัว ที่ตลกคือ “จักรพญายม” ที่ควรจะเป็นอาวุธสุดยอดในหนังของชอว์บราเดอร์ส กลับดูเป็นอาวุธที่ “หน้าด้าน” มากกว่าอันตรายจริง เพราะมันเหมือนคนทอดแห โยนออกไปคลุมหัวแล้วดึงจนหัวหลุด ซึ่งดูยังไงก็ยากจะเชื่อว่ามันร้ายแรง แต่เพราะหวังหยู่ทำออกมาด้วยความจริงจัง คนดูเลยต้องพยายามเชื่อไปด้วยเพื่อให้หนังสนุกขึ้นอีก
หวังหยู่เองเคยพูดว่า เขาได้แรงบันดาลใจมาจากหนัง “ฤทธิ์จักรพญายม” The Flying Guillotine ในปี 1975 ของชอว์ แล้วคิดว่า “ทำไมผมต้องสู้กับหมัดอีก ทำไมไม่ลองสู้กับจักรพญายมดูบ้าง” คำพูดนี้สะท้อนวิธีคิดที่ไม่ต้องยึดติดกับกฎเกณฑ์เก่า ๆ ของหนังฮ่องกง และเขาท้าสู้กับชอว์แบบตรงๆ ในแบบที่เขาถนัด เขายอมรับว่าภาพยนตร์ของเขาอาจไม่ได้มีคุณภาพสูง แต่เลือกจะแลกกับพลังความบ้าพลังที่โดนใจคนดู (จักรพญายมได้แรงบันดาลใจมาจากหมวกของอ็อตจ็อบผู้ร้ายในหนัง 007 ตอน Goldfinger)
ถ้า One-Armed Boxer คือการเปลี่ยนจากกำลังภายในลอยฟ้ามาสู่ความดิบระอุ Master of the Flying Guillotine ก็คือการปลดปล่อยให้ความบ้าพลังของหนังยุค 70 ทะลุเพดานจนกลายเป็นคัลท์ มันทำให้เห็นว่าหนังกังฟูไม่จำเป็นต้องจริงจังสมเหตุสมผลเสมอไป ขอเพียงมันสนุกและกล้าแตกต่างก็พอ
นี่คือการแก้แค้นที่ซับซ้อนของหวังหยู่ เขาไม่ได้แค่หนีจากชอว์ แต่ใช้ภาพจำที่ชอว์สร้างเป็นอาวุธกลับไปตีสตูดิโอเก่า หนังของเขามีกลิ่นอายแบบชอว์พระเอกแขนเดียว ความแค้น ความดราม่าของคนชายขอบ แต่ปฏิเสธทุกความเนี้ยบและโอ่อ่าที่สตูดิโอเคยบังคับ เขาทำให้หนังกังฟูกลับสู่ดิน กลับสู่หมัดที่เจ็บจริง และจากตรงนั้นมันก็เติบโตไปในสองทาง ทางหนึ่งคือความสมจริงคมกริบของบรูซ ลี อีกทางคือความบ้าสะใจที่หลุดโลกแบบหนังคัลท์ของหวังหยู่
หวังหยู่ไม่ได้เพียงท้าทายระบบ แต่เขาสร้างเส้นทางใหม่ที่ไม่มีใครซ้ำได้ เขาอาจไม่โกอินเตอร์แบบบรูซ ลี แต่เขาเป็นคนที่เปลี่ยนกติกาของวงการ และทำให้หนังกังฟูกลายเป็นสนามที่ใครก็สามารถสร้างตำนานได้โดยไม่ต้องยืนใต้เงาของจักรวรรดิชอว์
---
โฆษณา