20 ก.ค. เวลา 08:09 • ไลฟ์สไตล์

รูดบัตรเครดิตตอนไปเที่ยวให้เลือก 'สกุลเงินประเทศนั้น' เพราะอะไร?

ใครที่เคยยื่นบัตรเครดิตให้พนักงานร้านอาหารในโตเกียว หรือสอดการ์ดเข้าเครื่องรูดในปารีส คงเคยเจอจอเล็ก ๆ เด้งถามว่า “Pay in THB หรือ JPY/EUR?”
คำถามนี้ดูเหมือนมอบอิสระให้ผู้ถือบัตร เป็นทางเลือก หลายคนพอเห็นค่าสกุลเงินที่เราคุ้นเคยก็เลือกเงินที่เข้าใจง่ายกว่า
แต่จริง ๆ แล้วคุณอาจจะไม่รู้ว่าตัวเองกำลังเจอกับ “กับดักค่าธรรมเนียม” ชนิดคลาสสิกที่เรียกว่า Dynamic Currency Conversion (DCC) ซึ่งเป็นระบบที่ร้านหรือเอทีเอ็มเสนอจะแปลงยอดชำระเป็นเงินสกุลบ้านคุณให้เสร็จสรรพ ก่อนส่งรายการไปที่ธนาคาร
เหตุผลแรกที่ควรเลือกสกุลเงินท้องถิ่นคือ อัตราแลกเปลี่ยนของเครือข่ายบัตร (Visa, Mastercard, Amex) มักใกล้เคียง “อัตรากลาง” ในตลาดสากล และในหลายกรณีดีพอ ๆ กับเรตในแอปเช็กค่าเงินสดชื่อดัง
ต่างจาก DCC ที่ให้ร้านค้าหรือพันธมิตรของร้านเป็นคนกำหนดเรตเอง ใส่มาร์กอัปได้ตามใจ บางแห่งบวกส่วนต่างตั้งแต่ 3% ไปจนถึง 8% ของยอดซื้อ ยังไม่นับ “ค่าดำเนินการ” เล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ซ่อนอยู่ท้ายบิล ผลคือกาแฟแก้วเดิมอาจแพงขึ้นหลายสิบบาทโดยไม่รู้ตัว
พูดง่ายๆ คือคุณเห็นยอดเป็นบาทเดี๋ยวนั้นเลย แต่เรตแพงกว่าเรตของเครือข่ายบัตร (Visa/Mastercard) ที่จะใช้ถ้าคุณเลือกจ่ายเป็นเงินท้องถิ่น
นอกจากนั้นแล้ว เวลาเลือกสกุลเงินท้องถิ่น ยอดที่พิมพ์บนสลิปจะตรงกับเมนูหรือป้ายราคาในร้าน ตรวจสอบง่าย หากมีข้อโต้แย้งสามารถเปรียบเทียบได้ชัดเจน ต่างจาก DCC ที่ตัวเลขบาทบนหน้าจอคำนวณ “สด ๆ” ตามเรตที่เครื่องในร้านรับมา ไม่มีกฎบังคับให้แสดงวิธีคำนวณหรือส่วนต่างที่บวกเข้าไป ทำให้ผู้บริโภคขาดข้อมูลสำหรับตัดสินใจและยื่นเรื่องโต้แย้งได้ยากกว่า
เพราะฉะนั้น หากถูกถามว่าจะเลือกสกุลเงินไหน ให้เลือก ‘สกุลเงินท้องถิ่น’ ไว้ก่อนและอย่าลืมเก็บสลิปไว้เทียบกับใบแจ้งยอดออนไลน์ เพื่อจับผิดมาร์กอัปแปลก ๆ
ถือเป็นชัยชนะแบบ “ไม่ต้องทำอะไรเพิ่ม” เลย
ปล. มีร้านค้าบางร้านที่จะใช้ DCC แต่กดเลือกให้เราเลยโดยไม่ถามก่อน อันนี้ต้องระวัง ขอยกเลิกแล้วให้คิดใหม่ได้
#aomMONEY #เทคนิคการเงิน #แนวทางการเงิน #DCC
โฆษณา