20 ก.ค. เวลา 12:14 • ธุรกิจ

อธิบาย Markup Pricing กับ Margin Pricing วิธีตั้งราคา ขายชาเขียว ให้ได้ % กำไร ตามที่ต้องการ

- เวลาขายของหรือทำธุรกิจ เรื่องแรก ๆ ที่ต้องคิดคือ ทำอย่างไรให้มีกำไร ซึ่งสิ่งจำเป็นอันดับต้น ๆ ของเรื่องนี้ ก็คือเรื่อง การตั้งราคา
ลองมาดูวิธีตั้งราคา 2 แบบ ที่เอาไว้คิดว่า จะตั้งราคาขายเท่าไร ให้ได้ % กำไรตามที่ต้องการ
BrandCase สรุปให้ แบบสั้น ๆ เข้าใจง่าย ๆ
1
เราจะสมมติเคสเรื่องนี้ ว่าเราเปิดร้านชาเขียว..
- Markup Pricing = การตั้งราคาขายโดยเอาต้นทุนตั้งต้นมาเป็นฐาน แล้วบวกเปอร์เซ็นต์กำไรที่ต้องการเมื่อเทียบกับต้นทุนลงไป เพื่อให้ได้ราคาขายสุดท้ายออกมา
สูตรตั้งราคาขายแบบ Markup Pricing คือ
ราคาขาย = ต้นทุน + (ต้นทุน × เปอร์เซ็นต์กำไรที่ต้องการ)
โดยเปอร์เซ็นต์กำไรที่ต้องการ ให้เทียบกับ 1 เช่น 30% = 0.3 หรือ 50% = 0.5)
สมมติว่าเราเปิดร้านขายชาเขียว มีต้นทุนต่อแก้วอยู่ที่ 50 บาท
ถ้าใช้วิธีตั้งราคาขายแบบ Markup Pricing โดยต้องการกำไร 50% ของต้นทุน
วิธีคิดราคาขายคือ 50 + (50 x 0.5) = 75 บาท
หรือถ้าสมมติต้นทุนชาเขียวต่อแก้ว 50 บาท
ถ้าอยากได้กำไร 30% เพิ่มไปจากต้นทุน
เราก็ต้องตั้งราคาขาย 50 + (50 x 0.30) = 65 บาท
หรือถ้าสมมติต้นทุนชาเขียวต่อแก้ว 50 บาท
ถ้าอยากได้กำไร 20% เพิ่มไปจากต้นทุน
เราก็ต้องตั้งราคาขาย 50 + (50 x 0.20) = 60 บาท
จะเห็นว่าไม่ว่าเคสไหน เราก็จะได้อัตรากำไร เทียบกับ ต้นทุน ตามตัวเลขที่ต้องการ
____________________
- Margin Pricing = การตั้งราคาขายที่เริ่มต้นจากการ ตั้งเป้าหมายกำไร ว่าต้องการให้กำไรคิดเป็นกี่เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับยอดขาย
สูตรตั้งราคาขายแบบ Margin Pricing คือ
ราคาขาย = ต้นทุน / (1 − เปอร์เซ็นต์กำไรที่ต้องการ)
และเหมือนเดิม คือเปอร์เซ็นต์กำไรที่ต้องการ ให้เทียบกับ 1 เช่น 30% = 0.3 หรือ 50% = 0.5)
ถ้าใช้ Margin Pricing และเราตั้งเป้าว่ากำไรต้องเป็น 50% ของยอดขายชาเขียวต่อแก้ว
วิธีคิดราคาขายต่อแก้ว ก็จะเป็น 50 / (1 - 0.5) = 100 บาท
หรือถ้าสมมติต้นทุนชาเขียวต่อแก้ว 50 บาท
ถ้าอยากได้อัตรากำไร 30% จากราคาขาย
เราก็ต้องตั้งราคาขาย 50 / (1 - 0.30) = 71.4 บาท
หรือถ้าสมมติต้นทุนชาเขียวต่อแก้ว 50 บาท
ถ้าอยากได้อัตรากำไร 20% จากราคาขาย
เราก็ต้องตั้งราคาขาย 50 / (1 - 0.20) = 62.5 บาท
จะเห็นว่าไม่ว่าเคสไหน เราก็จะได้อัตรากำไร เทียบกับ ราคาขาย ตามตัวเลขที่ต้องการ
____________________
1
จะเห็นว่า แม้กำไรที่ต้องการจะอยู่ในอัตราที่เท่ากัน แต่ 2 วิธีนี้ จะคิดออกมา ได้ราคาขายที่ไม่เท่ากัน
1
เพราะว่า วิธี Markup Pricing ต้องคิดอัตรากำไร เทียบกับต้นทุน
ส่วนวิธี Margin Pricing ต้องคิดอัตรากำไร เทียบกับราคาขาย
ซึ่ง 2 วิธีนี้ ก็ไม่ได้มีแบบไหน ดีกว่ากัน หรือแย่กว่ากัน อยู่ที่ว่าเราเลือกจะมองมุมไหนมากกว่า..
1
โฆษณา