21 ก.ค. เวลา 13:00 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์

สรุปแก่นทั้งหมดจาก "Superman"

สรุปแก่นจาก "Superman"
แบบละเอียด จัดเต็มทุกแง่มุม
เหมาะสำหรับคนที่ดูหนังจบแล้ว
เท่านั้นนะครับ🔵🔴
.
.
.
.
.
1. ครูที่ยิ่งใหญ่สุดหาใช่ชัยชนะ แต่เป็น "ความพ่ายแพ้"
- เมื่อครั้งเราเพลี่ยงพล้ำ ล้มลง ฟกช้ำถึงข้างใน เมื่อนั้นย่อมเปิดโอกาสให้ใจได้ทบทวนถึงข้อผิดพลาดที่เพิ่งผ่านมา เพื่อให้ได้พบว่าเราจะผ่านมันไปยังไง
เพราะโลกใบนี้ ไม่มีใครเก่งไปหมด หรือแกร่งไปได้ตลอด แม้แต่บุรุษเหล็กอย่าง "Superman" ก็ยังมีวันที่พ่ายแพ้ ร่วงหล่น จนสะบักสะบอม ความเชื่อมั่นสั่นคลอนอย่างที่ไม่เคยเป็น กระนั้นด้วยหน้าที่และความรับผิดชอบ เขาก็ยังเลือกจะกลับไปเผชิญหน้ากับปัญหาในทันที แม้จะมีพลังแค่ 83%
ชีวิตคนเราก็เช่นกัน เมื่อถึงวันที่ผิดพลาด ล้มเหลวขึ้นมา หากมองว่ามันคือการเปิดประตูเจอครูสอนพิเศษคนหนึ่ง มันก็อาจเป็นโอกาสล้ำค่ายิ่งกว่าครั้งไหน กลับไปยังป้อมปราการแห่งความสันโดษในใจ ฟื้นฟูกำลังวังชาใหม่ แล้วโบยบินออกไปให้ไกลกว่าเดิม มันอาจจะสำเร็จหรือพลาดมาอีก ก็ขอให้ได้ได้สู้ ได้พยายามใหม่ นั่นก็ดีมากพอ
2. บางศึกสงคราม มันก็ใหญ่เกินใจเรา
- จริงอยู่ Superman สามารถยุติไฟสงครามระหว่างสองดินแดนลงได้ง่ายดายราวพลิกฝ่ามือ และด้วยหัวใจอันใสซื่อบริสุทธิ์ของเขา ก็คงไม่ทันได้คิดอะไรมากไปกว่าฉันทำสำเร็จแล้ว เป็นอีกครั้งที่ได้ผดุงความยุติธรรม โอบอุ้มโลกนี้ไว้
แต่ก็เพราะความเป็นมือใหม่ เพิ่งสวมผ้าคลุมได้แค่ 3 ปีเท่านั้น จึงทำให้เขาไม่ทันระวังและมองหยั่งลึกลงไปในรายละเอียดที่เรียกว่า "มนุษย์" ทั้งเกมการเมือง ผลประโยชน์ ตลอดจนผลลัพธ์ที่จะตามมาจากการ "เลือกจะทำ" บางอย่างลงไป แม้จะใช้เจตนาดี มันก็ยังมีความละเอียดอ่อน เปราะบางเชิงการเมือง สังคม และกฎหมายโดยชอบธรรม โดยเฉพาะการลงมือในนามตัวแทนของชาติมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกา ย่อมมีราคาที่ต้องแลกมากมายมหาศาลขึ้นเป็นกอง
เช่นนี้ Superman ย่อมไม่ผิดและไม่ถูกในเวลาเดียวกัน เมื่อหัวใจเขายังบริสุทธิ์เกินไป มองทุกอย่างเป็นขาวดำ และเลือกแก้ปัญหาด้วยเจตนาที่ดี จึงยังไม่มีการเผื่อใจและไม่มีทางแก้วิกฤต (Crisis Management) รองรับตัวเองไว้เลย ฮีโร่จึงกลายเป็นซีโร่ได้ในพริบตา
3. "พลัง" และ "ชื่อเสียง" คือ ดาบสองคม
- น่าเห็นใจเหมือนกันที่พลังอันกล้าแกร่งของ Superman รวมถึงผลงานที่ดีและชื่อเสียงของฮีโร่ผู้ได้รับคำสรรเสริญเยินยอ ก็ได้นำมาซึ่ง "อีโก้" ที่ก่อเกิดในใจเขาแบบไม่รู้ตัว ผนวกกับความซื่อตรงในฐานะฮีโร่ป้ายแดงที่ยังไม่เจนจัดในสังคมมนุษย์มากเท่าที่ควร
ยิ่งเมื่อเจอ "Lois Lane" แฟนสาวที่สวมวิญญาณนักข่าวสัมภาษณ์ยิงคำถามขึ้นมา กลับกลายเป็นว่าถูกจี้ปมในสิ่งที่ตนเชื่อว่าทำได้ดีมาตลอด จนโมโหโกรธา ทำไมเธอผู้เป็นที่รักและชาวโลกอีกมากที่เขาช่วยไว้ถึงไม่เคยมองเห็นคุณงามความดี ทั้งที่ฉันทุ่มเททำเพื่อพวกเธอขนาดนี้ กลับได้เสียงวิจารณ์ตอบแทน
สิ่งเหล่านี้กลายเป็นหมอกบดบัง แม้จะมีตาเลเซอร์ที่ทรงพลังก็ไม่อาจมองเห็นได้ชัดเจน จากถูกมองเป็นผิด จากผิดเลยมองเป็นถูก จากรักก็กลายเป็นโกรธ ทะเลาะกันชุดใหญ่ เมื่อเขาไม่ได้พยายามจะเข้าใจ ว่านิยามแห่งการทำดีในบริบทสังคม มันมีหลายระดับและมักถูกตีความไม่เท่ากันตามแต่ปัจจัย กฎเกณฑ์จัดสรรมา ซึ่งจะไม่มีทางค้นพบความจริงตรงนี้ได้เลย หากไม่เคยได้สัมภาษณ์กับนักข่าวตัวจริง เพราะการสัมภาษณ์ตัวเองย่อมมีอคติและความเชื่อส่วนตัวเจือปน
4. สื่อที่ดีมัก "ไม่เชื่อ" สิ่งที่คนอื่นเชื่อ
- ขณะที่สังคมในเมืองเมโทรโพลิสและทั่วโลก ถูกปลุกปั่นด้วยกับดักไซเบอร์ของ "Lex Luthor" วายร้ายอัจฉริยะผู้เกลียด Superman เข้ากระดูกดำ ซุ่มปล่อยกระแสเกลียดชังจากโลกโซเชียลสู่โลกจริง จนฮีโร่หนุ่มชาวคริปตอนแทบจะไม่มีที่ยืน หันไปทางไหนก็เจอแต่มรสุมอันมืดดำ และด้วยหัวใจที่บริสุทธิ์และเปราะบาง "เชื่อใจทุกคน" จนเจ็บปวดจากความเชื่อที่โลกขว้างปากลับมา
"Lois Lane" ยังคงทำหน้าที่เป็นสื่อที่ดีเสมอ ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นยังไง แม้แต่ชายผู้เป็นฮีโร่หนึ่งเดียวในหัวใจ เมื่อต้องจับไมค์สัมภาษณ์เขาขึ้นมา ก็พร้อมสับสวิตช์เป็นนักข่าวสาวที่มุ่งมั่น โฟกัสกับงานและประเด็นตรงหน้า กล้าที่จะ "ไม่เชื่อ" ทุกคน
ค่อยๆ "หยอด" และ "ยิง" คำถามใส่เข้าไป ทำไมถึงเป็นงั้น ทำไมถึงมองแบบนี้ ยิ่ง Superman หรือ  "Clark Kent" ตอบคำถามด้วยอารมณ์ ยิ่งเป็นช่องโหว่ให้เธอสงสัยและอยากขุดคุ้ยต่อไปเพื่อให้ได้ความจริง จะเห็นได้ว่าทุกคำถาม ทุกถ้อยคำที่ส่งไป เธอจะถามแทนใจผู้คน ค้นหาคุณค่าสิ่งที่สังคมจะได้กลับไปอย่างแท้จริง และยังคงมุ่งมั่นที่จะขุดคุ้ยให้ได้มันมา ระหว่างที่แหล่งข่าวอย่าง Superman เริ่มจะฉุนขาด ไม่ให้ความร่วมมือ โลอิสก็ยังคงทำหน้าที่แบบมืออาชีพต่อไป
กระทั่งในยามที่บุรุษเหล็กโดนจับจับตัวไป ก็พร้อมบุกน้ำลุยไฟขอตาม "Mr.Terrific" ลุยภาคสนามไปให้เห็นกับตา หรือเมื่อโลกกำลังจะแตกสลาย จักรวาลฉีกขาดจนผู้คนเข้าใกล้ความตาE เธอและจิมมี่ นักข่าวเพื่อนซี้ ก็ยังพยายามหาทางเข้าใกล้ทางแก้ต่อไป มองหาและมองเห็นทุกความเป็นไปได้มาเชื่อมโยงประเด็นเข้าไว้ด้วยกัน ก่อนจะคลี่คลายมันอย่างมีชั้นเชิง ครบทั้งพยาน หลักฐาน และหนทางมัด Lex Luthor ให้อยู่มือ เป็นสิ่อที่เลือกข้างความจริงได้อย่างงดงาม
5. "รู้เขา รู้เรา" = ชนะเกินครึ่งทาง
- ความร้ายกาจของ "Lex Luthor" ไม่ได้มีเพียงอัจฉริยะภาพด้านเทคโนโลยี นวัตกรรม และความร่ำรวยล้นฟ้าอย่างเดียว หากแต่เขายังอาศัยความเกลียดชัง Superman อย่างสุดขั้วหัวใจ
ในฐานะพระเจ้าหรือเมต้าฮิวแมนที่กล้าดียังไงมาแย่งชิงความเป็นฮีโร่ขวัญใจเบอร์หนึ่งของโลก เป็นเอเลี่ยนผู้ใช้พลังแต่กำเนิดมาแก้ปัญหา ขณะที่เขาพยายามค้นคว้าพัฒนา "Tech Solutions" แทบตาE กลับไม่ได้อะไร ซ้ำยังโดนขโมยความดีความชอบไปเพียงพริบตา ถ้างั้นฉันจะพิสูจน์ให้โลกดูว่าพระเจ้าที่แท้จริงและใช้ความสามารถเปลี่ยนโลกได้จริงมันเป็นยังไง!!
l
ก่อนจะใช้ความเกลียดนั้นมาเป็นแรงผลักดัน ทำทุกวิถีทางที่จะเอาชนะ Superman ให้ได้ ตั้งแต่การศึกษาลักษณะการต่อสู้ กระบวนท่า และวิธีการใช้พลังทุกรูปแบบมาหาช่องโหว่ จุดอ่อนต่างๆ มาจดจำ ทดลอง สร้าง "Ultraman (อัลตร้าแมน)" ร่างโคลนที่มีพลังใกล้เคียง พร้อมฝึกฝนกับทีมงาน เพื่อยกระดับการต่อสู้เสมือนจริง รู้ทางหลบหลีกและโต้กลับให้หนักที่สุด จดจำทุกรหัสทุกกระบวนท่า เจนตำราในห้องแล็ป ก่อนจะประยุกต์ใช้ในสนามจริงแบบเด็ดขาด ใส่ยับทั้งหมัด ศอก เข่า ทำเอา Superman ทรุดหนัก ยิ่งสู้ยิ่งเสียเปรียบ
แถมยังมี "The Engineer" มนุษย์ดัดแปลงที่ฉีดนาโนแมชชีนเข้าไปแทนที่เลือดตัวเอง ทลายกรอบขีดจำกัดความเป็นมนุษย์ จนสามารถแปลงร่างเป็นอาวุธต่างๆ ได้อย่างอิสระ บินได้ พลังทำลายล้างไม่ธรรมดา ซ้ำยังสามารถควบคุมเครื่องจักร แฮ็กระบบไซเบอร์เข้าไปได้ดั่งใจนึก พากันใช้เส้นผม Superman ที่เก็บได้จากการต่อสู้ แอบลอบเข้าปอมปราการแห่งความสันโดษและดึงเอา "หลักฐาน" บางอย่างมาเอาผิด เพื่อเป็นแต้มต่อ
นอกจากนี้ Lex ยังแอบสร้าง "Pocket Universe" ใช้ทีมงานใต้ดินคอย Discredit ปลุกปั่น สร้างวาทะแห่งความเกลียดชังบนโลกโซเชียล รวมถึงเล่นเกมการเมืองควบคู่ไปด้วย หาหลักฐานมาปั่นประสาทและโน้มน้าวบรรดาหัวเรือใหญ่ในกระทรวงกลาโหม อเมริกาถึงความเป็นภัยของ Superman พร้อมแอบร่วมมือกับผู้นำประเทศโบรเวียในการก่อไฟสงครามระหว่างพรมแดน ชิงจานฮาเปอร์มาเป็นของพวกตน
เรียกได้ว่าอาศัยความเป็นเนิร์ดและความเกลียดเคียดแค้นมาเล่นงานบุรุษเหล็กทุกรูปแบบ ปิดทุกความเป็นไปได้ในการหวนกลับมามีชีวิตปิติสุข นับเป็นตัวร้ายที่น่ากลัวอย่างยิ่ง ในความเป็นคนธรรมดาก็เต็มไปด้วยอัจฉริยภาพและความซับซ้อนมาใช้อย่างแยบยล จนชนะได้แบบมือไม่เปื้อนเลือดเลย
6. เราทุกคนต่างมี "Pocket Universe" ของตัวเอง
- เป็นที่ที่เราใช้เก็บซ่อนความซับซ้อน มืดดำ และความโกลาหลในใจไม่ให้ใครมาเจอ เป็นจักรวาลขนาดย่อมที่เต็มไปด้วยความกระเจิดกระเจิง มีแม่น้ำที่เชี่ยวหลาก ร้ายกาจ และมีหลุมดำเป็นถังขยะคอยเก็บตกสิ่งที่ไม่ต้องการให้หายไปตลอด
อย่าง Lex ที่สร้างมันขึ้นมาเป็นฐานทัพลับในการโจมตี Superman บนโลกโซเชียล / กักขังหน่วงเหนี่ยวบรรดาเมตา ฮิวแมนและแฟนเก่าที่เขาไม่อยากเห็นหน้า / ใช้ค้นคว้าวิจัยสิ่งต่างๆ แม้แต่เจ้า "Krypto" น้องหมาสุดห้าวคู่หู Superman หรือมาลิ หนุ่มอินเดียที่เคยแบ่งอาหารอร่อยๆ ให้ฮีโร่ชาว
คริปตอนได้กิน ก็ยังถูกจับมาเป็นตัวประกัน ล่อให้คายความลับออกมา ขณะเดียวกันก็เป็นภาพสะท้อนความหวาดกลัวที่ Lex มีต่อศัตรูคู่อาฆาต จนต้องพยายามทุกอย่างเมื่อจะโค่นอีกฝ่ายให้ได้
กระทั่ง Superman เอง ไม่ว่าในมุม "Clark Kent" หรือ "Kal-El" ก็มี Pocket Universe ที่ดำมืดอยู่ในใจ เต็มไปด้วยการตั้งคำถามกับชีวิต ไม่แน่ใจตัวเอง หวาดกลัวลึกๆ ทั้งในความสัมพันธ์กับโลอิสที่ดูเข้ากันไม่ได้ และความโสมมในสังคมมนุษย์โลกที่อาจเกิดกำลังเขาจะเอื้อม โดยเฉพาะ "ความจริง" ในคลิปครึ่งหลังของพ่อแม่บังเกิดเกล้า ซึ่งไม่รู้ว่าจะดีดั่งใจหรือไม่ใช่อย่างที่คิดขึ้นมา เป็นจักรวาลที่ไม่กล้าให้ใครได้มาพบเจอ แม้แต่คนรักอย่างโลอิส เลน
แน่นอนเมื่อมันเป็นพื้นที่แห่งความยุ่งเหยิง มืดดำ ย่อมเต็มไปด้วยความไม่แน่นอนและอันตรายที่สามารถฉีกจักรวาลแห่งโลกทั้งใบให้พังทลายได้เลย แบบ Lex ที่พอได้ยินชื่อ Superman ขึ้นมา ก็เหมือนถูกกระตุ้นต่อมปมภายในใจ หรือบุรุษเหล็กเองก็เก็บทรงไม่อยู่ เมื่อถูกสังคมตั้งคำถามในความดีที่เขายึดถือมานาน เป็นจักรวาลที่เปิดปิดเข้ามาดูเมื่อไหร่ ก็ไม่น่าอภิรมย์เอาซะเลย
7. "พ่อแม่" อาจมีได้หลายแง่มุม
- สำหรับ Kal-El ป้อมปราการแห่งความสันโดษมิใช่แค่ฐานทัพลับไว้อาบแสงอาทิตย์เหลืองฟื้นฟูพลัง แต่ยังเป็นดั่งบ้านแห่งคริปตอนที่หลงเหลืออยู่บนโลก ไว้ฉายคลิปพ่อแม่แท้ๆ เอ่ยข้อความสุดท้ายก่อนดาวบ้านเกิดจะวอดวายด้วยความเย่อหยิ่งของชาวคริปตอนเอง ครึ่งแรกของคลิปที่ว่านี่เป็นดั่งไดอารี่พิเศษที่คอยปลอบประโลมและทำให้เขาได้ตระหนัก ในเป้าหมายชีวิตที่เกิดมาด้วยชะตาลิขิตบางอย่าง
ก่อนที่ Lex และ The Engineer จะกู้ไฟล์คลิปครึ่งหลัง เปิดโปงความจริงออกมาแฉ ว่าที่แท้ Superman ถูกส่งมา "ปกครอง" หาใช่ปกป้องโลกอย่างที่เขาเชื่อเสมอมา ซ้ำร้ายยังบอกว่าให้สืบสายพันธุ์ชาวเรา
มีเมียลูกเยอะๆ เพื่อเพิ่มโอกาสให้ชาวคริปตอนเลือดนักสู้ได้มีโอกาสเติบโต จุดนี้ลองนึกภาพถ้าเราเป็นหนุ่มหัวใจบริสุทธิ์แบบ Kal-El ซึ่งยึดมั่นและเชื่อทั้งใจในอุดมการณ์ที่ตนได้รับมอบหมายมา แต่วันหนึ่งกลับพบว่ามันไม่ใช่แบบนั้นเลย แบบนั้นจะสะเทือนใจ เจ็บปวดมากมายเพียงใด ไม่รู้จะหาคำอธิบายไหนมาแก้ต่างชาวโลกที่กำลังผิดหวัง หวาดกลัว พากันขับไล่เขาเหมือนไม่เคยมีความดีมาเลย
ซึ่งจุดนี้พ่อแม่แท้ๆ ไม่ได้ผิดและไม่ถูกในเวลาเดียวกัน ไม่ได้ผิดในแง่ชาวคริปตอนที่มองตนเป็นพระเจ้าเหนือชาวโลก และมองลูกชายเป็นดั่งความหวังสุดท้ายในการสืบเผ่าพันธุ์ต่อไปได้ ถ้าเป็นพระเจ้านำโลกได้ก็ย่อมน่าภูมิใจ และไม่ได้ถูกในแง่หัวจิตหัวใจชาวโลกเลย กลายเป็นความสับสน ย้อนแย้ง หวั่นเกรงที่ก่อเกิดในใจ Superman จนอ่อนล้าโรยแรงจากข้างใน
แต่ก็เพราะเป็นช่วงเลวร้าย ที่ทำให้เขารู้ว่า "ยิ่งมืด ยิ่งเห็นดาว" ยิ่งทั้งโลกหันหลังให้เรา จะยิ่งเห็นได้ว่าข้างๆ ยังมีใครคอยอยู่เคียง แบบที่เขามีเพื่อน 4 ขาสวมผ้าคลุมแดงคอยซุกซน วิ่งเล่น บินอยู่ข้างกาย มีหญิงสาวสุดแกร่งผู้เป็นที่รักดั่งดวงใจ
พร้อมจะเข้าใจไม่ว่าในมุม Clark Kent หรือ Superman รวมถึง "Justice Gang" เพื่อนร่วมอุดมการณ์ ที่แม้จะพูดได้ไม่เต็มปากนักว่าเป็นเพื่อนกันจริงๆ แต่เมื่อยามลำบากก็พากันมาช่วย ทั้ง Green Lantern (Guy Gardner) / Hawkgirl / Mr.Terrific และ Methamorpho เพื่อนร่วมคุกที่เขาเคยช่วยชีวิตสองพ่อลูกคู่นี้ไว้
และที่สำคัญคือ "Jonathan & Martha Kent" สองสามีภรรยาชาวไร่ ผู้เป็นดั่งพ่อแม่แท้ๆ ในโลก คอยเลี้ยงดู โอบอุ้ม และคุ้มใจ แม้ในยามที่เขาสิ้นหวัง อ่อนล้า ไม่มั่นใจ ก็ขอให้รู้ไว้ว่าบ้านไร่และที่นาแห่งนี้ ยังยินดีต้อนรับและเห็นในคุณค่าเขาเสมอ ไม่ว่าลูกจะสวมผ้าคลุมหรือชุดลำลองธรรมดา ลูกก็ยังคงเป็น "Superman" และยอดนักข่าวคนเก่งของพวกเรา ถึงทั้งโลกจะหันหลังให้ หรือพ่อแม่แท้ๆ กลับไม่ได้ดีอย่างใจ ก่อนที่ Jonathan พ่อบุญธรรมผู้อ่อนไหวจะตบบ่าพูดประโยคที่มอบพลังประมาณว่า
"พ่อแม่มักจะคาดหวังให้ลูกเป็นอย่างนั้น อย่างนี้ แต่ลูกเองนี่แหละคือคนที่กำหนดได้ว่าตัวเองจะยืนหยัดเป็นคนแบบไหน ทำอะไรให้มีความหมายขึ้นมา"
ก็เหมือนกับในชีวิตจริง ที่พ่อแม่หลายครอบครัวเผลอเอาความคาดหวังส่วนตัวและค่านิยมชมชอบจากกรอบสังคมมากดดันลูก ต้องเป็นหมอให้ได้นะ ต้องเป็นวิศวกรให้ได้ล่ะ เพื่อให้มีฐานะดีมั่นคง เป็นหน้าเป็นตาให้ครอบครัว และเป็นที่ยอมรับในสังคม
ทั้งที่ไม่เคยถามความต้องการของลูกจริงๆ และโลกใบนี้ก็ยังมีพื้นที่ให้คนเราสามารถยืนหยัดเป็นบทบาทใดๆ ได้อีกมากมาย ให้ความภูมิใจได้ไม่ต่างกัน
ทำให้ใจที่อ่อนล้าของฮีโร่ผู้ทรงพลัง สามารถคืนสติและรู้ถึงแนวทางว่าเขาควรไปต่อยังไง ถึงจะถูกกำหนดให้ "ปกครอง" แต่เขาขอใช้มันเพื่อ "ปกป้อง"  และใช้ชีวิตเฉกเช่นมนุษย์โลกเหมือนกัน ลูกอาจมีพลังแบบเทพเจ้า แต่จงมีหัวใจแบบมนุษย์เรา พลังอันกล้าแกร่งไม่ได้มีไว้ให้ปกครอง ฉะนั้นจงใช้มันปกป้องโลกเราต่อไป
8. "ความหวัง" จุดประกายได้เสมอ
- แม้ในหนังจะไม่ได้ใส่บทให้ Superman พูดออกมาตรงๆ ว่าสัญลักษณ์ตัว S บนชุดเครื่องแบบของเขานั้นหมายถึงอะไร เพราะเขาได้ใช้บางฉากมา
บอกเป็นนัย ว่าฮีโร่ขวัญใจตลอดกาลผู้นี้มีตัวตนและแนวทางอะไรเป็นเป้าหมายให้ยังคงต่อสู้ฝ่าฟัน อย่าง
ฉากที่เขาพุ่งทะยานกลับมาช่วยโลกท่ามกลางเหล่าศัตรู ก็มีฉากที่ซูมสัญลักษณ์ดังกล่าวอยู่นานหลายวินาทีด้วยกัน เป็นการใช้อวัจนะภาษาสื่อแทนใจได้เป็นอย่างดีจริงๆ
เป็นโมเมนต์ชวนประทับใจ ว่าชายผู้นี้ได้เติบโตขึ้นมาอย่างดงามยิ่งกว่าเดิม ไม่ใช่ในแง่ของพลังเชิงกายภาพ แต่เป็นหัวใจอันมุ่งมั่นอย่างแรงกล้า ต่อให้เคยหมดหวังไปสักกี่รอบ ก็ยังหาทางจุดประกายความหวังนั้นขึ้นมาใหม่ได้ พร้อมเรียนรู้ว่าอะไรที่เคยพลาด และทำยังไงถึงจะไม่พลาดเพื่อเอาชนะมันได้ อย่างการนำข้อดีของ Lex Luthor ที่เน้นใช้มันสมองมากกว่ากำปั้น มาพลิกสถานการณ์ด้วยการใช้กึ๋นและชั้นเชิงในการต่อสู้ จนนักวิทยาศาสจร์อัจฉริยะถึงกับตกใจในความเกินคาด เริ่มเสียอาการ สติแตก คุ้มคลั่งกลายเป็นฝ่ายพ่าย
เพราะสุดท้ายทั้ง "Clark Kent" และ "Kal-El" ได้หลอมรวมกันเป็นหนึ่งในนาม "Superman" อย่างแน่วแน่ อาศัยความพ่ายแพ้ ผิดหวัง เจ็บปวด ไม่แน่ใจในตัวเอง มายกระดับจิตใจใหม่ว่าเขาต่อสู้เพื่ออะไร และจะไม่ให้ใครมานิยามชีวิตตน
ค้นพบแล้วว่าการเป็นฮีโร่นั้นไม่สามารถและไม่มีทางที่จะทำให้ทุกคนถูกใจได้ กระทั่งไม่อาจช่วยทุกชีวิตให้พ้นภัยได้ แต่อย่างน้อยเขาก็จะทุ่มเทอย่างสุดกำลังเท่าที่ "มนุษย์" คนหนึ่งจะทำได้ พยายามช่วยชาวโลกอย่างเต็มที่แม้ชีวิตเล็กๆ ของเจ้ากระรอกน้อยหรือทารกโจอี้ที่กำลังจะดับก็กลับรอดในอ้อมอก เป็นความเข้มแข็งที่อ่อนโยน อบอุ่น และใส่ใจรายละเอียดสุดๆ เป็นความแข็งแกร่งที่แม้แต่
คริปโตไนท์ก็ไม่อาจสยบหรือพรากตัวตนความเป็นฮีโร่ไปจากเขาได้ ไม่ว่าเวลาจะพ้นผ่านไปนานแค่ไหนก็ตาม ดาวคริปตอนอาจเคยดับไป แต่ดาวโลกและดาวแห่งหัวใจของเขาจะเติบโตต่อไปด้วยกัน
สุดท้ายผมขอไม่ใช้วลีที่ว่า
นี่คือหนัง Superman ที่ดีที่สุด
โคตรดี โคตรใช่ หรืออะไรก็ตาม
เพราะทุกเวอร์ชันทั้งหนัง-ซีรีส์
ล้วนมีข้อดีและคุณค่าในแบบของตัวเอง
เป็นเรื่องราวที่กำลังพูดกับคนดูต่างกลุ่ม
ต่างความชอบกันไปแค่นั้นเลย
เหมือนภาพศิลปะที่บางคนบอกสวยมาก
อีกคนอาจจะบอกว่าใช้ไม่ได้ เข้าไม่ถึง
หรือกาแฟร้านหนึ่งที่บางกลุ่มอาจชอบ
บางกลุ่มอาจส่ายหัวในรสชาติ
ก็เป็นสิ่งที่ยอมรับได้ ไม่มีถูกผิดใดๆ
คุณอาจชอบกาแฟนมคาราเมล
หอม หวาน สดใสตามเทสต์คนมากมาย
แบบ Superman ของ "James Gunn"
หรืออาจชอบกาแฟดำชงเข้มคั่วบด
จนหัวใจแตกละเอียดแบบ "Zack Snyder"
ตรงนี้มันขึ้นอยู่กับมุมมองความชอบส่วนตัว
แน่นอนครับ Superman ฉบับล่าสุดนี้
ที่ใครต่อใครต่างพากันแซ่ซ้องชื่นชม
ก็ยังผสมบาดแผลต่างๆ เอาไว้เช่นกัน
ตั้งแต่ความไม่สมเหตุสมผลบางอย่าง
ทั้งการที่ Lois สามารถขับยาน
ของ Mr.Terrific ได้ในครั้งแรก
และพาเอาทีมงาน Daily Planet ไปด้วย
กลับมาโดยที่ไม่เป็นอะไรแม้แต่ปลายเล็บ
หรืออัจฉริยะอย่าง Lex Luthor ที่ไม่เคย
ผิดสังเกตว่าอีฟแฟนสาวแอบทำอะไรไว้บ้าง
จุดนี้ก็ยังไม่เท่าความรู้สึกที่ว่า
การกลับมาของบุรุษเหล็กผ้าคลุมแดงครั้งนี้
ที่เลือกฮุคเข้าเรื่องแบบไม่ต้องปูทางอะไรมาก
เพราะรีบูธมาแล้วไม่รู้กี่รอบ
เชื่อว่าแฟนๆ รุ่นเก่าหรือรุ่นใหม่ก็ต้องมี
พื้นฐานเกี่ยวกับเขาไว้บ้าง
แบบที่หนัง The Batman
ฉบับ Robert Pattinson เคยทำมา
แต่พอเข้าฮุค เน้นแอคชัน คอมเมดี้มากไป
ก็กลายเป็นดาบสองคมที่ทำให้หนัง
ยังขาดเรื่องราว "ระหว่างทาง" ซึ่งจะทำให้เรา
อินกับ Superman และคนรอบข้าง
กว่านี้ได้อีกมากมายทีเดียว
ทั้งมิตรภาพระหว่างเมตาฮิวแมน
ที่ไม่เคยมีการบอกเล่า
บทจะปะทะคารมหรือร่วมมือกัน
มันเลยคาดเดาได้ ไม่ชวนอินไปด้วย
ต่อให้จะเคยเห็น Hawkman ใน Black Adam
เคยเห็นพลัง Green Lanthern เวอร์ชันที่
คนทั่วโลกโดยเฉพาะ Ryan Reynold อยากลืม
(แม้จะเป็นคนละคนกับ Guy Gardner)
หรือลึกกว่านั้นคือคนที่เคยดูซีรีส์ Arrow
และได้เห็นความเก่งของ Mr.Terrific มามาก
ด้วยเวลาเล่าที่มีจำกัดก็ยิ่งไม่ช่วยให้เชื่อว่า
ทีมนี้คือทีมฮีโร่ที่พร้อมใจร่วมกันสู้
อย่าง Justice League รวมตัวกันเร็วไป
ก็ยังพอให้อภัยได้เมื่อเคยมีการนำ
ตัวละครต่างๆ มาเจอกันแล้วบ้าง
ต่อมาที่เรื่องราวความรักความผูกพัน
ระหว่าง Clark Kent และพ่อแม่บุญธรรม
ที่ไม่ได้ฉายภาพให้เห็นจนอินไปด้วย
ว่าทั้งสองรักเขามากขนาดไหน
ทำไมถึงเติบโตมาได้ดีแบบนี้
และมากกว่านั้นคือความสัมพันธ์
สายใยรักที่มีต่อโลอิส ซึ่งค่อนข้างเบาบาง
แม้จะมีดนตรีพังค์ร็อค อาชีพนักข่าว
ตลอดจนคอนโดให้สองเรา
ได้แชร์โมเมนต์กันตลอด
หรือแม้เคมีนักแสดง
จะเข้ากันดีจนจิกเบาะตามสุดๆ
แต่มันก็ไม่เพียงพอที่จะทำให้เรา "รู้สึก"
ว่า Lois Lane เองก็รักเขาจริงๆ เหมือนกัน
เพราะที่ผ่านมามันไม่มีเหตุการณ์ร่วมทุกข์สุข
มาชวนให้เราเอาใจช่วยได้มากพอ
ถึงจะเสียดายสิ่งที่ขาดหายไป
กระนั้นโดยรวมผมก็ยังคงชอบ
หนัง Superman เวอร์ชันนี้เหมือนกัน
ที่ทำออกมาเคารพต้นฉบับ เปี่ยมสีสัน
และเต็มไปด้วยความสดใส
ดั่งภาพจำของฮีโร่ผู้สร้างแรงบันดาลใจ
ให้เด็กน้อยใหญ่ทั่วโลกมานานแสนนาน
พร้อมสอดแทรกมุขตลกโปกฮาและลูกบ้าต่างๆ
มีการหยอด Easter Eggs และเชื่อมตัวละคร
จากเรื่องอื่นเข้ามาร่วมจักรวาลใหม่แบบเนียนๆ
รวมถึงการเสียดสีสังคม การเมือง วัฒนธรรม
ทำให้เห็นว่าหนังฮีโร่ยังไม่ได้ตาE จากไป
ขอแค่เข้าใจสิ่งที่คนดูอยากชม
และทำมันออกมาให้ถึงก็พอ
นับเป็นลายเส้นเฉพาะตัวของ James Gunn
ที่ทำสำเร็จมาแล้วสมัยกำกับให้ MARVEL
ซึ่งเขากำลังป่าวประกาศผ่านผลงาน
ว่าวันนี้และจากนี้ไป "DC" กำลังกลับมา
หวังเหลือเกินว่าเราจะได้รับชมจักรวาลค่ายนี้
ร้อยเรียงพุ่งทะยานไปด้วยกันในระยะยาว,,,🐕🦸🏾♀️
โฆษณา