21 ก.ค. เวลา 14:59 • การเมือง

สุดยอดเครื่องบินรบแห่งราชนาวีไทยในอดีต AV-8S

สวัสดีครับท่านผู้อ่านทุกท่าน ก่อนที่จะไปอ่านบทความนี้ ผู้เขียนขอให้ทุกท่านโปรดช่วยกดไลก์ กดติดตาม และกดแชร์ เพื่อเป็นกำลังใจให้ผู้เขียนในการทำบทความต่อๆไป
สำหรับท่านใดที่มีเรื่องใดน่าสนใจ ท่านสามารถส่ง inbox ข้อความมาได้ที่ Facebook Supakrit Falcon หากเรื่องใดโดนใจผู้เขียนจะนำเรื่องราวไปศึกษาค้นคว้าหาข้อมูลเพื่อเตรียมการเสนอครั้งต่อไป
ในขณะที่ท่านผู้อ่านกำลังสนใจประเด็นชายแดนไทย-กัมพูชาที่กำลังร้อนแรงในขณะนี้ ผู้เขียนก็ขอเสนอเครื่องบินรบแบบหนึ่งที่เดิมทีเกือบจะมีส่วนร่วมในยุทธการโปเชนตง 2 กรณีที่ไทยอพยพประชาชนของตนออกจากกัมพูชาอย่างยากลำบาก
ดังนั้นเครื่องบินแบบนี้อาจจะเป็นส่วนหนึ่งของความขัดแย้งครั้งนั้นหากสถานการณ์ยกระดับความรุนแรง วันนี้ขอเชิญทุกท่านพบกับ AV-8S Harrier ครับ
นาวาโท ปิยะ อาจมุงคุณ (ปัจจุบันเสียชีวิตแล้ว)
▶️จุดเริ่มต้นของฝูงบิน Harrier ในไทย
จากการที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติเมื่อ 17 มีนาคมพ.ศ. 2535 ให้กองทัพเรือว่าจ้างสร้างเรือบรรทุกเฮลิคอปเตอร์จำนวน 1 ลำ ซึ่งกำหนดแล้วเสร็จในปีงบประมาณ 2540 และต่อมาคณะรัฐมนตรีได้อนุมัติเมื่อ 17 พฤศจิกายน 2535 ให้กองทัพเรือจัดหาเฮลิคอปเตอร์จำนวน 6 เครื่องเพื่อใช้งานกับเรือบรรทุกเฮลิคอปเตอร์ ซึ่งจะช่วยให้เรือมีขีดความสามารถในการช่วยเหลือผู้ประสบภัยในทะเล คุ้มครองผลประโยชน์ทางทะเลของประเทศ เช่น การขุดก๊าซกลางทะเล ตลอดจนสามารถตรวจตราได้จนถึงเขตเศรษฐกิจจำเพาะ 200 ไมล์ทะเล
อนึ่ง การจัดหาเรือบรรทุกเฮลิคอปเตอร์ออกปฏิบัติงานในพื้นที่ห่างไกลจากฝั่ง หากไม่มีการป้องกันตัวเองที่ดีพอย่อมล่อแหลมต่อภัยคุกคามจากการโจมตีของเรือผิวน้ำ เรือดำน้ำ การโจมตีทางอากาศ และอาวุธนำวิถี อีกทั้งการปฏิบัติภารกิจในระยะไกล กำลังทางอากาศจากฐานบินบนฝั่งไม่สามารถให้ความคุ้มครองได้ตลอดเวลาและโดยต่อเนื่อง
ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีอาวุธป้องกันตนเอง ซึ่งในหลายประเทศที่มีเรือบรรทุกเฮลิคอปเตอร์อยู่จะใช้เครื่องบินขึ้นลงทางดิ่งเป็นอาวุธประจำเรือ เพื่อใช้เป็นอาวุธป้องกันตนเอง ให้ความคุ้มครองโดยใกล้ชิดแก่ขบวนเรือที่อยู่ห่างฝั่ง คุ้มครองเรือประมง และสามารถใช้เป็นเครื่องบินโจมตีเรือผิวน้ำฝ่ายตรงข้ามที่จะรบกวนเส้นทางคมนาคมทางทะเล และการโจมตีเป้าหมายบนฝั่งได้อีกด้วย
กัปตันปิยะกับแฮร์ริเออร์
นอกจากประโยชน์ดังกล่าวแล้ว ยังเป็นการประหยัดการใช้กำลังไปในตัว เพราะไม่จำเป็นต้องใช้เรือคุ้มกันให้ความปลอดภัยอีกหลายลำ จึงนับว่าสอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลที่ให้กองทัพเรือมีการพัฒนาและใช้อาวุธยุทโธปกรณ์ที่ทันสมัย บนพื้นฐานของความประหยัด
ทำให้ประหยัดการใช้กำลังส่วนอื่นลงได้ตามสมควร ดังนั้น เพื่อให้เรือบรรทุกเฮลิคอปเตอร์ของกองทัพเรือมีขีดความสามารถในการปฏิบัติภารกิจได้โดยสมบูรณ์ จึงมีความจำเป็นต้องเริ่มจัดหาเครื่องบินขึ้นลงทางดิ่ง ซึ่งเป็นเครื่องบินโจมตีทางทะเลเข้าประจำการในโอกาสแรกที่สถานการณ์ด้านงบประมาณอำนวย
แต่เนื่องจากเครื่องบินขึ้นลงทางดิ่งรุ่นใหม่มีราคาเครื่องละกว่า 1,500 ล้านบาท  ซึ่งไม่อยู่ในวิสัยที่กองทัพเรือจะจัดหามาได้ พลเรือเอก ประพัฒน์ กฤษณจันทร์ จึงได้เจรจาทาบทามขอซื้อเครื่องบินขึ้นลงทางดิ่งของกองทัพเรืออังกฤษ สเปน และนาวิกโยธินสหรัฐ ทั้งนี้เพื่อให้เกิดความคุ้นเคยในการใช้งานในระยะหนึ่งก่อน โดยมีเป้าหมายที่จะรับมอบเครื่องบินในเวลาที่สอดคล้องกับการรับมอบเรือ
กล่าวคือมีเป้าหมายในการจัดหาให้ครบจำนวน 10 เครื่องในปีงบประมาณ 2540 ซึ่งเครื่องบินชนิดนี้อยู่ในแผนโครงสร้างกองทัพไทยที่กระทรวงกลาโหมได้อนุมัติให้กองทัพเรือใช้เป็นเป้าหมายในการเสริมสร้างกำลังกองทัพเรืออยู่แล้ว แต่ช่วงนั้นยังไม่มีประเทศใดเสนอตัวว่าจะขายเครื่องบินรบขึ้นลงทางดิ่งให้กับกองทัพเรือ พลเรือเอก ประพัฒน์ กฤษณจันทร์ จึงได้ส่งหน้าที่ให้ผู้บัญชาการกองทัพเรือท่านต่อๆ ไปคอยติดตามเรื่องนี้ตลอดเวลา
นักบิน Harrier กองทัพเรือไทย
โดยที่ประเทศไทยและประเทศสเปนมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมาก ประกอบกับกองทัพเรือได้ว่าจ้างบริษัทของสเปนเป็นผู้ต่อเรือให้อยู่แล้ว รัฐบาลและกองทัพเรือสเปนจึงประสงค์ที่จะให้เรือบรรทุกเฮลิคอปเตอร์ของกองทัพเรือไทย มีขีดความสามารถโดยสมบูรณ์ในคราวเดียวกัน
รัฐบาลสเปนจึงได้เสนอขายเครื่องบินโจมตีขึ้นลงทางดิ่ง AV-8S Harrier จำนวน 10 เครื่อง พร้อมอะไหล่ อุปกรณ์ภาคพื้น อาวุธประจำเครื่องบิน และให้การฝึกทหารประจำเรือในการใช้งานเครื่องบินให้ด้วย ในราคามิตรภาพ 115 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 2,950 ล้านบาท โดยมีเงื่อนไขการชำระเงินตามแต่กองทัพเรือจะสามารถชำระได้เท่าที่สถานการณ์ผูกพันทางงบประมาณจะเอื้ออำนวย
กองทัพเรือได้ประสานกับสำนักงบประมาณแล้ว ตั้งแต่ปีงบประมาณพ.ศ. 2538 เป็นต้นไป ภาระของกองทัพเรือในด้านงบประมาณเริ่มลดลง จึงมีวงเงินที่สามารถดำเนินการได้ จึงนับว่าเป็นโอกาสที่ดีเพราะสามารถจัดหาได้รวดเร็วและราคาถูก รวมทั้งยังนำมาใช้งานได้อีกนานประมาณ 20 ปี และเพื่อให้การรับมอบเครื่องบินดังกล่าวสามารถดำเนินการได้โดยเร็ว
กองทัพเรือจึงได้มีหนังสือกราบเรียน นายกรัฐมนตรี และผู้บัญชาการทหารสูงสุด เพื่อโปรดทราบและพิจารณาสนับสนุนให้กองทัพเรือจัดหาเครื่องบินโจมตีขึ้นลงทางดิ่งไว้เป็นอาวุธประจำเรือบรรทุกเฮลิคอปเตอร์ไว้ชั้นหนึ่ง ก่อนที่จะดำเนินการตามขั้นตอน ซึ่งนายกรัฐมนตรี ได้แจ้งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมว่าเห็นควรให้การสนับสนุน แต่ให้กระทรวงกลาโหมแต่งตั้งคณะกรรมการพิจารณาเรื่องราคาและประสิทธิภาพของเครื่องบินโดยถี่ถ้วน
กองทัพเรือได้แต่งตั้งคณะกรรมการซึ่งประกอบด้วย ผู้ทรงคุณวุฒิและประสบการณ์ในสาขาต่างๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณา และเจรจาในเรื่องดังกล่าวตามบัญชาของนายกรัฐมนตรี คณะกรรมการได้เดินทางไปกองการบินทหารเรือ ณ ฐานทัพเรือโรต้า และกองบัญชาการกองทัพเรือที่กรุงมาดริด ประเทศสเปน ระหว่างวันที่ 1-9 พฤษภาคมพ.ศ. 2536
เพื่อรวบรวมรายละเอียดข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับสภาพที่แท้จริงและชั่วโมงการใช้งานของเครื่องบินโจมตี AV-8S แต่ละเครื่องตลอดจนระบบการซ่อมบำรุง รวมทั้งส่วนสนับสนุนอื่นๆ ที่จำเป็นของเครื่องบินชนิดนี้ พร้อมกับเจรจาเรื่องราคาและหารือเกี่ยวกับแนวทางการดำเนินงานตามโครงการจัดหาเครื่องบินโจมตี AV-8S รวมทั้งการสนับสนุนต่างๆ จากกองทัพเรือสเปน
ซึ่งทำให้ทราบว่าเครื่องบินทั้ง 10 เครื่องพร้อมอุปกรณ์ต่างๆ ประจำเครื่องบินยังอยู่ในสภาพที่ดีมาก เนื่องจากอายุการใช้งานยังไม่มากนัก โดยเครื่องบินแต่ละเครื่องมีอายุการใช้งานเฉลี่ยประมาณ 2,000 ชั่วโมง ประกอบกับการบำรุงรักษา รวมทั้งการซ่อมบำรุงระดับต่างๆ ได้กระทำมาอย่างต่อเนื่องโดยเจ้าหน้าที่ที่มีความรู้และประสบการณ์ จึงทำให้อายุการใช้งานของเครื่องบินแต่ละเครื่องเพิ่มขึ้นจาก 6,000 ชั่วโมงเป็น 8,000 ชั่วโมง ดังนั้นหากนำเครื่องบินดังกล่าวมาใช้งานปีละ 200 ชั่วโมงต่อเครื่อง จะใช้งานได้อีกประมาณ 30 ปี
ประกอบกับเครื่องบิน AV-8S ที่สเปนขายให้กับกองทัพเรือไทยมีอายุการใช้งานน้อย และมีการดูแลบำรุงรักษาเป็นอย่างดีมาก โดยกองทัพเรือสเปนใช้งบประมาณเพื่อการปรับปรุงสูงถึงปีละ 3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จึงทำให้เชื่อได้ว่าเครื่องบิน AV-8S Harrier (สเปนเรียก Matador) ของกองทัพเรือสเปนที่รัฐบาลสเปน โดยกระทรวงกลาโหมสเปนเสนอขายให้กับกองทัพเรือนั้น มีสมรรถนะและสภาพที่สมบูรณ์
อาร์มนักบิน HARRIER
จากการประชุมหารือกับกองทัพเรือสเปน โดยผู้บัญชาการและเสนาธิการทหารเรือสเปน ที่กองบัญชาการกองทัพเรือสเปน ทราบว่า ในการส่งมอบเครื่องบิน AV-8S ให้กับกองทัพเรือ ทางรัฐบาลสเปนจะดำเนินการแบบ Complete Package คือจะส่งมอบทั้งเครื่องบิน พร้อมอะไหล่เครื่องยนต์ อุปกรณ์สนับสนุนพิเศษภาคพื้นดิน สรรพาวุธประจำเครื่องบิน อะไหล่พิเศษต่างๆ รวมทั้งการฝึกอบรมนักบินและเจ้าหน้าที่เทคนิค
ทั้งนี้มีหลักการว่าจะต้องดำเนินการให้สอดคล้องกับการส่งมอบเรือบรรทุกเฮลิคอปเตอร์ และการจัดหาเครื่องบิน Harrier II Plus ของกองทัพเรือสเปนมาทดแทน AV-8S รวมทั้งความพร้อมของนักบินกองทัพเรือไทยด้วย ซึ่งกองทัพเรือสเปนจะดำเนินการฝึกอบรมให้โดยมีเงื่อนไขว่า นักบินของกองทัพเรือจะต้องได้รับการฝึกพื้นฐานนักบินไอพ่นมาก่อน
การฝึกนักบินจะต้องฝึกบินด้วยเครื่องบินโจมตี AV-8S Matador ที่กองทัพเรือสเปนได้โอนให้กองทัพเรือไทยเรียบร้อยแล้ว ซึ่งคาดว่าจะสามารถฝึกนักบินได้ประมาณปีพ.ศ. 2538 โดยจะฝึกนักบินจำนวน 3 ชุดๆ ละ 5 นาย ตามที่กองทัพเรือต้องการ
ในการนี้ผู้แทนกองทัพเรือได้หารือเรื่องราคางวดการชำระเงิน การทำ Site Survey ที่กองการบินทหารเรือ ตลอดจนการดำเนินการในข้อตกลงว่าจะกระทำในลักษณะเดียวกับการจัดหาเรือบรรทุกเฮลิคอปเตอร์ กับขอให้กองทัพเรือสเปนจัดทำโครงการฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ซ่อมบำรุงในระดับต่างๆ ให้สอดคล้องกับหลักการและเงื่อนไขดังกล่าวข้างต้น รวมทั้งขอรับการสนับสนุนการช่วยเหลือทางเทคนิคเพิ่มเติมด้วย
แฮร์ริเออร์สมัยยังประจำการในกองทัพเรือไทย
นอกจากนี้ยังขอให้กองทัพเรือสเปนจัดทำรายการอะไหล่ อุปกรณ์สนับสนุน และสรรพาวุธประจำเครื่องบิน โดยแยกเป็นรายการพร้อมราคา รวมทั้งขอรับการสนับสนุนคู่มือและเอกสารทางเทคนิคต่างๆ และขอให้ช่วยดำเนินการให้บริษัทที่สนับสนุนอะไหล่และอุปกรณ์ต่างๆ ให้กับกองทัพเรือสเปน มาสนับสนุนให้กับกองทัพเรือด้วย ซึ่งกองทัพเรือสเปนแจ้งว่าจะดำเนินการให้ได้ตามที่กองทัพเรือต้องการ และต่อมาได้แจ้งผลการดำเนินการในเรื่องต่างๆ ดังกล่าวให้กองทัพเรือรับทราบ
นอกจากนี้กองทัพเรือสเปนได้ส่งเจ้าหน้าที่มาทำ Site Survey ระหว่างวันที่ 23 พฤษภาคม-1 มิถุนายนพ.ศ. 2536 ที่กองการบินทหารเรือ กองเรือยุทธการ เพื่อให้การสนับสนุนพร้อมให้คำแนะนำในเรื่องต่างๆ ที่จำเป็น โดยให้สอดคล้องกับความต้องการอย่างแท้จริง และได้จัดทำผลการสำรวจซึ่งประกอบด้วยสิ่งที่กองทัพเรือจะต้องเตรียมการหรือปรับปรุงเพิ่มเติม รวมทั้งแจ้งรายละเอียดโครงการฝึกอบรมนักบินและเจ้าหน้าที่ซ่อมบำรุงเทคนิค และแนวทางการจัดฝูงบิน AV-8S ให้กองทัพเรือทราบด้วยแล้ว
ต่อมาเมื่อ 16 กรกฎาคมพ.ศ. 2536 กระทรวงกลาโหมสเปนได้มอบหมายให้ผู้อำนวยการสำนักยุทโธปกรณ์ กระทรวงกลาโหมสเปน และเจ้าหน้าที่จากหน่วยงาน Defense Export (DEFEX) จำนวน 5 นาย มาหารือกองทัพเรือเกี่ยวกับราคาเครื่องบินพร้อมส่วนสนับสนุนอื่นๆ แบบ Complete Package
ในการนี้กองทัพเรือได้เจรจาต่อรองราคาตามแนวทางที่นายกรัฐมนตรีได้กรุณาให้ไว้อย่างถึงที่สุด ทำให้ฝ่ายสเปนยอมลดราคาลง 2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เหลือ 113 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 2,900 ล้านบาท ซึ่งเท่ากับเครื่องบินพร้อมระบบสนับสนุนมีราคาเฉลี่ยลำละประมาณ 290 ล้านบาท
ซึ่งถูกกว่าการจัดหาเครื่องบินโจมตีขึ้นลงทางดิ่งใหม่ที่มีราคาเครื่องละกว่า 1,500 ล้านบาท ต่อคณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติให้กองทัพเรือจัดหาเครื่องบินโจมตีขึ้นลงทางดิ่งเมื่อ 29 กันยายน 2536 กองทัพเรือได้รับมอบเครื่องบินขึ้นลงทางดิ่งแล้วในปีงบประมาณ 2540
Harrier ขนาด 1/72 ของ Italeri
▶️Harrier ไทยมีอะไรน่าสนใจ
ในปีพ.ศ.2540 Harrier ได้เข้าประจำการอย่างเป็นทางการจำนวน 9 เครื่องบนดาดฟ้าเรือหลวงจักรีนฤเบศร เรือบรรทุกเครื่องบินลำเเรกในอาเซียน แบ่งเป็น AV-8S จำนวน 7 เครื่อง และ TAV-8S (ฝึก) จำนวน 2 เครื่อง โดยมีนาวาโทปิยะ อาจมุงคุณ (ยศ ณ ขณะนั้น) เป็นผู้บังคับฝูงบิน 1 หน่วยบินเรือหลวงจักรีนฤเบศรคนแรกที่ทำหน้าที่บังคับบัญชาฝูงบิน Harrier
เรื่องราวการจัดหาเครื่องบินโจมตีขึ้นลงทางดิ่ง AV-8S มีความน่าสนใจไม่แพ้โครงการอื่นของกองทัพไทย สำหรับการจัดหาเครื่องบินโจมตีขึ้นลงทางดิ่ง AV-8S พร้อมระบบสนับสนุนมีราคาเฉลี่ยเครื่องละ 290 ล้านบาท ฉะนั้นที่เคยพูดกันว่า ''เราซื้อเรือบรรทุก เฮลิคอปเตอร์แล้วสเปนแถมเครื่องบินให้ฟรีๆ ไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด''
ทีนี้ก็มีท่านผู้อ่านรวมถึงผู้เขียนสงสัยว่า "กองทัพเรือตั้งใจใช้เครื่องบินโจมตีขึ้นลงทางดิ่งเป็นอาวุธหลักแทนเรือรบใหม่ แบบนี้ก็ได้เหรอ?" เพราะในสมัยนั้นผู้เขียนมองว่ากองทัพเรือควรจะมีประจำการด้วยเรือรบใหม่ในการป้องกันอธิปไตยทางทะเลหรือการปราบปรามเรือดำน้ำ อย่างไรก็ตามในเมื่อผู้ใหญ่ในยุคนั้นตัดสินใจเลือก Harrier มาจอดบนเรือหลวงจักรีนฤเบศร ผู้เขียนก็เคารพในการตัดสินใจของท่าน เพราะกองทัพเรือไทยในสมัยนั้นต้องการอาวุธที่มีประสิทธิภาพสูง โดยไม่ได้ fix ว่าจะต้องเป็นเรือรบไปตลอด
อีกทั้งถ้าเน้นเเค่เรือรบในมุมมองส่วนตัวผู้เขียนคิดว่าอาจทำภารกิจได้ไม่เต็มที่เมื่อเทียบกับการมีอากาศยานช่วยแบ่งเบาภาระ ดังนั้น Harrier จึงเป็นคำตอบเดียวที่ผู้ใหญ่ในสมัยนั้นเลือกให้ประจำการบนเรือบรรทุกเครื่องบิน ผู้เขียนมองว่า Harrier จากสเปนมันเหมาะกับดาดฟ้าเรือหลวงจักรีนฤเบศร เพราะขนาดเครื่องไม่ใหญ่และดาดฟ้าเรือมีขนาดที่เพียงพอในการจอดอากาศยานแบบดังกล่าวได้นะฮะ
Harrier ในเกม War Thunder
Harrier เกีอบได้บทบู๊แล้วขอย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 29 มกราคมพ.ศ. 2546 เกิดเหตุจลาจลในกรุง พนมเปญ ของกัมพูชา
ทางกองทัพเรือออกคำสั่งยุทธการให้เรือหลวงจักรีนฤเบศรและอากาศยานทุกแบบหนึ่งในนั้นมีเครื่องบินโจมตี AV-8S พร้อมเรือรบประกอบกำลังเป็นหมู่เรือเฉพาะกิจ ออกเดินทางจากสัตหีบมุ่งหน้าไปยังน่านน้ำนอกชายฝั่งประเทศกัมพูชา นัยหนึ่งเพื่อกดดันกัมพูชาและเป็นการเตรียมการไว้สำหรับแผนสองในกรณีที่เครื่องบินไม่สามารถลงจอด ณ สนามบินโปเซนตงได้
ในส่วนของกองทัพอากาศได้สั่งการให้ F-16
เตรียมพร้อม ณ กองบิน 1 โคราชเพื่อให้สามารถขึ้นบินได้ภายใน 5 นาทีหลังได้รับคำสั่ง
โชคดีที่เครื่องบิน C-130 บินไปอพยพออกมาได้หลังจากที่ทางกัมพูชาอนุญาตให้เครื่องบินไทยผ่าน จึงรับคนไทยทั้งหมด 511 ราย กลับบ้านได้อย่างปลอดภัย จึงไม่มีความขัดแย้งบานปลายไปมากกว่านั้น
Harrier ขณะยิงจรวด Sindwinder
ซึ่งถ้าเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้น จะต้องปรับไปใช้ปฏิบัติการโปเชนตง2 ในการให้เครื่องบิน F-16 บินเข้าสู่น่านฟ้ากัมพูชาเพื่อคุ้มกันหมู่บิน C-130 ให้สามารถลงจอดได้รวมถึงอาจต้องทำการใช้อาวุธเพื่อขัดขวางทางอากาศไม่ให้กลุ่มผู้ชุมนุมเข้ามายังพื้นที่ที่คนไทยรวมตัวอยู่ และอาจต้องคุ้มกันหมู่บินเฮลิคอปเตอร์ของกองทัพเรือที่จะต้องบินขึ้นจากเรือหลวงจักรีนฤเบศรไปรับคนไทยกลับมายังหมู่เรือเฉพาะกิจที่ลอยลำอยู่นอกชายฝั่งกัมพูชา
ส่วน Harrier อาจทำหน้าที่เป็นเครื่องบินทิ้งระเบิดหลังจากที่ F-16 ทำโซนิคบูมใส่ทหารกัมพูชา เพราะกองทัพอากาศกัมพูชาไม่มีความสามารถในการบินขับไล่ แต่น่าเสียดายที่ Harrier ไม่มีความสามารถในการติดตั้งระเบิดนำวิถีด้วยเลเซอร์ จึงสามารถใช้ระเบิดนำวิถีจัดการเป้าหมาย โดยเฉพาะสิ่งก่อสร้างทางทหารที่จำเป็นต่อกองทัพกัมพูชา แทนที่จะต้องจัดประชาชนที่ไร้ซึ่งอาวุธ
▶️วาระสุดท้ายมาเยือน
ต่อมา AV-8S ทั้ง 9 เครื่องก็ประสบปัญหาขาดแคลนอะไหล่ทำให้บินไม่ได้แม้แต่เครื่องเดียวตอนแรกทางสหรัฐฯ ส่งเครื่องยนต์มาให้ถึง 19 เครื่องแต่ดันเข้ากันไม่ได้เพราะAV-8S ใช้เครื่องยนต์แบบเปกาซุสMk-103 แต่ที่อเมริกาส่งมาช่วยเหลือคือรุ่นเปกาซุส Mk-107 อะไหล่ต่างๆจึงใช้ด้วยกันไม่ได้เลยทร.จึงแก้ปัญหาด้วยการซ่อมใหญ่แบบกินตัวซ่อมไปซ่อมมาจาก 9 เครื่องเหลือบินบนฟ้าได้จริง
แค่ 5 เครื่องในที่สุดทร.ก็ใช้งานมาได้ถึง 7 ปีก็ ปลดไปแบบเงียบๆ สรุปว่า AV-8S ประจำการอยู่ใน ทร.จริงๆเพียงแค่ 7 ปีเท่านั้น
ในขณะที่พี่บัณฑิต ดาวบุตร ให้ข้อมูลว่าแม้กองทัพเรือสเปนจะดำเนินการปรับปรุงก่อนส่งมอบให้ไทย แต่ด้วยความเก่าของเครื่องบินทำให้ไม่คุ้มถ้าคิดจะลงทุนปรับปรุงให้มากกว่านี้
ราชนาวีไทยพยายามจะหาเครื่องบินมือ 2 รุ่น เดียวกันมาแยกชิ้นส่วนถอดเป็นอะไหล่ใส่ เครื่องบินที่มีอยู่ให้มีจำนวนพร้อมรบมากขึ้น ขณะเดียวกันก็มองๆหาแฮริเออร์รุ่น GR2 ของ
ราชนาวีอังกฤษ ซึ่งใหม่กว่าเพื่อนำเข้าประจำ การทดแทน แต่โครงการก็ไม่ได้เดินหน้าต่ออันเนื่องมาจากปัญหาเศรษฐกิจและมีโครงการอื่นที่เร่งด่วนกว่าทำให้ไม่มีงบประมาณเพียงพอที่จะจัดหาอุปกรณ์สนับสนุน และอะไหล่สำรองเพียงพอเป็นเวลาอย่างน้อย 18 เดือน
Harrier ขนาด 1/72 จากค่าย HASEGAWA
ข่าวบางกระแสระบุด้วยว่า เพียง 3 เดือนหลัง จากไทยได้รับ AV-8 จากที่มีอยู่ 9 เครื่องก็เหลือใช้งานได้เพียง 7 เครื่อง เพราะ 2 เครื่องมีปัญหาที่เครื่องยนต์และระบบไฟฟ้า แม้สเปนจะส่งเครื่องยนต์มาช่วย 16 เครื่อง แต่ก็ใช้งานได้เพียงครึ่งเดียว และแม้ในเวลาต่อมาจะพอเจียดงบประมาณ แต่ก็ยังจำกัดซึ่งกระทบต่อความพร้อมรบของเครื่องบินเหมือนเคย ดังนั้นเมื่อเวลาผ่านไป 2 ปี เครื่องบินทั้งหมดจึงเหลือพอบินได้เพียงเครื่องเดียว
นอกจากเครื่องบินมีปัญหาแล้ว การขาดแคลนนักบินที่จะบินกับ AV-8 ก็เป็น ปัญหาเช่นกัน ข้อมูลใน ปีพ.ศ.2540 ระบุว่า มีนักบินไทยที่สามารถบินกับ AV-8 มีเพียง 7 นาย และการฝึกนักบินยังต้องพึ่งพาสเปนเป็นส่วนใหญ่ ช่วงนี้นเรายังไม่สามารถฝึกเองได้เพื่อจะได้ประหยัดงบประมาณ
ปัญหาเรื่องงบประมาณกระทบไปไกลถึงเรื่อง การติดอาวุธให้ AV-8S ทำให้ใช้อาวุธที่ไม่ได้ ซับซ้อนอะไรนัก เช่น ระเบิดธรรมดาและ กระเปาะจรวด 127 มม. แต่ความต้องการของ ราชนาวีไทย คือ จรวดไซด์ไวน์เดอร์มาเสริม เขี้ยวเล็บให้เหมือนกับที่เคยประจำการที่สเปน ยิ่งนานปีไปเครื่องบินก็เสื่อมไปตามสภาพ และในที่สุดก็ต้องปลดประจำการไปทั้งหมดในปีพ.ศ.2549 ซึ่งไทยคือประเทศสุดท้ายในโลก ที่ปลดประจำการเครื่องบินรุ่นนี้
Harrier ขณะทำการบิน
▶️ข้อมูลจำเพาะ AV-8S กองทัพเรือไทย
ผู้สร้าง: บริษัทฮ็อคเกอร์ ซิดเดลี่ย์ เอวิเอชั่น (ประเทศอังกฤษ) ส่วน รุ่น เอวี-8 บี ผลิตโดยบริษัทแมคดอนเนลล์ ดักลาส(สหรัฐอเมริกา)
ประเภท: เครื่องบินโจมตีภาคพื้นดิน และ ตรวจการณ์ทางยุทธวิธี ขึ้นลงทางดิ่งและขึ้นลงระยะสั้น V/STOL (Vertical/Short Take-Off and Landing)
เครื่องยนต์: เทอร์โบแฟน รอลส์-รอยซ์ บริสตอล เปคาซุส หมายเลข 103 ให้แรงขับเวกเตอร์ 9,752 ปอนด์ 1 เครื่อง
กางปีก: 7.70 เมตร
ยาว: 13.91 เมตร
สูง: 3.43 เมตร
พื้นที่ปีก: 18.62 ตารางเมตร
น้ำหนักเปล่า: 5,624 กิโลกรัม
น้ำหนักวิ่งขั้นสูง: 8,165 กิโลกรัม
อัตราเร็วขั้นสูง: 0.95 มัค ที่ระยะสูง 305 เมตร
อัตราเร็วเดินทาง: 0.8 มัค ที่ระยะสูง 6,096 เมตร
รัศมีทำการรบ: 418 กิโลเมตร
พิสัยบิน: กว่า 5,560 กิโลเมตร เมื่อเติมเชื้อเพลิงกลางอากาศ 1 ครั้ง
อาวุธ: ปืนใหญ่อากาศ เอเด็น ขนาด 30 มม. ภายในแฟร็งใต้ลำตัว แฟร็งละ 1 กระบอก พร้อมกระสุน 130 นัด 2 แฟร็ง
ลูกระเบิดขนาด 1,000 ปอนด์ ใต้ลำตัวและใต้ปีก
กระเปาะยิงจรวด แมทรา 155 บรรจุจรวดขนาด 68 มม. กระเปาะละ 19 นัด ที่ใต้ปีก ข้างละกระเปาะ
สามารถบรรทุกอาวุธได้หนักสูงสุด 3,630 กิโลกรัม
นี่คือเรื่องเล่าของสุดยอดเครื่องบินโจมตีขึ้นลงแนวดิ่งที่มีชื่อว่า AV-8S Harrier ในกองทัพเรือไทยที่ปลดประจำการไปแล้ว หากเนื้อหาใดขาดตกบกพร่องก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ สุดท้ายนี้ผู้เขียนขอปิดท้ายด้วยภาพแบบจำลอง AV-8S ขนาด 1/72 ที่นำมาฝากกันในวันนี้ แม้ไม่ได้เกิดจากฝีมือผู้เขียนในการประกอบโมเดลในภาพต่อไปนี้ แต่มันก็มีนัยสื่อถึงความรุ่งเรืองของกองทัพเรือไทยในอดีตที่เคยมีเครื่องบินแบบนี้รับใช้ชาติ สำหรับวันนี้ผู้เขียนขอลาไปก่อน สวัสดีครับ
Credit บทความและภาพประกอบ
palm_vrp
กองทัพเรือไทย
หนังสืออนุสรณ์งานพระราชทานเพลิงศพ พลเรือเอก ประพัฒน์ กฤษณจันทร์
บัณฑิต ดาวบุตร
ประศิษฏ์ พรเวชอำนวย
War Thunder
ฉัตรชัย ประชุมจิตร
Wikipedia
สมทบ คำพลอย
TAF
เรียบเรียงบทความ : นายพลห้าดาว
โฆษณา