22 ก.ค. เวลา 05:10 • ธุรกิจ

4 เทรนด์ธุรกิจมาแรงยุค Wellness Economy 5.0 “ความงาม-อาหาร-ออกกำลังกาย-การท่องเที่ยว”

ส่องโอกาสธุรกิจยุค “Wellness Economy 5.0” จับตา 4 เทรนด์สุขภาพไทย “ความงาม-อาหารเพื่อสุขภาพ-การออกกำลังกาย-การท่องเที่ยวเพื่อสุขภาพ” ฟื้นฟูเศรษฐกิจไทยท่ามกลางวิกฤตโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง สังคมผู้สูงอายุ พร้อมสร้างคุณภาพชีวิตที่ยั่งยืน
“Wellness Economy 5.0” หรือเศรษฐกิจสุขภาพ 5.0 จะเป็นกำลังสำคัญในศตวรรษที่ 21 และจะดำเนินต่อไปถึงรุ่นลูกรุ่นหลาน ท่ามกลางสังคมผู้สูงอายุที่กำลังเติบโตในประเทศไทย โดยเฉพาะในปี 2576 ประเทศไทยจะเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุระดับสูง การมีผู้สูงอายุจำนวนมากนั้นเป็นเรื่องสำคัญ แต่หากผู้สูงอายุยังมีสุขภาพดี จะเป็นแรงสำคัญในการพัฒนาประเทศ “Wellness Economy 5.0” จึงเป็นหนึ่งในกลยุทธ์สำคัญของประเทศไทยในยุคนี้
นพ.ตนุพล วิรุฬหการุญ ประธานคณะผู้บริหาร บีดีเอ็มเอส เวลเนส คลินิก (BDMS Wellness Clinic) กล่าวถึง Wellness Economy 5.0 ในงาน “Splash-Soft Power Forum 2025” ว่า ตลาด Wellness ทั่วโลกในปี 2566 มีมูลค่าถึง 6.3 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ (214.2 ล้านล้านบาท) และคาดว่าจะเติบโตขึ้นเป็น 9 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ (306 ล้านล้านบาท) ในปี 2577
โดยจะมีอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องมากมาย ซึ่งสามารถเป็นช่องทางในการลงทุนได้ เช่น อุตสาหกรรมความงาม รวมไปถึงกลุ่มที่เกี่ยวกับการดูแลสุขภาพ เช่น การรับประทานอาหารที่ดีเพื่อสุขภาพ การออกกำลังกาย และการท่องเที่ยวเพื่อสุขภาพ
ในส่วนของ Healthy Eating, Nutrition & Weight Loss หรือการรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพและการลดน้ำหนัก ได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เพราะทุกคนรู้ดีว่าเมื่อเราป่วย เรามักจะต้องจ่ายเงินทั้งค่ารักษาและค่าอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพ ดังนั้นการเลือกทานอาหารที่ดีเพื่อป้องกันการเจ็บป่วยจึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับคนรุ่นใหม่ เพราะ “ป้องกันดีกว่ารักษา” กลุ่มนี้ถือเป็นตลาดที่มีศักยภาพสูงสำหรับการลงทุน
ส่วน Physical Activity หรือกิจกรรมทางกายก็เป็นอีกหนึ่งกลุ่มที่น่าสนใจ หากมีธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการออกกำลังกาย เช่น การเปิดคลาสปั่นจักรยาน การออกกำลังกาย หรือกิจกรรมเพื่อสุขภาพอื่นๆ อาจได้รับการสนับสนุนทางภาษี เพราะการส่งเสริมให้ผู้คนมีสุขภาพดีนั้นน่าชื่นชม ในทางตรงกันข้าม ธุรกิจที่ทำให้ผู้คนป่วยหรือลดอายุขัย ควรที่จะต้องมีภาษีที่สูงขึ้นเพื่อกระตุ้นให้ผู้คนหันมาดูแลสุขภาพ
ส่วนการท่องเที่ยวเพื่อสุขภาพ หรือ Wellness Tourism ในประเทศไทยกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว ซึ่งตลาดนี้มีมูลค่าสูงมากและยังคงมีแนวโน้มที่เติบโตต่อเนื่องในอนาคต ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับ Wellness ในประเทศไทยมีหลายกลุ่มที่น่าสนใจ ได้แก่ 1.Wellness Real Estate (อสังหาริมทรัพย์เพื่อสุขภาพ) เช่น การสร้างบ้าน โรงแรม หรือโฮมสเตย์ แนะนำให้มุ่งเน้นการออกแบบที่ช่วยให้ผู้พักอาศัยรู้สึกผ่อนคลายและมีสุขภาพดี โดยคาดการณ์ว่าอุตสาหกรรมนี้จะเติบโตได้ประมาณ 15% ในอนาคต
2. Mental Wellness (สุขภาพจิต) ความเครียดจากข่าวสารและวิกฤตต่างๆ ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน เช่น สงครามและการเมือง ส่งผลให้ความเครียดในสังคมเพิ่มขึ้น ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการดูแลสุขภาพจิตจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว และคาดว่าจะมีอัตราการเติบโตที่ 12.2%
และ 3.Wellness Tourism (การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ) กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว และปัจจุบันมีมูลค่าประมาณ 40,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 1.4-1.5 ล้านล้านบาท ซึ่งเติบโตขึ้นจากปี 2565 ที่มีมูลค่าเพียง 3 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ (1.02 ล้านล้านบาท) และประเทศไทยยังคงรักษาอันดับในตลาด Wellness ที่เติบโต 28.4% ในระดับโลก โดยมีอัตราการเติบโตของการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพเติบโตถึง 120% ซึ่งทำให้ประเทศไทยติดอันดับ 2 รองจากประเทศจีน
ในขณะนี้ความสำเร็จในการเติบโตของ Wellness Tourism ในประเทศไทยนั้นมาจากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นธรรมชาติที่ดี อาหารไทยที่มีรสชาติอร่อย การให้บริการที่มีเอกลักษณ์ รวมไปถึงการแพทย์แผนไทยและการมี Medical Hub หรือศูนย์การแพทย์ครบวงจร ซึ่งถือเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยส่งเสริมการเติบโตของธุรกิจท่องเที่ยวเพื่อสุขภาพในประเทศไทยให้เติบโตได้อย่างมั่นคงในอนาคต
ขณะที่ Wellness Economy 5.0 มีบทบาทสำคัญในการฟื้นฟูเศรษฐกิจและการลงทุนในคุณภาพชีวิตของคนไทยทุกคน ในอดีตสังคมมองความแก่เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เป็นสัจธรรมที่ทุกคนต้องเผชิญในที่สุด แต่วันนี้เมื่อการแพทย์และวิทยาศาสตร์ก้าวหน้า เราเริ่มเข้าใจมากขึ้นเกี่ยวกับต้นเหตุที่ทำให้เกิดความชรา หรือที่ในวงการวิทยาศาสตร์เรียกว่า “Hallmarks of Aging” หรือ “ลักษณะเฉพาะของความแก่” ซึ่งมีหลายปัจจัยที่ส่งผลต่อกระบวนการนี้
ในปัจจุบันเรามักได้ยินคำว่า “Health Span” และ “Life Span” ซึ่งเป็นคำที่เกี่ยวข้องกับระยะเวลาการมีชีวิตที่มีสุขภาพดีและการมีชีวิตโดยรวม Life Span หรือ “อายุขัย” คือจำนวนปีที่เราใช้ชีวิตบนโลกนี้ โดยอายุขัยเฉลี่ยทั่วโลกในปัจจุบันคือ 71 ปี ซึ่งหมายความว่าโดยเฉลี่ยคนทั่วไปจะมีชีวิตอยู่จนถึงอายุ 71 ปี
แต่คำว่า Health Span หรือ “ระยะเวลาที่มีสุขภาพดี” นั้น หมายถึงช่วงเวลาที่เรามีชีวิตอยู่โดยที่ไม่มีโรคหรือปัญหาสุขภาพรบกวน ตัวเลขนี้มักจะน้อยกว่าอายุขัยรวม แสดงให้เห็นว่าแม้เรามีชีวิตยืนยาว
แต่เราอาจต้องใช้เวลาในช่วงปีสุดท้ายของชีวิตด้วยการต่อสู้กับโรคต่าง ๆ สำหรับทั่วโลก Health Span โดยเฉลี่ยอยู่ที่ 61 ปี ซึ่งหมายความว่า ในช่วง 10 ปีสุดท้ายของชีวิต ผู้คนทั่วโลกมักต้องเผชิญกับโรคหรือปัญหาสุขภาพต่าง ๆ ซึ่งทำให้คุณภาพชีวิตลดลงก่อนไปถึงการสิ้นสุดชีวิตจริง ๆ
ในประเทศไทย Health Span ของคนไทยอยู่ที่ 65 ปี ซึ่งแปลว่าคนไทยส่วนใหญ่ต้องเผชิญกับปัญหาสุขภาพในช่วง 10 ปีสุดท้ายของชีวิต ก่อนที่จะถึงอายุขัยเฉลี่ยที่ 75 ปี แม้เราจะมีอายุขัยยืนยาวขึ้น แต่การใช้ชีวิตที่ไม่ดีอาจทำให้เราต้องทนทุกข์ทรมานจากโรคต่าง ๆ ก่อนจะเสียชีวิต
สาเหตุหลักที่ทำให้เกิดปัญหาสุขภาพในประเทศไทย คือลักษณะการใช้ชีวิตที่ไม่เหมาะสม โดยเฉพาะพฤติกรรมเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ซึ่งรวมถึงโรคต่าง ๆ เช่น โรคหัวใจ โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคอ้วน และโรคมะเร็ง โรคเหล่านี้เป็นสาเหตุหลักของการเสียชีวิตในประเทศไทย โดยมีอัตราการตายจาก NCDs สูงถึง 77% จากผู้เสียชีวิต 100 คน มีถึง 77 คนที่เสียชีวิตจากโรคกลุ่มนี้ และในทุก ๆ 1 ชั่วโมงจะมีผู้เสียชีวิตจากโรค NCDs ถึง 44 คน
หนึ่งในโรคที่มักพบในผู้ที่มีน้ำหนักเกินหรืออ้วน คือโรคที่เกี่ยวข้องกับภาวะ NCDs หรือโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง โรคอ้วนถือว่าเป็นภัยใหญ่ที่ไม่ควรมองข้าม เนื่องจากไขมันส่วนเกินในร่างกายทำให้เกิดปัญหาสุขภาพต่างๆ มากมาย เช่น มะเร็ง โดยเฉพาะมะเร็งที่เกี่ยวข้องกับฮอร์โมนและระบบย่อยอาหาร ซึ่งปัจจุบันมีการศึกษาพบว่าโรคอ้วนสามารถเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งได้ถึง 13 ชนิด
ผลการศึกษาเพิ่มเติมยังพบว่า คนที่มีน้ำหนักเกินหรืออ้วนมักจะมีแนวโน้มเสียชีวิตเร็วกว่าคนที่มีน้ำหนักปกติถึง 9 ปี และหากคนสูบบุหรี่ก็จะเสียชีวิตเร็วกว่าคนที่ไม่สูบบุหรี่ถึง 7 ปี ดังนั้นหากเราสามารถลดน้ำหนักและเลิกสูบบุหรี่ได้ จะช่วยเพิ่มอายุขัยให้กับเราได้ถึง 16 ปี นอกจากนี้การออกกำลังกายยังเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่สามารถยืดอายุได้อีก 9 ปี
สิ่งที่สำคัญไม่น้อยไปกว่าการดูแลร่างกายคือการดูแลสุขภาพจิต คนที่เครียดเป็นประจำมีแนวโน้มที่จะเสียชีวิตเร็วกว่าคนที่ไม่เครียดถึง 10 ปี การจัดการความเครียดและการรักษาสมดุลของอารมณ์จึงเป็นส่วนสำคัญในการรักษาสุขภาพให้ดี
ในปัจจุบันเรามีความเชื่อว่ามนุษย์สามารถมีชีวิตยืนยาวถึง 100 ปี แต่ด้วยพฤติกรรมบางอย่างที่ไม่ดีต่อสุขภาพ ทำให้คนส่วนใหญ่มีอายุเฉลี่ยอยู่แค่ 65 ปีเท่านั้น ดังนั้นการดูแลสุขภาพจึงไม่ใช่แค่ทางเลือก แต่เป็นทางรอดในการสร้างสังคมที่มีคุณภาพในอนาคต และเป็นสิ่งสำคัญที่เราควรให้ความสำคัญ เพื่อสุขภาพที่ดีของตัวเองและประเทศชาติในอนาคต
โฆษณา