22 ก.ค. เวลา 11:45 • หุ้น & เศรษฐกิจ

“กรุงไทย” ครึ่งแรกของปี 2568 กำไร 22,836 ล้านบาท ลดลงเล็กน้อย 2.7%

“กรุงไทย” ครึ่งแรกของปี 2568 กำไร 22,836 ล้านบาท ลดลงเล็กน้อย 2.7% เผยครึ่งปีหลังต้องเตรียมรับมือกับภาษีศุลกากรที่อาจจะสูงขึ้นมากกว่า 2 เท่าตัว
นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไทยในครึ่งแรกของปี 2568 ยังขยายตัวได้โดยเฉพาะจากการเร่งส่งออกสินค้าก่อนสหรัฐฯ ปรับอัตราภาษีศุลกากรสูงขึ้น ส่วนในครึ่งปีหลังต้องเตรียมรับมือกับภาษีศุลกากรที่อาจจะสูงขึ้นมากกว่า 2 เท่าตัว กระทบกับความสามารถในการแข่งขันของประเทศ คาดว่าจะทำให้การส่งออกสินค้าไทยชะลอตัว และสินค้าที่มีอุปทานส่วนเกินในต่างประเทศเข้ามาตีตลาดในประเทศเพิ่มขึ้นกระทบผู้ประกอบการ ห่วงโซ่อุปทานและแรงงานที่เกี่ยวข้องทั้งโดยตรงและโดยอ้อม
นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย
ขณะที่ภาคการท่องเที่ยว ที่เป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของเศรษฐกิจไทยเริ่มชะลอตัว
นอกจากนี้ เศรษฐกิจไทยที่ยังคงมีความเปราะบางจากปัญหาเชิงโครงสร้าง โดยเฉพาะหนี้ครัวเรือนและเศรษฐกิจนอกระบบที่อยู่ในระดับสูง ท่ามกลางพายุแห่งการเปลี่ยนแปลงของโลกครั้งใหญ่ ที่มีผลกระทบกับชีวิตผู้คน สังคม เศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อมและประเทศ
สำหรับผลการดำเนินงานไตรมาสที่ 2/2568 เมื่อเทียบกับไตรมาส 2/25671/ ธนาคารจัดการคุณภาพสินทรัพย์อย่างระมัดระวัง บริหาร NPL ได้ดีที่ 2.94% เทียบกับ 2.99% จากสิ้นปีที่ผ่านมา รักษา Coverage Ratio ในระดับสูงอย่างต่อเนื่องที่ 194.1% รองรับสภาวะเศรษฐกิจที่มีความไม่แน่นอนสูง ตั้งสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในระดับที่เหมาะสมและรอบคอบ
ธนาคารมีกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของธนาคาร เท่ากับ 11,122 ล้านบาท โดยรายได้จากการดำเนินงานอยู่ในระดับทรงตัว เป็นผลจากสภาวะดอกเบี้ยและการปรับอัตราดอกเบี้ยเพื่อประคับประคองลูกค้า ส่งผลให้รายได้ดอกเบี้ยสุทธิปรับตัวลดลง
ในขณะที่สินเชื่อเติบโต 4.4% จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา จากสินเชื่อรายย่อยและสินเชื่อภาครัฐ และการให้ความสำคัญกับ portfolio ที่มีความสมดุลด้านความเสี่ยงและผลตอบแทน ธนาคารยังคงมุ่งเน้นการให้บริการ Wealth Management ประกอบกับการขยายตัวของรายได้จากธุรกิจตลาดเงินตลาดทุนและเงินลงทุนที่เป็นไปตามสภาวะตลาด
พร้อมบริหารจัดการค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพโดยมี Cost to Income ratio ที่ 42.3% เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาส 1/2568 กำไรส่วนที่เป็นของธนาคารลดลง 5.1% จากสภาวะดอกเบี้ยและการปรับอัตราดอกเบี้ยเพื่อช่วยสนับสนุนให้ลูกค้าฟื้นตัวได้
ในขณะที่รายได้อื่นขยายตัวโดยหลักจาก Wealth Management และธุรกิจตลาดเงินตลาดทุนในภาวะที่ตลาดมีความผันผวนสูง มีการบริหารจัดการค่าใช้จ่ายองค์รวม และการตั้งสำรองในระดับที่เหมาะสม ธนาคารมีสินเชื่อขยายตัวร้อยละ 0.4 โดยยังคงรักษาสมดุลของ portfolio และรักษา Coverage Ratio ในระดับสูง
โดยรวมผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 เทียบกับช่วงครึ่งแรกของปี 25671/ ธนาคารและบริษัทย่อยมีรายได้จากการดำเนินงานลดลงร้อยละ 1.1 จากสภาวะดอกเบี้ยและการปรับอัตราดอกเบี้ยเพื่อประคับประคองลูกค้า แม้ว่ารายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยยังคงเติบโต ธนาคารบริหารค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ โดยมี Cost to Income ratio เท่ากับ 41.3% และตั้งสำรองฯ ในระดับที่เหมาะสมโดยมีกำไรส่วนที่เป็นของธนาคารเท่ากับ 22,836 ล้านบาท ลดลงเล็กน้อย 2.7%
ณ 30 มิถุนายน 2568 ธนาคาร (งบเฉพาะธนาคาร) มีเงินกองทุนชั้นที่ 1 19.28% และเงินกองทุนทั้งสิ้น 21.28% ซึ่งอยู่ในระดับที่แข็งแกร่งเมื่อเทียบกับเกณฑ์ของธนาคารแห่งประเทศไทย รวมถึงมีสภาพคล่องในระดับที่เพียงพอโดยรักษาระดับของ Liquidity Coverage ratio (LCR) อย่างต่อเนื่อง สูงกว่าเกณฑ์ที่ธปท.กำหนด
ในวันที่ 24 มิถุนายน 2568 บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือ Fitch Ratings ได้ประกาศคงอันดับเครดิตสกุลเงินต่างประเทศระยะยาวของธนาคารที่ BBB+ และอันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวที่ AAA(tha) พร้อมปรับเพิ่มอันดับความแข็งแกร่งทางการเงิน (Viability Rating) เป็น 'bbb' จาก 'bbb-' สะท้อนสถานะของธนาคารฯที่สามารถปรับตัวได้อย่างต่อเนื่องและมีคุณภาพ
ท่ามกลางแรงกดดันอย่างหนักต่อเศรษฐกิจไทย และผลกระทบต่อธุรกิจธนาคารในด้านการเติบโตและคุณภาพของสินเชื่อ มองว่าในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2568 เศรษฐกิจจะอ่อนแรงลง และมีโอกาสที่อาจจะขยายตัวต่ำกว่า 1% ส่วนมูลค่าการส่งออกอาจหดตัวกว่า 10% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่ปี 2569 เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวต่ำกว่า 2%
อ่านเนื้อหาต้นฉบับได้ที่ :
ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมที่เว็บไซต์ https://www.pptvhd36.com
และช่องทาง Social Media
โฆษณา