24 ก.ค. เวลา 08:16 • ความคิดเห็น
ถ้ามีใครสักคนมาทำให้ผมรู้สึกไม่พอใจหรือเจ็บปวด ผมจะมองตัวเองก่อนครับ…
มองว่า "นี่เราโกรธเหรอเนี่ย"
แล้วผมก็จะนั่งเงียบๆ อย่างสงบ ปล่อยให้การทำร้ายดำเนินไปอย่างราบรื่น ไม่มีการขัดจังหวะใดๆ เพราะความกรุณาต่อการเรียนรู้ของตัวเอง
ต้องรอให้เขาทำให้ผมเจ็บให้เสร็จสมบูรณ์ก่อนนะครับ ถึงจะเห็นใจตัวเองชัดๆ ว่า....
อ้อ นี่เราเจ็บเพราะใจตัวเอง
ไม่ใช่เขาเลยแม้แต่นิดเดียว
พอรู้แบบนั้นแล้ว
ผมก็จะยิ้มให้เขาแบบอิ่มเอมใจ เหมือนเพิ่งดูสารคดีสัตว์โลกน่ารักจบไปตอนนึง แล้วค่อยตอบสนองอย่างมีเมตตา (แม้บางทีลึกๆ อยากกระโดดก้านคออยู่บ้าง ก็ปล่อยให้เป็นเพียงปรากฏการณ์ในใจไป)
ผมไม่ค่อยโทษใครครับ เพราะผมฝึกมาดี รู้ทันใจว่าเป็นของไม่เที่ยง ต่อให้ใครมาปั่นประสาท ผมก็จะยังยิ้ม... จนเขาสับสนว่า ที่เขาทำทั้งหมดนั้นผมไม่รู้สึกอะไรเลยเหรอ
รู้ครับ… แต่ผมไม่อยากไปแย่งเขาเป็นตัวเอกของเรื่อง ในเมื่อเขาอยากเป็นผู้ก่อปฏิกิริยา ผมก็ขอเป็นแค่ห้องทดลองที่เงียบๆ ดูเชื้อเพลิงเผาไหม้ไปเรื่อยๆ
ผมเลือก “เห็นใจตัวเองที่มีความรู้สึก” ครับ เพราะถ้าไปเห็นแต่ผู้ที่ทำให้เรารู้สึก สุดท้ายเราก็จะต้องกราบเขาเป็นพระครูฝึกอารมณ์ไปตลอดชีวิต
แต่เห็นใจตัวเองนี่...มันฟรี
และยังรู้สึกเหนือกว่าแบบเงียบๆด้วยนะ
ใครทำร้ายก็ไม่สะเทือน เพราะเรารู้แล้วว่า...
โอ้.... ที่จริงเรานี่แหละที่เปิดประตูให้ลมพัดเข้า
เขาก็แค่ลม… แต่เราเปิดเอง
เวลาผมรู้สึกโกรธ ใจสั่น หรือเหมือนจะน้ำตารื้นเพราะคำพูดหรือการกระทำของใครสักคน ผมจะไม่โทษเขานะครับ ผมจะโทษตัวเองก่อนเลย ที่ยังมีใจให้รู้สึกอะไรพวกนี้
คือมันผิดที่ผมเองนั่นแหละ ที่ยังไม่บรรลุขั้นไร้ตัวตน ยังมีตัวเราให้เขาทำร้ายได้ไงล่ะครับ โทษใครไม่ได้เลยจริงๆ
เพราะงั้นเวลาโดนใครพูดจาทิ่มแทง ผมก็จะเงียบไว้ แล้วฟังอย่างตั้งใจ เหมือนฟังพระสวดเลย
เพราะทุกคำพูดของเขาคือธรรมะ
แต่เป็นธรรมะจากนรกที่ส่งขึ้นมา
ให้ผมได้ฝึกอภัยทานในชีวิตจริง
ผมเลือกตอบสนองแบบผู้รู้ครับ…
รู้ว่าตอนนี้กำลังโดนแทงอยู่ แต่เราควรน้อมรับไว้ด้วยใจเป็นกลาง
ถึงแม้ในใจลึกๆ จะอยากพูดว่า
"โอเค งั้นเดี๋ยวผมเอาเบอร์บัญชีไปให้นะ เผื่อจะอยากทำร้ายซ้ำแบบมีค่าใช้จ่าย"
แต่ก็ไม่ได้พูดครับ เพราะผมเลือกฝึกเงียบ…
ให้เขารู้สึกว่าผมกำลังพัฒนา ในขณะที่เขายังวนอยู่ในวงกรรม
สุดท้ายพอเขาทำให้ผมเจ็บเสร็จ
ผมก็จะยิ้มรับอย่างสงบ
เหมือนเพิ่งจบเวรยามในนรกขุมเล็กๆ
แล้วกลับมานั่งจิบชาร้อนในใจ
เพราะผมไม่ได้เห็นเขาเป็นศัตรูนะครับ
ผมเห็นเขาเป็น “กระจก” ที่ช่วยสะท้อนว่าใจผมยังติดกับอะไรอยู่บ้าง
แต่กระจกนี้อาจจะเถื่อนหน่อย ทิ่มแทงบ้าง แต่ก็สะท้อนดีจนเถียงไม่ออก
สุดท้ายมันก็เลยไม่ใช่เรื่องของเขาหรอกครับ มันเป็นเรื่องของผม กับใจที่ยังรู้สึกชอบ ไม่ชอบ อยากได้ อยากเอาคืน
และโชคดีเหลือเกิน…ที่ผมยังรู้สึกอยู่ เพราะนั่นหมายความว่า ผมยังมีอะไรให้ปล่อยอยู่ทุกวัน ยกเว้นวันไหนที่หมดแรง ก็จะปล่อยเลย ปล่อยให้มันพังไปทั้งใจนั่นแหละ แล้วค่อยเริ่มใหม่วันรุ่งขึ้น อย่างสุภาพชนผู้ไม่ถือสาใครอีกต่อไป
โฆษณา