Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
รู้ไว้ดีกว่ารู้งี้ KnewBetter
•
ติดตาม
26 ก.ค. เวลา 08:18 • การตลาด
การวาง SWOT สำคัญอย่างไรในปี 2025–2026 และแนวโน้มพฤติกรรมของผู้บริโภคที่แบรนด์ไม่ควรมองข้าม
ในโลกธุรกิจที่เปลี่ยนเร็วแบบวินาทีต่อวินาที ไม่มีเครื่องมือใดที่ถูกมองข้ามมากเท่า SWOT และในขณะเดียวกัน ก็ไม่มีเครื่องมือใดที่ “จำเป็นต้องทบทวนซ้ำ” เท่า SWOT เช่นกัน โดยเฉพาะในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่ออย่างปี 2025–2026 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่หลายธุรกิจต้องตัดสินใจว่าจะ “เติบโตไปอีกขั้น” หรือ “ติดกับดักความสำเร็จเดิม” และนั่นคือเหตุผลที่การวาง SWOT ไม่ควรถูกใช้เป็นแค่เครื่องมือเชิงทฤษฎี แต่ต้องเป็นเหมือนแว่นขยายที่ช่วยให้แบรนด์ “เห็นตัวเองชัดขึ้น” ท่ามกลางภูมิทัศน์ใหม่ที่ไม่เคยเหมือนเดิม
SWOT หรือการวิเคราะห์จุดแข็ง (Strengths), จุดอ่อน (Weaknesses), โอกาส (Opportunities) และอุปสรรค (Threats) นั้นฟังดูเหมือนสูตรคลาสสิกที่ทุกคนรู้จัก
แต่ในความเป็นจริง การใช้ SWOT อย่าง “เข้าใจ” กลายเป็นเรื่องที่มีไม่กี่องค์กรทำได้จริง โดยเฉพาะในยุคที่โลกไม่ได้หมุนเร็วเท่าเดิม แต่ “กระตุก” อยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นกระแส AI ที่พัฒนาแบบก้าวกระโดด แพลตฟอร์มใหม่ที่ผุดขึ้นแบบรายไตรมาส หรือพฤติกรรมของผู้บริโภคที่สามารถเปลี่ยนจาก A ไป Z ได้ในเวลาไม่ถึงสัปดาห์ เพราะฉะนั้น แบรนด์ที่ยังยึด SWOT แบบเดิม ๆ เช่น “เรามีทีมดี” “เราใช้วัตถุดิบคุณภาพ”
โดยไม่อิงกับความเป็นจริงของโลกภายนอก จะเสี่ยงอย่างมากต่อการมองข้ามความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นตรงหน้า
SWOT ที่ดีในปี 2025–2026 ต้องตอบให้ได้ว่า “จุดแข็งของเรายังแข็งอยู่หรือเปล่าในโลกที่ลูกค้าคาดหวังมากขึ้น?” “จุดอ่อนที่เราเคยมองข้าม กลายเป็นปัญหาที่คนอื่นเขาแก้ไปแล้วหรือยัง?” “โอกาสใหม่ในเทคโนโลยี หรือพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนเร็ว เรามองทันไหม?” และที่สำคัญคือ “สิ่งที่เราเคยคิดว่าเป็นอุปสรรค มันอาจกลายเป็นสิ่งที่คนอื่นแปรเป็นจุดแข็งไปก่อนหน้าแล้ว”
เมื่อมองควบคู่กับแนวโน้มพฤติกรรมของผู้บริโภคในปี 2025–2026 เราจะพบว่าสิ่งที่เปลี่ยนไป ไม่ใช่แค่แพลตฟอร์มที่เขาใช้งาน แต่คือ “วิธีที่เขาตัดสินใจ” เปลี่ยนอย่างรุนแรงและเงียบเชียบในเวลาเดียวกัน ผู้บริโภคในยุคนี้ไม่ได้สนใจแค่ราคาหรือโปรโมชั่นอีกต่อไป แต่ให้ความสำคัญกับ “ประสบการณ์” ที่เร็ว ง่าย จริงใจ และตรงเวลา พวกเขาให้ความสำคัญกับความไวพอ ๆ กับคุณภาพ และแบรนด์ที่ตอบช้า ไม่ชัด หรือพูดไม่เป็น อาจกลายเป็นแบรนด์ที่ถูกละเลย แม้จะลงทุนมาแค่ไหนก็ตาม
อีกหนึ่งพฤติกรรมที่เห็นชัดคือ ผู้บริโภคเลือกด้วย “ความรู้สึก” มากกว่าข้อมูล คนจะซื้อจากแบรนด์ที่ “เชื่อมโยงได้” ไม่ใช่แค่แบรนด์ที่ฟังดูดีหรือดูแพง และนั่นทำให้แบรนด์ที่มีเสียงแบบมนุษย์จริง ๆ กลับมีโอกาสสูงกว่าการตลาดที่ดูดีแต่พูดไม่ติดหู ความเป็นมนุษย์ของแบรนด์จะกลายเป็นหนึ่งใน “จุดแข็งใหม่” ที่หลายธุรกิจต้องใส่ไว้ใน SWOT ถ้าอยากเข้าใกล้ลูกค้าในยุคที่ความจริงใจแพงกว่าคำโฆษณา
ขณะเดียวกัน ความยั่งยืน (Sustainability) ก็ไม่ใช่คำแฟชั่นอีกต่อไป โดยเฉพาะกับกลุ่ม Gen Z และ Alpha ที่เริ่มมีอิทธิพลในการตัดสินใจซื้อ แบรนด์ที่ใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อม สังคม หรือชุมชนท้องถิ่น จะได้รับความสนใจมากกว่าแบรนด์ที่ผลิตไวแต่ไร้จุดยืน เพราะผู้บริโภคไม่ได้แค่ถามว่า “สินค้านี้ดีไหม?” แต่ถามว่า “แบรนด์นี้มองโลกยังไง?” และ “ฉันอยากสนับสนุนแบรนด์ที่มีจุดยืนแบบนี้ไหม?”
การวาง SWOT ที่แม่นและลึกจึงต้องใส่ข้อมูลผู้บริโภคใหม่ ๆ เข้าไปเสมอ ไม่ใช่การประเมินแบบคงที่จากปีที่แล้ว แต่ต้องถามตัวเองใหม่ทุก 3–6 เดือนว่า “โลกเปลี่ยน เราเปลี่ยนหรือยัง?” “ลูกค้าเปลี่ยนไปแบบนี้ จุดแข็งเรายังใช้งานได้ไหม?” “ช่องว่างไหนในตลาดที่เมื่อก่อนไม่ใช่โอกาส แต่ตอนนี้กลายเป็นพื้นที่ใหม่ที่เราลองได้?”
สรุปแล้ว SWOT ไม่ได้เป็นแค่เครื่องมือบนกระดาษ แต่คือการซ้อมรบทางความคิด การเตรียมใจรับมือกับความเปลี่ยนแปลง และการปรับแผนก่อนที่ตลาดจะเปลี่ยนเร็วกว่าที่เราขยับได้ ท่ามกลางคลื่นข้อมูล กระแสไวรัล และความต้องการของผู้บริโภคที่ซับซ้อนขึ้นทุกวัน แบรนด์ที่รู้จักตัวเอง รู้จักลูกค้า และรู้จักสภาพแวดล้อมรอบด้านอย่างแท้จริงเท่านั้น ที่จะอยู่รอดในเกมที่ไม่มีใครหยุดรอใคร
และการวาง SWOT อย่างมีสติและทันยุค จะไม่ใช่แค่การ “มองเห็น” จุดสำคัญ แต่คือการ “ยอมรับ” และ “ขยับให้ทัน” ก่อนที่คำว่า “แบรนด์ของเรา” จะกลายเป็นเพียงชื่อที่คนเคยรู้จัก
----------------------------------------------
แล้วถ้า Gen Z / Gen Alpha มองคำว่า SWOT จะเป็นยังไงนะ?
• S: Superpower – ถ้าแบรนด์คุณมีพลังพิเศษ อย่าเก็บไว้เหมือนหนังมาร์เวลตอนต้นเรื่อง… โชว์ให้เห็นไปเลยว่าอะไรที่คนควรจดจำคุณ ไม่ใช่ทุกอย่างต้องอลังการ แต่อย่าให้ธรรมดาจนเหมือนไม่มีตัวตน
• W: Warning Signs – ถ้าลูกค้าเริ่มหายจากคอมเมนต์ หรือยอดฟอลเริ่มนิ่งแบบผิดปกติ นี่ไม่ใช่เวลาพักผ่อน แต่คือสัญญาณแบบ “หนีไฟไหม้!” อย่ารอจนคนเลิกพูดถึง เพราะ Gen นี้เขาไม่บ่น เขาแค่ “กด unfollow แล้วไปเลย”
• O: Open Windows – ถ้าเห็นเทรนด์ใหม่มาอย่ารีรอ ถ้ารู้ว่าสิ่งนั้นใช่ รีบเข้าไปมีส่วนร่วม อย่ามัวประชุมจนหน้าต่างปิด TikTok ไม่รอใคร เพราะ Gen Z / Alpha ไม่รอแบรนด์ไหนทั้งนั้น ถ้าคุณไม่ขยับ พวกเขาแค่สไลด์ผ่าน
• T: Tipping Points – บางครั้งสิ่งที่ดูเหมือนไม่มีอะไร อาจเป็นจุดเปลี่ยนของความสัมพันธ์กับลูกค้า ถ้าแบรนด์ยังนิ่งในวันที่ควรพูด กล้าพูดผิดประเด็นในวันที่ควรฟัง หรือขยับช้าในวันที่ทุกคนวิ่งเร็ว… ก็เตรียมเจอ unfollow แบบนิ่ง ๆ ได้เลย
เพราะ Gen Z กับ Alpha ไม่ได้คิดวิเคราะห์เป็นขั้นตอนเหมือน SWOT แบบยุคก่อน แต่เขาสแกนแบรนด์ด้วย “ความรู้สึก”
ไม่อิน = ไม่ต่อ
ไม่จริงใจ = ไม่ตาม
ไม่กล้า = ไม่ต้อง
เพราะฉะนั้น… ถ้าจะทำ SWOT ให้รอดในยุคนี้ อย่าแค่วางให้ครบ 4 ช่อง
แต่ต้อง “กล้าเขียนให้ตรง” และ “ขยับให้เร็ว”
ก่อนที่แบรนด์คุณจะตกยุคตั้งแต่ยังไม่ได้เล่น TikTok Challenge แรกด้วยซ้ำ 😉
2 บันทึก
1
1
2
1
1
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย