26 ก.ค. เวลา 08:43 • ไลฟ์สไตล์

เมื่อพ่อป่วยอัลไซเมอร์... แล้วบัญชีธนาคารยังเดินอยู่ ใครจะดูแล?

สองปีก่อน ผมต้องเจอสถานการณ์ที่เปลี่ยนมุมมองเรื่อง และความเข้าใจ “กฎหมายครอบครัว” ...
พ่อของผมเป็นข้าราชการเกษียณ มีเงินบำนาญเข้าบัญชีทุกเดือน แต่แล้ววันหนึ่งโรคอัลไซเมอร์ก็เริ่มเล่นงานจนพ่อจำอะไรแทบไม่ได้ สมุดบัญชีเต็มหน้า บัตร ATM หมดอายุ ผมก็แค่คิดว่าจะพาท่านไปธนาคารเพื่ออัปเดตสมุด ทำบัตรใหม่... เท่านั้นเอง
แต่ความจริงมันไม่ได้ง่ายแบบนั้น
เมื่อไปถึงธนาคาร พนักงานกลับแจ้งว่า "ไม่สามารถให้บริการได้" เพราะพ่อไม่สามารถตอบคำถามได้ด้วยตัวเองตามขั้นตอนปกติ เช่น ชื่อ-นามสกุล วันเกิด หรือแม้แต่ลงลายเซ็นให้ตรงกับเดิม
ขอให้คุณไปดำเนินเรื่องแต่งตั้งเป็น ‘ผู้อนุบาล’ ก่อนนะคะ
เป็นคำแนะนำที่ฟังดูง่าย แต่ตอนนั้น ผมถึงรู้สึกว่าทำไมต้องยุ่งยาก... ผู้อนุบาลคืออะไร? ทำยังไง? ต้องจ้างทนายไหม? ต้องขึ้นศาลด้วยเหรอ?
คำว่า “ผู้อนุบาล” ในชีวิตจริง... ไม่ใช่แค่ในหนังสือกฎหมาย
หลายคนอาจเข้าใจว่า “ผู้อนุบาล” คือคนดูแลคนป่วย แต่ในความหมายทางกฎหมาย มันลึกกว่านั้นครับ
ผู้อนุบาล คือ บุคคลที่ได้รับการแต่งตั้งจากศาลให้มีอำนาจดูแลสิทธิและทรัพย์สินของผู้ที่ไม่สามารถดูแลตัวเองได้ เช่น ผู้ป่วยอัลไซเมอร์ ภาวะสมองเสื่อม หรือผู้ป่วยทางจิตขั้นรุนแรง
ในทางกฎหมาย ถ้าคนที่เรารัก "ไม่สามารถให้ความยินยอมได้ด้วยตนเอง" เราจะไม่มีสิทธิ์ทำธุรกรรมแทนเขา ไม่ว่าจะเป็นการถอนเงิน ฝากเงิน ยื่นเอกสาร หรือแม้แต่เรื่องการรักษาพยาบาลบางอย่าง
ใครสามารถร้องขอเป็นผู้อนุบาลได้บ้าง?
ไม่ใช่แค่ลูกเท่านั้นนะครับ ยังรวมถึง:
คู่สมรสโดยชอบด้วยกฎหมาย
พ่อแม่ ปู่ย่า ตายาย
ลูก หลาน เหลน บุตรบุญธรรม
ผู้ที่ดูแลใกล้ชิด หรือ พนักงานอัยการ
มี 2 วิธีในการดำเนินเรื่องขอเป็นผู้อนุบาล
วิธีที่ 1: จ้างสำนักงานทนายความ
สะดวก รวดเร็ว ทุกอย่างเขาจัดการให้
แต่มีค่าใช้จ่ายราวๆ 15,000 - 18,000 บาท (ขึ้นอยู่กับขอบเขตความรับผิดชอบ)
วิธีที่ 2: ทำเองทั้งหมด (ผมเลือกวิธีนี้)
ยุ่งหน่อย เหนื่อยหน่อย แต่ประหยัดมาก
ค่าใช้จ่ายทั้งกระบวนการของผมในตอนนั้นถ้าจำไม่ผิด ไม่เกิน 1,000 บาท
ระยะเวลาในการดำเนินการ
กรณีของผมใช้เวลาทั้งหมดประมาณ 6 เดือน
นับจากวันที่เขียนคำร้อง ไปจนถึงวันที่ได้รับเอกสารแต่งตั้งเป็นผู้อนุบาลจากศาล
ขั้นตอนในการยื่นคำร้องขอเป็นผู้อนุบาล (แบบทำเอง)
เตรียมเอกสารให้ครบ:
บัตรประชาชน + ทะเบียนบ้าน ของตัวเองและผู้ป่วย
ใบสูติบัตร / ทะเบียนสมรส / ใบมรณบัตร (ถ้ามี)
รูปถ่ายผู้ป่วยปัจจุบัน 6-10 รูป (มีรูปพ่อและครอบครัว / รูปที่แสดงภาวะอาการที่ต้องพึ่งพาการดูแล)
บัญชีเครือญาติ
หนังสือยินยอมจากญาติพี่น้อง
ใบรับรองแพทย์ที่ระบุชัดเจนว่าผู้ป่วยไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้
เอกสารเปลี่ยนชื่อ (ถ้ามี)
สำเนาเอกสารทั้งหมดอย่างละ 5 ชุด พร้อมเซ็นรับรอง
ไปยื่นคำร้องที่ศาลเยาวชนและครอบครัว
เจ้าหน้าที่จะตรวจเอกสารและนัดวันไต่สวน
ไปศาลตามนัด พร้อมพยานและเอกสารตัวจริง
รอฟังผลคำสั่งศาล
ถ้าไม่มีใครคัดค้าน ศาลจะออกหนังสือแต่งตั้งให้คุณเป็นผู้อนุบาล
สิ่งที่ยุ่งยากที่สุด (ของผม) : ใบรับรองแพทย์*
ฟังดูเหมือนแค่เอกสารทั่วไป แต่ ใบรับรองแพทย์เพื่อศาล ไม่เหมือนกับใบลางานหรือเบิกประกันครับ
ผมต้องไปโรงพยาบาลถึง สามรอบ กว่าจะได้ใบที่ “เขียนตรงจุดและครบถ้วน”
สิ่งที่ควรมีในใบรับรองแพทย์:
ชื่อ อายุ และโรคของผู้ป่วย (เช่น อัลไซเมอร์)
ระยะเวลาที่เริ่มป่วย
อาการที่บ่งชี้ว่าไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ เช่น:
จำชื่อคนในครอบครัวไม่ได้
ตอบคำถามไม่ได้
พูดจาไม่รู้เรื่อง
ไม่สามารถดูแลสุขอนามัยพื้นฐาน
เขียนชื่อ-เลขลำดับไม่ถูกต้อง
ข้อสรุปว่า “ไม่สามารถตัดสินใจเองได้ และจำเป็นต้องมีผู้ดูแลโดยชอบด้วยกฎหมาย”
อย่าลืม: ใบนี้ต้องลงลายเซ็นแพทย์ + ตราโรงพยาบาล
และแพทย์อาจถูกเรียกไปเป็นพยานในวันไต่สวน
ผมเข้าใจครับว่าหลายคนอาจรู้สึกท้อ ตั้งแต่ขั้นตอนแรก
แต่ผมอยากย้ำว่า คุณทำได้
สิ่งที่สำคัญไม่ใช่แค่ “เอกสาร” หรือ “กฎหมาย”
แต่คือความตั้งใจของลูกคนหนึ่ง ที่อยากดูแลพ่อให้ดีที่สุดในวันที่เขาช่วยตัวเองไม่ได้แล้ว
เพราะสุดท้าย… ความรักต้องมี “สิทธิ์” ถึงจะช่วยเขาได้เต็มที่
และการขอเป็นผู้อนุบาลคือการให้ความรักนั้นเดินต่อไปได้อย่างถูกต้อง
หวังว่าประสบการณ์นี้จะช่วยให้ใครหลายคนที่กำลังยืนอยู่ตรงจุดเดียวกับผม
มีเข็มทิศที่ชัดขึ้น เดินหน้าต่อได้ โดยไม่กลัวขั้นตอนที่ดูน่ากลัวในตอนแรก
ดูแลกันในวันที่เขาช่วยตัวเองไม่ได้… คือบทบาทที่สำคัญที่สุดของลูกครับ
โฆษณา