28 ก.ค. เวลา 08:42 • นิยาย เรื่องสั้น

เรื่องสั้น: เรือนว่างกลางเปลวแดด

โดย: ธีรธาร
บทที่ 1
เสาเรือนหัก
พ่อจากไปในปลายฤดูร้อน ไม่มีเสียงฟ้าร้อง ไม่มีสายฝน มีแค่ลมร้อน แผ่ว ๆ และเงาของต้นมะม่วงที่เคยร่ม กลับสั้นลงอย่างน่าใจหาย
งานศพพ่อเงียบกว่าที่คิด คนมาบ้างไม่มาบ้าง พี่สาวสองคนก็มาคนละวัน ก่อนจะจากไปในเวลาไม่กี่ชั่วโมง น้องสาวสองคน...ไม่มีใครมา ได้ยินข่าวว่าไปแต่งกับฝรั่ง อยู่เมืองนอก ไม่รู้ว่าประเทศอะไรส่งข้อความมาแค่ประโยคสั้น ๆ
"เสียใจด้วย ดูแลแม่ด้วยนะพี่" ไม่มีน้ำเสียง ไม่มีเวลาจะโทรมา ไม่มีแม้แต่รูปถ่ายล่าสุด
ตอนเช้า ๆ หลังงานศพจบลง ผมเดินไปตรงลานหน้าบ้าน ที่พ่อเคยนั่งจุดยาสูบ สูดควันเข้าปอด แล้วพูดเบา ๆ ว่า
"โลกมันเปลี่ยนเร็วเกินไปว่ะ"
บ้านหลังเดิมยังอยู่ แต่ทุกอย่างในบ้านไม่เหมือนเดิมอีกเลย ห้องครัวที่เคยมีเสียงขูดหม้อ เสียงหัวเราะของพี่สาวเวลาช่วยกันตำพริกวันนี้…เงียบ
โต๊ะกินข้าวยังตั้งอยู่ตรงนั้น แต่ไม่มีใครนั่งกินพร้อมกันอีกแล้ว
ภรรยาผมเดินผ่านห้องนั้นโดยไม่พูดอะไร เธอดูอ่อนแรงลงมาก ตั้งแต่พ่อเสีย เธอแทบไม่พูด
บางคืนผมตื่นมาเห็นเธอนั่งพับผ้าเงียบ ๆ กลางดึก เหมือนกำลังหาวิธีควบคุมอะไรสักอย่างในโลกที่หลุดมือไปหมด
เธอขับรถไม่ได้ ผมเลยต้องเป็นคนออกไปข้างนอกเสมอ ซื้อของ ทำธุระ
รับส่งลูก
ลูกชายคนเล็กยังอยู่ ป.3 ลูกสาวคนโตขึ้น ม.1 แล้ว ผมเห็นแววตาของเขา
ทั้งคู่เปลี่ยนไปในงานศพพ่อ
ลูกชายถามผมเบา ๆ ว่า "พ่อของพ่อจะกลับมาไหม"
ผมตอบไม่ได้ เลยแค่ลูบหัวเขา เบา ๆ
ผมเคยคิดจะบวช อยากจะละ อยากจะไป อยากจะหาความเงียบให้ตัวเอง แต่พอคิดถึงลูก คิดถึงภรรยา ผมก็รู้ว่า ผมยังไปไหนไม่ได้
ผมไม่กล้าทิ้งเขาไว้ตรงนี้ ชีวิตมันหนักก็จริง แต่การทิ้งครอบครัวให้ลอยกลางน้ำยิ่งหนักกว่า
หลายครั้งผมคิดจะหนี แต่จิตสำนึกก็ตบหน้าเราทุกครั้ง
“ลูกจะอยู่ยังไง ใครจะพาไปโรงเรียน เขาจะกินอะไรกัน”
ผมเคยเห็นผู้ชายบางคนหายไปจากหมู่บ้าน วันหนึ่งเขาขายรถ ขายที่นา แล้วไปอยู่ต่างจังหวัด
บางคนไปเป็นยาม บางคนขับรถส่งของ บางคนบวชไม่สึก แล้วหายเข้าไป
ในป่า
แต่ผมยังอยู่ที่นี่ เพราะไม่รู้จะไปไหน หรือจริง ๆ แล้วเพราะ ยังกลัวว่าถ้าไป ใครจะอยู่ตรงนี้แทนผม
ญาติพี่น้องตอนนี้ก็ห่างออกไปทุกวัน ทั้งที่เราไม่ได้ทะเลาะกัน ไม่ได้ผิดใจกันแต่มันห่างไปเอง เหมือนน้ำที่แยกทางผมจำได้ว่า เมื่อก่อนเราทำกับข้าวกัน
ทั้งครอบครัว มีเสียงหัวเราะ มีเสียงแหย่กัน มีการถามเรื่องโรงเรียน แต่ทุกวันนี้ เหลือแค่เสียงตะหลิวกระทบกระทะเบา ๆ กับเสียงลมหายใจของคนที่พยายาม
ไม่พูด
เศรษฐกิจก็ไม่ดี ร้านค้าผุดขึ้นรอบหมู่บ้านเหมือนดอกเห็ด ขายของเหมือนกันแทบทุกร้าน ใครคิดอะไรไม่ออกก็เปิดร้าน แต่ลูกค้ามีเท่าเดิม เงินหดลง ของแพงขึ้น คนเริ่มขาดทุน เริ่มเงียบ เริ่มหายไป
ผมเองก็ลองขายของ เอามะนาวจากสวนมาผูกถุง เอาผักปลอดสารมาวางหน้าบ้าน แต่ลูกค้าบอกว่า แพงกว่าห้างผมยิ้มและพยักหน้า ไม่เถียง แค่ยืนมองเขาขับรถออกไป แล้วก็หันมาเก็บผักเข้าบ้าน
ผมไม่มีทุน ไม่มีญาติรวย ไม่มีที่ดินที่ยังไม่จำนอง ไม่มีเพื่อนที่อยู่ในตำแหน่ง ไม่มีเส้นสาย ไม่มีทุนสำรอง ไม่มีแม้แต่เวลาจะล้ม
ผมต้องยืน แม้จะล้าจนขาอ่อนต้องยิ้ม แม้จะปวดกรามจากความเครียดต้องหัวเราะกับลูก แม้ใจจะร้องไห้
ผมคือคนนับล้านคนในประเทศนี้ที่ยังหายใจอยู่ เพราะยังมีคนที่ต้องพึ่งเรา
น้องสาวสองคนที่ไปต่างประเทศเคยโทรมาครั้งหนึ่ง บอกว่าชีวิตดี มีสามีดี ลูกครึ่งน่ารัก แต่ก็เหมือนโทรมาเพื่อบอก ไม่ใช่โทรมาเพื่อฟัง
เธอไม่ถามว่าแม่เป็นยังไง ไม่ถามว่าพ่อจากไปตอนนั้น เรารู้สึกยังไง เธอพูดแต่เรื่องลูกเธอ เมืองเธอ และชีวิตเธอ
ผมฟังเงียบ ๆ ก่อนจะวางสายแล้วเดินกลับเข้าครัวไปต้มข้าวต้มให้ลูก
วันหนึ่ง ผมเดินไปที่ห้องเก่าของพ่อ ในห้องยังมีเสื้อผ้าแขวนอยู่ หมวกใบเก่า
ที่เขาใช้ตอนทำสวนยังวางอยู่ตรงมุมโต๊ะ กลิ่นของพ่อยังติดอยู่จาง ๆ
ผมนั่งลงที่พื้น และไม่รู้ว่าทำไม...น้ำตามันไหลออกมาเฉย ๆ เงียบ ๆ ไม่ร้อง ไม่มีเสียงสะอื้น แค่น้ำตาที่ไหล เหมือนความเงียบในบ้านมันกลั่นตัวเป็นหยด
พ่อเคยพูดว่า
“ชีวิตคนจน มันเหมือนเสาเรือนที่ไม่มีเสาอีกด้านค้ำไว้ แค่ถ่อหัก เสาก็โยก แล้วบ้านทั้งหลังมันก็สั่น”
วันนี้ผมเข้าใจคำพูดนั้นแล้ว ไม่ใช่แค่เข้าใจในหัว แต่เข้าใจในอก
พ่อไม่อยู่แล้ว เสานั้นหายไป บ้านยังตั้งอยู่ แต่ไม่มีอะไรเหมือนเดิมอีกเลย
ผมไม่ได้อยู่ที่นี่เพราะมีความสุขผมอยู่ เพราะไม่รู้จะไปไหน อยู่ เพราะยังมีคนที่ต้องให้อยู่ อยู่เพราะยังไม่มีใครมาแทนที่ผมได้ และผมจะยังอยู่ แม้จะแตกหักภายใน แม้จะไม่มีใครจำผมได้ในวันข้างหน้า แม้บ้านหลังนี้ จะเงียบลงทุกวัน แต่ผมจะยังอยู่
บทที่ 2
คนที่ไม่ไปไหน
บางคนจากไปด้วยความตั้งใจ บางคนจากไปเพราะฝัน แต่บางคน ยังอยู่ เพราะไม่มีที่ให้ไป
หลังจากพ่อเสีย บ้านทั้งหลังเหมือนจะเล็กลงเรื่อย ๆ ไม่ใช่เล็กลงด้วยขนาด แต่เล็กลงในความรู้สึก เหมือนบ้านหลังนี้ไม่อาจกางร่มเงาให้กับชีวิตที่อ่อนล้าได้อีก
ผมกับภรรยายังอยู่ตรงนี้เหมือนเดิม เช้าขึ้นมาก็ตื่น หุงข้าวให้ลูกบางวันมีไข่เจียว บางวันมีแต่ข้าวคลุกน้ำปลา ลูกไม่เคยบ่น แต่ผมเองสิ ที่บ่นอยู่ในใจ
หมู่บ้านของเรามีคนลดลงทุกปีบ้านที่เคยเปิดไฟ มีเสียงหัวเราะ ตอนนี้ปิดเงียบ มีบ้านอยู่หลังหนึ่ง อยู่เยื้องบ้านผมไปไม่กี่หลังกำแพง เคยมีแม่ลูกอยู่ด้วยกันแม่เสีย ลูกไปทำงานเมืองนอก ขายบ้านทิ้ง เหลือแต่ต้นไม้หน้าบ้าน ที่ยังแตกยอดอยู่โดยไม่มีใครมอง
ผมเดินผ่านบ้านนั้นทุกเช้า แล้วก็รู้สึกเหมือนเดินผ่านอนาคตของตัวเอง จะมีสักวันไหม ที่ลูกผมเติบโต แล้วทิ้งบ้านไปแบบนั้น แล้วบ้านผมจะเหลือแค่เงาของต้นมะม่วงกับรั้วเก่าที่สีลอก
คนในหมู่บ้านหลายคนทยอยย้ายออก บางคนไปเป็นแรงงานที่เกาหลีใต้ ไต้หวัน ญี่ปุ่น กลับมาพร้อมรถใหม่ เครื่องใช้ไฟฟ้าใหม่ พร้อมสายตาใหม่ที่มองเราเหมือนเป็น “คนที่ไม่ไปไหน”
ผมไม่โกรธ แต่ในใจก็อดถามตัวเองไม่ได้ว่า “เรามันโง่หรือซื่อกันแน่ ถึงยังอยู่ที่เดิม”
หลายครั้งที่มีคนชวนให้ไปทำงานกรุงเทพฯ ทำงานก่อสร้าง ค่าแรงวันละสามร้อยแปดสิบทแต่ลูกผมจะอยู่กับใครภรรยาผมขับรถไม่ได้ ไม่ค่อยแข็งแรง แม่ก็แก่ลงทุกวัน และโลกก็ไม่ปลอดภัยเหมือนเมื่อก่อน
จะให้ผมทิ้งทั้งหมดแล้วไปตากแดดบนตึกสูง ผมทำใจไม่ได้
ผมไม่ได้อยู่ที่นี่เพราะผูกพันอะไรนัก ไม่ได้หลงใหลในกลิ่นดินหลังฝนตกไม่ได้รักทุ่งนาที่เต็มไปด้วยตอซัง ผมแค่อยู่ เพราะมันไปไม่ได้
ในความนิ่งเงียบของผม มีเสียงคำถามดังซ้ำ ๆ อยู่ข้างใน
“ทำไมคนอื่นเขาไปกันได้หมด แต่เรายังอยู่ตรงนี้”
ในหมู่บ้านเดียวกันนี้ มีเพื่อนคนหนึ่ง ชื่อไอ้ชิต เมื่อก่อนมันเป็นคนเสียงดัง ร่าเริง แต่พอพ่อมันตาย แม่มันป่วย มันต้องอยู่ดูแล อยู่ไปอยู่มาเมียก็ทิ้ง ลูกก็ไม่ค่อยมา สุดท้ายมันเงียบลงเรื่อย ๆ
ทุกวันนี้มันพูดไม่เกินวันละสามคำบางวันผมไปเจอที่ตลาดนัด มันก้มหน้าซื้อของ แล้วเดินกลับคนเดียว ผมเดินเข้าไปทัก มันเงยหน้ามองผม แล้วบอกแค่
“ยังอยู่” แค่นั้น...แล้วก็เดินต่อ ผมยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นนาน ก่อนจะหันกลับไปทางเดิม โดยไม่พูดอะไรอีกเลย
คำว่า “ยังอยู่” บางทีมันไม่ใช่คำปลอบใจ แต่มันคือ “สภาพ” ที่เราจำยอม
ผมเองก็เคยอยากไป แต่ติดที่ลูกยังเล็ก เคยอยากบวช แต่แม่ยังไม่แข็งแรง เคยอยากขายบ้าน แต่คิดถึงพ่อ ผมจึงไม่ไปไหน
ภรรยาผมเคยพูดเบา ๆ ว่า “ถ้าเราตัวคนเดียว คงไปได้ไกลกว่านี้”
ผมพยักหน้าเงียบ ๆ เราต่างรู้ ว่าคำว่า "ไกล" นั้นไม่ได้หมายถึงระยะทาง แต่มันหมายถึง “โอกาส”
หลายคนในหมู่บ้านเคยมีโอกาสแต่พวกเขาเลือกที่จะทิ้งมัน เพื่อครอบครัวบางคนชนะ แต่หลายคนก็จมหายไปในความเงียบ
วันหนึ่งผมนั่งอยู่หน้าบ้าน มีเด็กหนุ่มขับรถมอเตอร์ไซค์ผ่าน เขาหันมามองผม แล้วถามเสียงดังว่า
“ลุงไม่ไปไหนเหรอ อยู่บ้านแบบนี้ไม่เบื่อเหรอ”
ผมหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะตอบว่า “อยู่จนลืมว่าเคยอยากไป”
เขายิ้ม แล้วขี่รถออกไป ทิ้งผมไว้กับความเงียบอีกครั้ง
ภรรยาผมเคยฝันว่า เราจะเปิดร้านขายขนม แต่วันนี้เธอขายของออนไลน์ไม่ออกแม้แต่ชิ้นเดียว โลกมันเปลี่ยนเร็ว เร็วเกินกว่าที่เราจะปรับตัวทัน
ผมไม่โทษใคร แค่คิดในใจเบา ๆ ว่า “เราเกิดมาผิดยุคไปหน่อย ก็เท่านั้นเอง”
ทุกวันนี้ ผมตื่นเช้ามาหุงข้าวให้ลูกพาไปโรงเรียน แล้วกลับมานั่งปลูกผัก บ่ายก็ขี่มอเตอร์ไซค์ไปส่งของให้ลูกค้า บางวันได้เงิน บางวันไม่ได้อะไรเลย
ค่ำลงก็ช่วยภรรยาพับผ้า แล้วนั่งดูข่าว ก่อนจะปิดไฟ นอนเงียบ ๆ ซ้ำ ๆ
วน ๆ เหมือนวันเดิมที่ไม่มีจุดจบ
แต่ในความจำเจนี้ ผมก็ได้เห็นลูกยิ้ม ได้ยินเสียงหัวเราะของเขา ได้เห็นภรรยายังพอมีแรงลุกมาทำกับข้าว ได้ยินแม่เรียกชื่อตอนเย็น มันอาจไม่ใช่ชีวิตที่ดีแต่มันคือชีวิตที่ “ยังมีอยู่”
ผมไม่ใช่คนเสียสละ ไม่ใช่คนเก่งไม่ใช่คนมีความหวัง ผมแค่ “ยังอยู่” และรับผิดชอบในสิ่งที่ผมรัก แค่นั้น
บางครั้งผมนั่งมองบ้านที่อยู่ฝั่งตรงข้าม บ้านนั้นมีป้าย “ขาย” ห้อยไว้หน้ารั้ว ไม่มีใครโทรมา ไม่มีใครมาดู
บางคืนผมฝันว่า บ้านของผมก็ขึ้นป้ายขายแบบนั้น แต่ไม่มีใครถาม ไม่มีใครอยากซื้อ สุดท้ายมันก็ยืนอยู่แบบนั้น ท่ามกลางแดด ฝน และความว่างเปล่า
ผมไม่ได้ไปไหน ไม่ใช่เพราะผูกพันแต่เพราะ ที่ไหนก็ไม่ต้อนรับผมมากกว่าที่นี่ และผมยังต้องอยู่ เพื่อคนที่ยังอยู่ แม้มันจะเหนื่อย แม้มันจะเปล่า แต่ผมก็จะไม่ทิ้ง เพราะนี่คือบ้าน และเพราะผม ยังอยู่
บทที่ 3
พี่สาวของฉันไปคนละทาง
บางครั้ง คนที่ไม่โกรธกัน ก็จากกันได้เงียบ ๆ ไม่ใช่เพราะไม่รัก แต่เพราะชีวิตมันพาให้เดินออกไปจากกันช้า ๆ โดยไม่รู้ตัว
หลังพ่อเสีย บางอย่างในบ้านก็เปลี่ยนไปอย่างเงียบงัน ไม่ใช่เสียง ไม่ใช่ข้าวของ แต่เป็น “อุณหภูมิของความผูกพัน” ที่ลดลงเรื่อย ๆ เหมือนน้ำในตุ่มที่ไม่มีฝาปิด
ผมมีพี่สาวสองคน คนโตชื่อพี่นง คนกลางชื่อพี่หญิง สมัยเด็ก เราโตมากับทุ่งเดียวกัน บ้านไม้ชั้นเดียวที่พ่อปลูกด้วยมือ ฝนตกก็วิ่งหลบใต้ชายคาด้วยกัน แม่ดุพร้อมกันสามคน
ข้าวมื้อเย็นมีแค่แกงส้มปลาช่อนกับผัดผักบุ้ง แต่มันอร่อยที่สุด เพราะเรานั่งล้อมวงกัน
แต่หลังพ่อจากไป พี่สาวทั้งสองก็เหมือนเรือที่พายออกไปจากฝั่ง ไม่ใช่เพราะโกรธ ไม่ใช่เพราะไม่รัก แต่เพราะ “ต่างคนต่างมีทาง”
พี่นงแต่งงานกับข้าราชการในอำเภอ มีบ้าน มีรถ มีลูกสองคน ไม่ไกลจากบ้านผมนัก แต่ก็ไม่ใกล้พอจะเดินไปหาโดยไม่ต้องคิด
วันที่พ่อเสีย พี่นงมาก่อนงาน ช่วยจัดของหน้าศพ ช่วยพูดกับพระ แต่พองานจบ เธอก็กลับพร้อมครอบครัว ไม่มีแม้คำพูดว่า “พรุ่งนี้จะมาอีกนะ” หรือ “ไว้จะมาช่วยเก็บของ”
เธอไม่ได้เย็นชา แต่เธอรีบ– รีบกลับไปยังชีวิตของตัวเอง ที่เธอก็คงเหนื่อย
ไม่แพ้ผม
ผมไม่โกรธ แค่เสียใจนิด ๆ เวลาที่ลูกผมถาม
“ทำไมป้าถึงไม่มาอีกเลย”
พี่หญิงเป็นคนพูดเก่ง ร่าเริง
สมัยเด็กเธอเคยเป็นคนที่ทำให้บ้านมีเสียงหัวเราะ แต่หลังเรียนจบ เธอไปทำงานที่ระยอง จากนั้นก็ไม่เคยกลับมาอยู่นาน ๆ อีกเลย
บางปีเธอกลับมาแค่วันเดียวตอนสงกรานต์ บางปีไม่มาเลย แต่ส่งของมาแทน มีทั้งเครื่องใช้ เสื้อผ้า ของเล่นลูก ผมรับไว้เงียบ ๆ แล้วพูดขอบคุณผ่านไลน์ ที่ไม่เคยได้อ่านข้อความกลับ
เธอไปคนละทางกับพี่นง แต่ก็เหมือนกันในแง่ที่ว่า เธอไม่ได้หันกลับมามองบ้านหลังนี้เหมือนเดิมอีกเลย
วันหนึ่งหลังพ่อเสียได้หลายเดือน ผมฝันว่าเรานั่งล้อมวงกินข้าวกันเหมือนตอนเด็ก พี่หญิงหั่นไข่เค็ม พี่นงขูดมะพร้าว แม่ยืนกวนแกง พ่อจุดไฟเตา เสียงหัวเราะดังลั่นบ้าน แต่ผมกลับนั่งเงียบ ๆ เหมือนรู้ว่านี่เป็นแค่ความฝัน
พอตื่นขึ้นมา น้ำตามันเปียกหมอนโดยที่ผมไม่รู้ตัว
ทุกวันนี้ พี่นงยังส่งข้อความในกลุ่มไลน์ครอบครัว เช่น “สุขสันต์วันเกิดแม่” หรือ “ขอให้ทุกคนปลอดภัยจากพายุ” แต่ไม่มีใครตอบ หรือบางทีก็มีแต่สติ๊กเกอร์นิ่ง ๆ จากผมเอง
พี่หญิงหายไปจากกลุ่ม หลังจากครั้งหนึ่งที่เธอส่งคลิปท่องเที่ยวทะเล พร้อมแคปชั่นว่า
“ชีวิตดี ๆ ที่บ้านไม่มีให้”
ไม่มีใครว่าอะไร แต่แม่เงียบไปทั้งวัน แล้วเอาโทรศัพท์วางไว้บนโต๊ะ โดยไม่แตะอีกเลย
ผมเคยลองโทรไปหาพี่หญิง ไม่ได้จะพูดอะไรมาก แค่จะถามว่า “กินข้าวหรือยัง” แต่เธอไม่รับสาย แล้วตอบกลับมาว่า
“ขอโทษนะ กำลังยุ่ง เดี๋ยวค่อยคุยนะ” แต่ก็ไม่มี “เดี๋ยว” อีกเลย
แม่เองก็เหมือนจะชิน แกไม่ถามถึงลูกสาว ไม่พูดถึง ไม่เอ่ยถึงชื่อ แค่ยิ้มนิด ๆ เวลาผมพาลูกไปหาท่าน แล้วพูดว่า
“หลานน่ารักดีนะ” เหมือนพูดให้ตัวเองฟัง
ความห่างเหินบางอย่าง มันไม่ได้เกิดจากการกระทำ แต่มันเกิดจาก “ช่องว่างของชีวิต” ที่พอห่างกันมากพอ ก็ไม่มีใครกล้าข้ามกลับมาอีก
วันหนึ่งพี่นงขับรถผ่านมาแถวบ้านผม
เธอจอดแค่ไม่กี่นาที เข้ามากอดแม่ แล้วก็รีบกลับ ผมยืนอยู่ข้างรั้ว เธอพูดกับผม
สั้น ๆ ว่า
“ดูแลแม่ด้วยนะ” แล้วก็เดินกลับไปขึ้นรถ
ผมไม่ได้ตอบ แค่ยืนอยู่ตรงนั้นจนรถเธอลับสายตา ก่อนจะหันกลับเข้าบ้านอย่างช้า ๆ
ผมไม่รู้ว่าอะไรทำให้คนในบ้านเดียวกัน กลายเป็นคนที่แทบไม่รู้จักกัน
บางทีเราอาจไม่ได้เปลี่ยนไป แต่โลกมันกว้างขึ้นจนพาเราไปไกลจากกันโดยไม่รู้ตัว
บางคืนผมนั่งมองรูปถ่ายเก่า ภาพเราสามคนพี่น้องเล่นอยู่ริมคลอง น้ำขุ่น หัวเราะดัง ผ้าถุงแม่ตากอยู่หลังบ้าน ตอนนั้นไม่มีโทรศัพท์ ไม่มีเฟซบุ๊ก แต่เราจำได้ทุกเสียง ทุกสีหน้า ทุกกลิ่นดิน
ทุกวันนี้เรามีเทคโนโลยีเชื่อมต่อกันทุกทาง แต่เรากลับ “ห่างกันกว่าเดิม” แบบที่ไม่มีอะไรเชื่อมได้อีกแล้ว
ลูกชายผมเคยถามว่า “โตขึ้น ถ้าหนูไปอยู่ไกลแบบป้า หนูจะกลับมาไหม”
ผมตอบไม่ได้ แค่ยิ้มแล้วบอกว่า “ถ้าหนูยังจำบ้านได้ หนูก็จะกลับมาเอง”
พี่สาวของผมไม่ได้ผิด เธอแค่เดินไปตามชีวิตของตัวเอง แต่ในขณะที่พวกเธอเดิน ผมยังยืนอยู่ที่เดิม
ผมไม่รู้ว่าในอนาคต ลูกผมจะยังโทรหาผมไหม แม่จะอยู่ถึงปีหน้าไหม หรือพี่สาวจะกลับมาทันเห็นบ้านหลังนี้ก่อนมันพังหรือไม่
ผมแค่รู้ว่า บ้านหลังนี้ยังรอ แม้คนจะหายไปทีละคน แม้ใจจะล้า แม้ชื่อในกลุ่มไลน์จะเงียบลงทุกวัน บ้านก็ยังรอ ผมก็ยังรอ
และถ้าวันหนึ่งพี่สาวผมหันกลับมา
ผมจะยังอยู่ตรงนี้ ที่เดิม ในบ้านไม้เก่า ๆ หลังเดิม พร้อมแกงส้มอุ่น ๆ และไข่เค็มหั่นไว้รอ
บทที่ 4
เสีบจยงเลือนจากอีกฟากโลก
คนบางคน ไม่ได้ลืมบ้าน แต่พออยู่นานไปไกล ๆ ก็ไม่รู้จะกลับมายืนตรงไหน
ผมมีน้องสาวสองคน ต่างคนต่างหายไปจากบ้านนี้นานแล้ว ไม่ได้หายไปจากแผนที่ แต่หายไปจากเสียงเรียก จากบทสนทนา จากวงข้าวเย็น จากงานศพพ่อ
น้องสาวคนเล็กชื่อ “แตง” อีกคนชื่อ “แอน” ทั้งสองเคยเป็นเด็กสาวที่นั่งตากผมให้แม่ตอนเย็น ร้องไห้เวลาโดนดุ หัวเราะเสียงใสเวลาแอบกินขนมตอนกลางคืน
เราห้าคนพี่น้องเคยนอนเรียงกันใต้ผ้าห่มผืนเดียว เคยปั่นจักรยานไปโรงเรียน เคยเถียงกันเรื่องที่นั่งหน้าทีวี เคยอาบน้ำคลองด้วยกัน
ตอนนั้น ไม่มีใครรู้หรอกว่า โตขึ้นจะห่างกันได้ขนาดนี้
วันหนึ่งหลังเรียนจบ แตงตัดสินใจไปทำงานที่กรุงเทพฯ แอนตามไปทีหลัง
ทำอยู่พักหนึ่ง ก็ได้ข่าวว่าแตงรู้จักกับชายชาวยุโรปผ่านแอปอะไรสักอย่าง ไม่กี่เดือนก็พาเขามาบ้าน ผู้ชายคนนั้นพูดไทยไม่ได้ แต่พยักหน้า ยิ้ม และให้เงิน
แม่เงียบ
พ่อเงียบ
ผมก็เงียบ
ไม่มีใครรู้จะพูดอะไร
ไม่ถึงปี แตงแต่งงาน แล้วบินไปอยู่ต่างประเทศ แอนไปทีหลัง เหมือนภาพซ้ำที่เปลี่ยนแค่ตัวพระเอกในเรื่อง
ตั้งแต่นั้นมา บ้านหลังนี้ก็ไม่เคยได้ยินเสียงของทั้งสองอีกเลย มีแต่กล่องพัสดุปีละไม่กี่ครั้ง ใส่ของใช้ เสื้อผ้า ตุ๊กตา ของเล่น
และบางครั้งก็มีเงินแนบมา
แม่เก็บกล่องไว้ทุกใบ ทั้งที่ข้างในไม่มีอะไรพิเศษ แต่แกบอกว่า
“กลิ่นมันเหมือนลูก”
บางครั้งแม่ก็เปิดกล่องเปล่าออกมา
หยิบถุงพลาสติกขึ้นมาดม น้ำตาคลอเบ้า แล้วก็วางไว้ที่เดิม
ผมมองภาพนั้นจนรู้สึกว่า บางคนไม่ได้เหงาเพราะไม่มีใคร แต่เหงาเพราะคนที่เราคิดถึงยังหายใจอยู่ แต่ไม่ได้อยู่ใกล้เราเลย
ผมเคยถามแม่ว่า “คิดถึงไหม”
แกตอบว่า “คิด แต่พูดไม่ได้ เดี๋ยวร้อง”
ผมเองก็ได้รับข้อความจากแตงบ้างบางครั้ง ส่วนใหญ่เป็นภาษาอังกฤษปนไทย เช่น “Hi พี่ คิดถึงนะ Take care นะคะ” หรือ “หนาวมากเลยที่นี่ หิมะตก
จนออกจากบ้านไม่ได้เลย 55555”
ผมอ่านข้อความพวกนั้น แล้วก็ไม่รู้จะตอบว่าอะไร เพราะจริง ๆ แล้ว ผมอยากตอบแค่ว่า “ทำไมไม่โทรมา”
แอนหายไปเงียบกว่านั้น ผมไม่รู้ว่าเธออยู่ประเทศไหน เคยส่งของมาครั้งหนึ่ง ไม่มีข้อความ ไม่มีชื่อผู้ส่ง แค่มีสติกเกอร์หน้าคนยิ้ม ๆ แปะอยู่ที่กล่อง แม่เปิดออก ข้างในมีเสื้อไหมพรมกับรองเท้าบู๊ต แม่ถามว่า
“เมืองเขาหนาวขนาดนี้เลยเหรอ”
ผมไม่รู้จะตอบยังไง เพราะแม้แต่เมืองนั้นอยู่ตรงไหนในโลก ผมก็ไม่รู้เลย
ในงานศพพ่อ น้องสาวทั้งสองไม่ได้มา แตงส่งพวงหรีด แอนเงียบ มีแต่เสียงแม่พูดเบา ๆ ระหว่างก้มเช็ดน้ำตาว่า
“ไม่เป็นไรหรอก แค่รู้ว่าลูกยังมีชีวิตอยู่ ก็ดีแล้ว”
หลังเผาพ่อ แม่เดินกลับบ้านช้า ๆ ผมประคองท่าน แต่ใจผมคิดแค่ว่า ถ้าผมตายก่อนแม่ ใครจะอยู่ตรงนี้ให้แม่เกาะ
ทุกวันนี้ ผมกับภรรยายังเลี้ยงลูกอยู่ที่บ้านหลังเดิม มีโทรศัพท์ มีอินเทอร์เน็ต มีเฟซบุ๊ก แต่ไม่มีเสียงเรียกจากน้องสาว
ลูกชายเคยถามว่า
“ทำไมอาไม่มาเที่ยวบ้านเราเลย”
ผมหยุดชั่วครู่ แล้วตอบว่า
“เขาอยู่ไกล ต้องทำงาน”
ลูกเงียบ แล้วพูดเบา ๆ ว่า
“หนูก็อยากอยู่ไกล ๆ บ้าง จะได้ไม่ต้องลำบาก”
ประโยคนั้นแทงลึกเข้ามาแบบไม่ทันตั้งตัว ผมยิ้ม แล้วบอกตัวเองว่า อย่าทำให้ลูก “อยากไป” เพราะพ่อ “อยู่แบบไม่มีหวัง”
บางคืน ผมเปิดแชตเก่า ๆ ที่แตงเคยส่ง มีภาพถ่ายกับหิมะ กับลูกครึ่งตัวเล็กที่ยิ้มเหมือนแม่เขา ผมไม่ได้รู้จักหลานคนนี้ แต่แม่เคยปริ๊นท์ภาพติดไว้ข้างฝา เขาเรียกผมว่า “Uncle” ในแคปชั่น
แต่ผมไม่รู้ว่า เขาเคยได้ยินชื่อผมจากแม่เขาบ้างไหม ในประเทศนี ้ มีผู้หญิงมากมายที่แต่งงานกับชาวต่างชาติ บางคนอยู่สุขสบาย บางคนทุกข์แต่เงียบ บางคนมีบ้านหลังโต แต่ไม่มีใครได้กลับมานั่งกินข้าวเย็นกับแม่
ผมไม่ได้อิจฉา ไม่ได้โกรธ ไม่ได้ดูถูก ผมแค่คิดว่า โลกใบนี้ มันกว้างกว่าหัวใจของคนแก่ที่รอใครสักคน
แม่เริ่มเดินไม่ไหว ตาจะมัว หูจะตึง
แต่ยังถามผมเป็นครั้งคราว
“แตงเขาสบายดีไหม”
“แอนจะกลับไหมปีนี้”
ผมตอบแค่
“คงดีมั้งแม่ เห็นเขายิ้มในรูป”
“คงยังหรอก ปีนี้หิมะตกหนัก”
แม้จะรู้ดีว่า บางปีเขาก็ลืมแม้แต่จะส่งรูปมา
ผมไม่ได้อยากให้น้องกลับมาทุกปี ไม่ได้อยากให้เขามาอยู่ที่นี่ แค่หวังว่า
วันหนึ่ง เขาจะคิดถึงบ้านบ้าง ไม่ใช่แค่เมืองหนาว
ความเงียบจากอีกฟากโลกนั้นไม่เหมือนความเงียบข้างบ้าน มันไม่มีเสียงจักจั่น ไม่มีเสียงลม ไม่มีแม้แต่เสียงของความว่าง มีเพียงการรอ รอคนที่เคยหัวเราะกับเราตอนเป็นเด็ก กลับมาหัวเราะให้ได้ยินอีกครั้ง
ผมยังอยู่ที่นี่ ในบ้านไม้หลังเดิม กับแม่ที่แก่ลงทุกวัน กับลูกที่โตขึ้นอย่าง
เงียบ ๆ และกับเสียงของน้องสาว ที่ยังเลือนลางในหู แม้พยายามฟังเท่าไหร่ ก็ไม่ชัดอีกแล้ว
บทที่ 5
หาเช้ากินค่ำ
ทุกเช้าผมตื่นขึ้นมา โดยไม่หวังจะได้มากกว่าค่ำนี้จะมีข้าวกินไหม ไม่มีใครเคยสอนผมหรอกว่า ชีวิตคนเราควรมีเป้าหมาย หรือ ความฝัน
พ่อแม่เราสอนแค่ว่า “อย่าโกงใคร อย่าละทิ้งครอบครัว อย่าให้คนอื่นมาด่าได้ว่าขี้เกียจ”
เท่านั้นแหละ ไม่มีใครบอกว่า ชีวิตควรมีวันหยุด ควรพัก ควรเลือกงานที่รัก ควรมีเงินเก็บ เรารู้แค่ว่า ต้องทำงาน ไม่ว่าจะสุข หรือเจ็บ ต้องลุกขึ้นมาทุกเช้า แม้ไม่รู้ว่าวันนี้จะขายได้สักกี่บาท
ผมกับภรรยาไม่ใช่เจ้าของร้าน ไม่ใช่เจ้าของที่ดิน ไม่ใช่นักลงทุน เราแค่คนธรรมดาที่ตื่นแต่เช้า ไปส่งลูก กลับมาหุงข้าว เตรียมของไปขาย บางวันขายดี
บางวันขายไม่ได้ แต่ทุกวัน เหนื่อยเท่ากัน
มีอยู่ช่วงหนึ่ง เราลองขายผลไม้ แตงโม มะละกอ มะม่วง แค่เดือนเดียวก็เลิก เพราะคนแถวนี้ก็ขายเหมือนกันหมด จนแม่ค้าข้างตลาดพูดว่า
“ปีนี้คนทั้งประเทศปลูกแตงโมหรือไงพี่”
ผมกับภรรยาเคยลองขายเสื้อผ้ามือสอง ลงของมาจากโกดังในตัวเมือง ตั้งขายข้างถนน เจอลมฝน สองวัน ขาดทุน ของหายไปเกือบครึ่ง ภรรยาผมไม่พูดอะไร แต่ผมเห็นเธอเอาเสื้อตัวที่ขายไม่ออกมานั่งเย็บ
เงียบ ๆ ในห้อง ผมไม่พูดอะไร แค่บอกว่า
“ไว้ลองขายใหม่ก็ได้ เดี๋ยวช่วยโพสต์ในกลุ่มตลาดให้”
เธอพยักหน้า แต่ไม่ยิ้ม
ทุกวันนี้เราเปลี่ยนมาทำกับข้าวขาย ข้าวเหนียวหมูทอด น้ำพริก ปลาทู
บางวันมีขนมกล้วย บางวันมีแค่กล่องข้าวกับแกงถุง
เราขายได้วันละร้อยบ้าง สองร้อยบ้าง แต่ก็ยังต้องขาย เพราะไม่มีต้นทุน
จะเริ่มอย่างอื่น
เวลาผมหันไปมองรอบตัว เห็นร้านกาแฟเปิดใหม่ เห็นร้านข้าวแฟรนไชส์ เห็นคนถือมือถือถ่ายรูปลงโซเชียล ผมไม่ได้อิจฉา แค่รู้สึกว่า ผมไม่ทันเขาแล้ว
ชีวิตผมไม่มีคำว่า “รีวิว” ไม่มีคำว่า “ยอดขายพุ่ง” ไม่มีคำว่า “คนแห่ซื้อ” มีแต่คำว่า “หมดรึยัง” “พรุ่งนี้ขายอะไรดี “น้ำมันจะหมดแล้ว เติมได้ไหม” “ลูกจะมีค่ารถไปโรงเรียนไหม”
ผมเคยคิดจะเปลี่ยนชีวิต เคยคิดจะไปบวช เคยคิดจะทิ้งหมดแล้วเริ่มใหม่ แต่พอลูกกลับมาจากโรงเรียนแล้ววิ่งมากอด
ผมก็เปลี่ยนใจ
พอเห็นภรรยายืนขูดมะพร้าวทั้งที่ปวดไหล่ ผมก็ไม่กล้าพูดเรื่องจะไปไหน
ไกล ๆ
ภรรยาผมพูดไม่เก่ง ไม่ชอบแสดงออก แต่ทุกเช้าเธอตื่นก่อนผม หุงข้าว เตรียมกับ ตากผ้าทแล้วรอให้ผมขับรถไปส่งลูก วันไหนขายไม่ได้ เธอไม่บ่น แค่เงียบ แล้วไปล้างถุงเพื่อนำกลับมาใช้ใหม่
ลูกชายผมอยู่ประถม เรียนไม่เก่งมาก แต่ชอบวาดรูป เขาเคยวาดบ้านเราไว้ในกระดาษแผ่นหนึ่ง มีพ่อ แม่ ตัวเขา กับสุนัขตัวหนึ่งที่ตายไปแล้ว ผมถามว่า
“ลูกอยากโตไปทำอะไร”
เขาตอบว่า “หนูอยากขายของแบบพ่อแม่”
ผมหัวเราะ แล้วบอกว่า “อย่าเลยลูก ไปเรียนเถอะ”
เขาทำหน้าฉงน แต่ผมไม่รู้จะอธิบายยังไง ว่าคำว่า “หาเช้ากินค่ำ” มันแปลว่า
ชีวิตเรายังต้องดิ้น ยังไม่ควรให้ใครต้องเริ่มใหม่ตรงที่เราจบ
ในหมู่บ้านผม คนที่เคยอยู่ก็หายไปเรื่อย ๆ บางคนไปเมืองนอก บางคนไปกรุงเทพฯ บางคนไปไม่ถึงไหน แล้วก็กลับมาตายที่บ้าน
มีคนขายลอตเตอรี่บอกผมว่า
“โชคดีนะพี่ ขอให้ถูกรางวัลใหญ่สักที”
ผมยิ้ม แต่ในใจรู้ว่า “ผมไม่มีแม้แต่เงินจะซื้อลอตเตอรี่ด้วยซ้ำ”
วันหนึ่งฝนตกหนัก ข้าวของเราเปียกหมด ภรรยาผมนั่งคัดหมูทอดที่เปียกฝน
ลูกชายถอดรองเท้าแล้วนั่งนิ่ง ๆ ดูเราเก็บของ ผมหันไปถามเขา
“เหนื่อยไหมลูก”
เขาตอบว่า
“ไม่เหนื่อย แค่หิว”
คืนนั้นผมหุงข้าว แล้วเอาปลาทูตัวเดียวมาแบ่งกันสามคน เรากินไปเงียบ ๆ
ไม่มีใครบ่น ไม่มีใครหัวเราะ แต่ทุกคนอิ่ม
ผมนั่งมองภรรยากับลูกหลับในมุ้ง แล้วคิดว่า “แค่นี้ก็ดีแล้วหรือยัง” แต่ใจมันเถียงกลับมาว่า “แล้วจะอยู่แบบนี้ไปอีกนานแค่ไหน”
ไม่มีใครรู้หรอกว่า การเป็นคนจน มันไม่ใช่แค่ไม่มีเงิน แต่มันคือการ ไม่มีทางเลือก เราไม่สามารถป่วย ไม่สามารถหยุด ไม่สามารถเปลี่ยน ไม่สามารถพลาด
ทุกอย่างต้อง “พออยู่ได้” แม้จะไม่มีใครเห็นเราเลยก็ตาม
มีอยู่วันหนึ่ง เพื่อนเก่าสมัยเรียนมาหา เขามีรถเก๋ง มีธุรกิจออนไลน์ เขาถามผมว่า “แกยังอยู่ตรงนี้เหรอ”
ผมตอบว่า “ก็ยังอยู่”
เขาหัวเราะ แล้วบอกว่า
“เอ็งมันก็เป็นคนดีเสมอต้นเสมอปลายเนอะ”
ผมไม่รู้ว่าเขาหมายถึงดี หรือหมายถึง “จนไม่เลิก” แต่ผมก็ยิ้ม เพราะไม่อยากเถียง ผมรู้ว่า บางทีการยิ้มคือการป้องกันน้ำตาแบบผู้ใหญ่
ผมยังคงขายของทุกวัน ยังคงตื่นเช้า ยังคงฝันว่า จะมีใครมาหยิบยื่นโอกาสให้ แต่ก็รู้ดีว่า ฝันของคนหาเช้ากินค่ำ ไม่ใช่เรื่องของความฟุ่มเฟือย แค่หวังว่า “ลูกจะไม่ต้องอยู่แบบเราก็พอแล้ว”
บทที่ 6
เสียงของแม่
บางครั้ง สิ่งที่เราคิดถึงมากที่สุด คือเสียงที่เคยได้ยินทุกวัน
ผมไม่รู้ว่าแม่เริ่มเงียบลงตั้งแต่เมื่อไหร่ เพราะมันไม่ได้เกิดขึ้นในวันเดียว แต่มัน ค่อย ๆ หายไป เหมือนหมอกบางที่ลอยอยู่ทุกเช้า จางลง โดยไม่มีใครสังเกต
สมัยก่อน แม่เป็นคนเสียงดัง เวลาขายของ เวลาด่าหมา เวลาบ่นลูก เวลาหัวเราะเสียงของแม่ดังกลบเสียงลมได้ทั้งวัน
ผมจำได้ว่า แม่เคยตะโกนเรียกพวกเราตอนเย็น “กลับบ้านได้แล้ววววว พระอาทิตย์จะตกแล้วโว้ย”
เสียงนั้นดังก้องไปถึงท้ายหมู่บ้าน ใครได้ยินก็รู้ว่า ลูกบ้านนี้ต้องวิ่งกลับแล้ว แต่ตอนนี้ แม่เรียกชื่อผมด้วยเสียงที่เบามาก บางทีต้องเงี่ยหูฟัง บางทีก็ไม่ได้ยินเลย
ผมเริ่มรู้ว่า แม่ไม่ได้เงียบ แค่โลกของเรามันวุ่นวายจนไม่ได้ฟัง
ทุกวันนี้แม่เดินช้า นั่งนาน พูดน้อย บางทีแค่พยักหน้า บางทีแค่ถอนหายใจแกยังอยู่ในบ้านนี้ ยังนั่งตรงเก้าอี้ไม้ตัวเดิม แต่เสียงของแม่ไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว
ผมเคยนั่งเงียบ ๆ มองแม่ เห็นแก ค่อย ๆ แกะกล่องพัสดุจากต่างประเทศ
มือนั้นสั่นนิด ๆ เปิดถุงช้า ๆ แล้วก็ยิ้มบาง ๆ คนเดียว ไม่พูดว่า “ดีใจ” ไม่พูดว่า “นึกถึง” ไม่พูดอะไรเลย แต่ผมรู้ว่า ในความเงียบของแม่ มีเสียงของลูกอยู่เต็มไปหมด
บางครั้งแม่เปิดทีวีแต่ไม่ดู เปิดวิทยุแต่ไม่ฟัง เหมือนแค่ต้องการเสียงอะไร
สักอย่าง เพื่อกลบเสียงของความว่างเปล่า
วันหนึ่ง แม่ถามผมว่า “แตงเขาสบายดีไหม”
ผมตอบ “เห็นในเฟซ เขายิ้มอยู่ คงดีมั้งแม่”
แม่พยักหน้า แล้วก็หันไปเช็ดโต๊ะ ไม่พูดอะไรต่อ แต่ผมเห็นแกแอบถอนหายใจยาว เบาจนเหมือนลมหายใจที่หายไปกับอากาศอีกครั้ง
แม่เดินไปลูบเสื้อผ้าที่แอนเคยส่งมา แล้วพูดเบา ๆ ว่า “ไม่รู้ว่าเขาได้กินของเผ็ดบ้างไหมนะ อยู่เมืองหนาวแบบนั้น”
แกพูดกับใครก็ไม่รู้ อาจจะพูดกับตัวเอง หรืออาจจะพูดกับบ้านหลังนี้ ที่
ยังรออยู่
ผมนั่งข้าง ๆ แล้วเผลอพูดไปว่า “แม่อยากไปเยี่ยมเขาไหม”
แม่ส่ายหน้า แล้วพูดว่า “ไม่เป็นไรหรอก แม่เดินไม่ไหวแล้ว”
คำว่า “เดินไม่ไหว” ฟังดูเหมือนเรื่องทางกาย แต่ผมรู้ว่า มันเจ็บที่ใจมากกว่า
แม่ไม่เคยบ่นว่าคิดถึงลูก ไม่เคยพูดว่าอยากให้ใครกลับมา แต่ทุกครั้งที่มีเสียงรถจอดหน้าบ้าน แกเงยหน้าขึ้น แม้จะไม่เห็นว่าใคร และเมื่อรู้ว่าไม่ใช่ แกก็หันกลับ เงียบ เหมือนไม่เคยหวังอะไรเลย
ผมเคยลองโทรหาน้องต่อหน้าแม่ เปิดลำโพงให้แม่ได้ยินเสียงหลาน แม่ยิ้ม แล้วพูดว่า
“โอ้ย…เสียงมันฟังไม่ค่อยรู้เรื่องเลยเนอะ”
แต่ผมเห็นน้ำตาซึม ๆ ที่ขอบตาของแม่ แกยกผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เหมือนไม่อยากให้ใครรู้ว่า เสียงที่ไม่ค่อยรู้เรื่องนั่น มันทำให้ใจของแกสั่นไหว
บางวันแม่ปวดขา นั่งไม่ได้ นอนก็ไม่สบาย ผมช่วยนวด เธอพูดว่า
“แม่ไม่เป็นไรหรอก แค่มันเก่าแล้ว เฉย ๆ”
ผมหัวเราะ แต่ในใจก็รู้ว่า แม่เริ่มเตรียมตัวจะหายไปแล้ว
คนเรามักจะรู้ว่า คนข้าง ๆ เรากำลังจะตาย จากการที่เขาพูดน้อยลง ไม่ใช่จากอาการทางร่างกาย
แม่พูดน้อยลงทุกวัน น้ำเสียงอ่อนลง คำที่เคยบ่นก็ไม่บ่น คำที่เคยถามก็
ไม่ถาม เหลือแต่คำว่า “กินข้าวรึยัง” กับ “เหนื่อยไหมลูก”
มีอยู่วันหนึ่ง หลังฝนตก แม่เดินออกมานอกบ้าน แล้วบอกว่า “กลิ่นดินเปียกยังเหมือนตอนพ่ออยู่เลย”
ผมพยักหน้า แล้วเราก็เงียบกันทั้งคู่
แม่ไม่เคยไปเที่ยว ไม่เคยนั่งเครื่องบิน ไม่เคยออกจากหมู่บ้านนี้นานเกิน 2 วัน
แต่แกรู้จักเมืองนอกจากเสียงลูกในวิดีโอคอล รู้จักหิมะจากรูปถ่าย รู้จักภาษาอังกฤษจากข้อความในกล่องพัสดุ
โลกของแม่แคบลงทุกวัน แต่หัวใจของแม่ ยังรอคนที่อยู่ไกลออกไปทุกคืน
ผมเริ่มรู้ว่า บ้านไม่ใช่ที่ดินหรือหลังคา แต่เป็นที่ที่เสียงของแม่ยังได้ยินอยู่ เสียงที่เรียกลูก เสียงที่ดุลูก เสียงที่เล่านิทานให้หลานฟัง เสียงที่หัวเราะเบา ๆ ตอนดูละคร เสียงที่ร้องไห้เงียบ ๆ เวลาคิดถึงพ่อทั้งหมดนั้น กำลังจางหายไปทีละน้อย
บางคืนผมนอนไม่หลับ ลุกมาเข้าห้องน้ำ เห็นแม่เปิดไฟดวงเล็กในครัว นั่งซ้อนมืออยู่เงียบ ๆ
ผมถามว่า “แม่ ยังไม่นอนเหรอ”
แกตอบว่า “ก็หลับ ๆ ตื่น ๆ แหละลูก แก่แล้วมันเป็นแบบนี้”
ผมพยักหน้า แล้วกลับมานอน แต่ในใจก็รู้ดีว่า เสียงของแม่คงอยู่ได้อีกไม่นาน
ผมเคยคิดเล่น ๆ ว่า ถ้าวันหนึ่งแม่จากไป เสียงของแกจะอยู่ตรงไหน จะอยู่บนเก้าอี้ไม้ตัวเดิมไหม อยู่ในหม้อข้าวไฟฟ้าเก่า ๆ ไหม อยู่ในผ้าห่มลายดอกที่แกชอบไหม หรือจริง ๆ แล้วเสียงของแม่จะอยู่ใน “ความเงียบ” ที่ไม่มีใครกลบได้อีกเลย
ผมเริ่มอัดเสียงแม่เก็บไว้ เสียงเรียกลูก เสียงหัวเราะ เสียงสวดมนต์ เสียงไอเบา ๆ ตอนเช้า ไม่ใช่เพราะกลัวลืม แต่เพราะกลัวว่าจะไม่มีเสียงไหนเหมือนอีกแล้ว
ทุกเช้า แม่ยังถามว่า “จะขายอะไรวันนี้ลูก”
ผมตอบ “ไม่รู้เหมือนกันแม่ คิดไม่ออกเลย”
แม่ยิ้ม แล้วพูดว่า “ขายอะไรก็ขายไปเถอะ ขอให้ขายได้ก็พอ”
ผมรู้ว่านี่คือคำอวยพร จากเสียงที่อ่อนแรงลงทุกวัน แต่ยังอยากให้ลูกมีกิน
อยู่เสมอ
แม่ไม่ต้องพูดเยอะหรอก เพราะแค่คำสั้น ๆ ของแม่ก็มากพอจะประคองใจคนทั้งบ้านไว้ได้แล้ว
วันหนึ่ง แม่จะเงียบไปจริง ๆ ผมรู้ดี
แต่ก่อนวันนั้นจะมาถึง ผมจะฟังเสียงของแกให้มากที่สุด แม้มันจะแผ่ว แม้มันจะเบา แม้มันจะสั้น แม้มันจะเหมือนสายลมเฉียดผ่านใบหู ผมจะฟัง เพราะผมไม่อยากให้บ้านหลังนี้ กลายเป็นบ้านที่มีแค่ “เสียงของความว่างเปล่า”
บทที่ 7
บ้านหลังนี้ไม่มีใครกลับมา
บางบ้าน ไม่ต้องมีใครตาย มันก็เงียบได้ เพราะคนที่เคยอยู่ไม่ได้หายไป แต่ เขาแค่ไม่เคยกลับมาอีกเลย
ผมยังอยู่ที่นี่ บ้านหลังเดิม บนแผ่นดินเดิม กับรั้วเก่าที่มีสีลอก ฝาทางเข้าบ้านยังเอียง ๆ อยู่เหมือนวันแรกที่พ่อทำไว้ ผมซ่อมมันหลายครั้ง แต่ก็ไม่เคยคิดจะรื้อทิ้ง เพราะรู้ว่า ถ้ามันหายไป บ้าน ก็อาจไม่ใช่บ้านอีกต่อไป
วันหนึ่ง ผมเดินเข้าไปในห้องเก็บของเจอกล่องเก่า ๆ ที่แม่เคยเก็บจดหมายลูก
มีทั้งภาษาไทย ภาษาอังกฤษ บางฉบับจ่าหน้าซองว่า “แม่จ๋า” บางฉบับใช้แค่คำว่า “ถึงแม่”
ผมเปิดอ่าน ตัวหนังสือเบี้ยว ๆ บนกระดาษบาง บอกเล่าว่าครั้งหนึ่ง ลูก ๆ ของบ้านหลังนี้ ยังเคยนึกถึงบ้าน แต่วันนี้ บ้านยังอยู่ แต่อย่างอื่นไม่อยู่แล้ว
พี่สาวผมคนโตอยู่เมืองเหนือ มีครอบครัวของตัวเอง เคยโทรมาบ้าง ห่าง ๆ
พี่อีกคนย้ายไปทำงานโรงงานแถวระยอง บอกว่าเหนื่อย แต่ โอเค
น้องชายอีกคนหายไปเลย ไม่รู้ติดต่อไม่ได้ หรือไม่อยากติดต่อ ส่วนน้องสาวสองคน ไปเมืองนอก แต่งกับสามีฝรั่ง หนึ่งในนั้นเคยบอกว่า “ชีวิตที่นั่นไม่เหมือนในรูปหรอกพี่ มันเหนื่อย แต่ก็ต้องทน” ผมพยักหน้าตอนเธอพูด แล้วหลังจากนั้น ก็ไม่เจอเธออีกเลย
วันหนึ่ง ผมลองนั่งเขียนรายชื่อคนที่เคยอยู่ในบ้านนี้ รวมแล้วได้ 9 คน พ่อ แม่ พี่น้อง 6 คน รวมผมด้วย กับหมาอีก 1 ตัว ชื่อไอ้จ๋อย
ตอนนี้ เหลือแค่ผม ภรรยา และลูก กับเงาของเสียงเก่า ๆ ที่ยังลอยวนอยู่
ทุกเย็น
บ้านหลังนี้มีรอยร้าวที่ผนัง รอยเลอะบนพื้น รูปเก่าในกรอบไม้ ผ้าห่มที่แม่เคยใช้ กลิ่นไม้เก่าที่ซึมซับคำพูดเอาไว้มากมาย
บางคืนผมนอนแล้วนึกถึงตอนเด็กเสียงพ่อหุงข้าว เสียงแม่ซักผ้า เสียงพี่ทะเลาะกัน เสียงน้องหัวเราะ
วันนี้ไม่มีเลย มีแต่เสียงจิ้งหรีด กับเสียงหัวใจของผม ที่บางคืนมันก็ไม่อยากเต้นต่อแล้ว
เมื่อแม่ตายไป ผมโทรบอกพี่น้องทุกคน บางคนรับสาย บางคนไม่ บางคนตอบ สั้น ๆ ว่า
“เดี๋ยวโอนเงินไปให้นะ”
มีคนเดียวที่กลับมาคือ น้องสาวคนรอง
เธอยืนอยู่นานหน้ารูปแม่ เงียบ แล้วพูดเบา ๆ ว่า
“หนูขอโทษ”
ผมไม่ได้ตอบ เพราะผมก็ไม่รู้จะให้อภัยในอะไร บางอย่างไม่ต้องอภัย แค่ กลับมาก็พอแล้ว แต่เธอก็อยู่แค่ 2 วัน แล้วก็กลับไปต่างประเทศอีก เหลือเพียงเงาของคำขอโทษ ที่ติดอยู่ในอากาศห้องเดิม
หลังแม่ตาย ผมเริ่มฝันถึงพ่อบ่อยขึ้น ในฝันนั้น พ่อยังขุดหลุมปลูกต้นไม้ ยังใส่หมวกฟางเก่า ยังเดินขากะเผลก แต่ก็ยังยิ้ม
ผมถามพ่อว่า
“ไม่มีใครกลับมาเลยพ่อ”
พ่อพูดว่า
“ไม่เป็นไรลูก บ้านมันเงียบได้ ถ้ามันยังยืนอยู่”
ผมตื่นมา มองหลังคาบ้านที่รั่วตรงมุม
แล้วคิดในใจว่า
“ใช่ บ้านเงียบได้ ถ้ามันยังยืนอยู่ แต่คนที่อยู่ในบ้าน ยืนนาน ๆ ไม่ไหวหรอกพ่อ”
ผมเคยนั่งดูภาพถ่ายเก่า ภาพที่เราทั้งบ้านถ่ายรวมกันใต้ต้นลำไย แม่ยิ้มกว้าง พ่อกอดน้อง น้องชายอุ้มหมา ผมอยู่ตรงกลางหน้าเปื้อนขี้ดิน
ผมนั่งดูนานมาก จนรู้สึกว่า น้ำตากำลังจะซึม ไม่ใช่เพราะความสุขที่มองดูรูป
แต่เพราะความจริงที่ว่า ภาพพวกนี้ไม่มีวันเกิดขึ้นอีกแล้ว
บางครั้ง ลูกชายผมถามว่า
“พ่อ บ้านเรานี่มันเก่าเนอะ”
ผมยิ้ม แล้วตอบว่า
“มันเก่า เพราะมันมีเรื่องราวไงลูก”
เขาพยักหน้า แล้ววิ่งไปเล่นต่อ ทิ้งผมให้นั่งมองบ้านที่มีแต่ เรื่องเก่า โดยที่คนในเรื่อง ไม่ได้อยู่แล้ว
เทศกาลปีใหม่ที่ผ่านมา ผมเปิดไฟบ้านสว่าง ทำอาหารเยอะกว่าทุกวัน ซื้อผ้าใหม่มาคลุมโต๊ะ เผื่อว่าลูก ๆ ของแม่ ใครสักคน อาจจะกลับมา
แต่สุดท้าย ไม่มีใครมา มีแค่เพื่อนบ้านคนหนึ่งแวะมาเอาข้าว กับเด็กนักเรียนที่เดินผ่านแล้วทักว่า
“ลุงเปิดไฟไว้ให้ใครเหรอ”
ผมหัวเราะ แล้วตอบไปว่า
“เปิดไว้ให้เงา”
เขางง แต่ผมเข้าใจคำของตัวเองดี เงาที่หายไป บางทีก็ยังควรได้แสงไฟ
ทุกวันนี้ผมยังตื่นเช้า ยังขายของ ยังล้างจาน ยังหุงข้าวให้ลูก แต่หัวใจ มันเงียบกว่าก่อน เหมือนทุกวันคือการอยู่กับบ้านที่ว่างเปล่า โดยไม่รู้ว่ากำลังรอใคร
วันก่อน ผมลองถามตัวเองว่า
“ถ้าผมตาย ใครจะอยู่บ้านนี้ต่อ”
ลูกชายผมอาจจะย้ายไปอยู่กับแฟน
ภรรยาอาจจะย้ายไปอยู่กับญาติ บ้านนี้ อาจกลายเป็นบ้านร้าง และชื่อของคนที่เคยอยู่ ก็จะเหลือแค่ในทะเบียนบ้าน กับความจำของคนแก่ข้างบ้านที่ยังไม่ตาย
บ้านหลังนี้ไม่มีใครกลับมาแล้ว ผมรู้ดี ไม่ใช่เพราะพวกเขาไม่รัก แต่เพราะโลกมันหมุนเร็ว จนไม่มีใครกล้าหยุดกลับไปหาสิ่งที่เคยช้า
บ้านที่เงียบที่สุด ไม่ใช่บ้านที่ไม่มีคนอยู่ แต่คือบ้านที่มีคนอยู่ แต่ทุกคน มองไปทางอื่น
ผมไม่โกรธใคร แค่คิดถึง คิดถึงเสียง คิดถึงกลิ่นข้าวใหม่ คิดถึงเสียงพ่อเรียกลูก คิดถึงเสียงแม่ขอให้หยิบพัดมาให้ คิดถึงน้องชายที่เคยร้องเพลงเบา ๆ ตอนค่ำ คิดถึงเสียงแมลงที่เคยกลบเสียงทะเลาะกันในบ้าน
ตอนนี้ แมลงก็ยังอยู่ แต่เสียงของเราทุกคน หายไปแล้ว
ผมยังอยู่ที่นี่ ไม่ใช่เพราะกลัวโลก ไม่ใช่เพราะไม่มีที่ไป แต่เพราะผมไม่อยากให้บ้านนี้กลายเป็นแค่สิ่งปลูกสร้าง
บ้านที่ไม่มีใครกลับมา ยังอาจเป็นบ้าน ถ้าใครสักคนยังยืนอยู่ตรงนี้ กับความทรงจำ กับเสียงที่ไม่มีใครได้ยิน กับเรื่องราวที่ไม่มีใครเล่าอีก
ผมอยู่เพื่อเป็นเสียงสุดท้ายของบ้านหลังนี้ ถึงแม้เสียงนั้น จะเงียบกว่าลมหายใจเสียอีก
หากคุณอ่านมาจนถึงตรงนี้ ผมขอขอบคุณอย่างลึกซึ้งจากใจ ที่ร่วมฟังเสียงเงียบของคนธรรมดา ในเรือนว่างหลังหนึ่ง ที่ยัง “ยืนอยู่” ใต้เปลวแดดของโลกที่หมุนเร็วเกินไป
โฆษณา