28 ก.ค. เวลา 09:12 • หนังสือ

💡 สรุปไอเดียสำคัญจากหนังสือ “Business Made Simple” 📚

Donald Miller เขียนหนังสือเล่มนี้โดยเริ่มต้นจากการต้องการให้ความรู้ด้านธุรกิจแบบง่าย ๆ ที่ไม่จำเป็นต้องไปลงเรียนคอร์สราคาแพง โดยรวบรวมไว้ทุกด้านตั้งแต่เรื่องของ Leadership, Productivity, Marketing, Sales และอื่น ๆ อีกมากมาย
โดยส่วนที่ผมชอบมากเป็นส่วนแรกที่พูดถึงการที่จะทำให้เรามีโอกาสประสบความสำเร็จไม่ว่าจะเป็นการทำธุรกิจเอง หรือแม้แต่การทำงานให้องค์กรแบบพนักงานคนหนึ่งนั้น เราต้องทำตัวให้เป็น “Value-Driven Professional” หรือทำตัวให้เป็นคนที่มีคุณค่าและสร้างผลตอบแทนมหาศาลให้บริษัทนั่นเอง
📌 สรุปไอเดียสำคัญจาก Business Made Simple รู้งี้อ่านไปตั้งนานแล้ววววว
“Characters”
อย่างแรกเลยในการที่เราจะเป็น Value-Driven profession เราต้องมีและสร้าง character เราให้มีลักษณะดังต่อไปนี้ก่อนเลย
[1] ไม่ว่าเราจะทำธุรกิจของเราเองหรือทำงานเป็นพนักงานให้บริษัทนั้น การที่ตัวเราสามารถให้ผลตอบแทน หรือ return ให้กับบริษัทได้มาก จะเป็นปัจจัยที่ทำให้เราก้าวหน้าและประสบความสำเร็จ การที่เราให้ return กลับคืนบริษัทได้มากเท่าไหร่ ยิ่งทำให้บริษัทอยากลงทุนในตัวเรา นั่นคือเราเป็น good economic investment มองตัวเองเปรียบเป็น Economic Product ในตลาดที่มีแต่คนต้องการ
[2] เราต้องเล่นบทเป็นฮีโร่ไม่ใช่เหยื่อ เหมือนเวลาเราดูหนังต่าง ๆ ตัวเอกจะเป็นฮีโร่และทุกคนจะจดจำเสมอตรงข้ามกับคนที่เป็นเหยื่อที่รอถูกกระทำและไม่มีใครจดจำ ฮีโร่เป็นยังไง?
แรก ๆ เราจะเห็นฮีโร่แพ้ก่อนบ่อยครั้ง แต่เรียนรู้และฝึกฝนจนแข็งแกร่งขึ้นและกลับมาเอาชนะอุปสรรคได้ในภายหลัง
[3] เรียนรู้ที่จะไม่ทำตัวดราม่าหรือลดเรื่องดราม่าลงได้ การที่เราดราม่า ทำให้พลังงานในแต่ละวันเราลดลงไปโดยเปล่าประโยชน์ ทำได้โดยถามคำถามตัวเองทุกครั้งว่า “How would a calm and calculated person handle this situation?”
[4] มอง feedback เป็นของขวัญล้ำค่า แต่เราต้องเลือกคนที่หวังดีกับเราจริง ๆ (trusted mentor) โดยพูดคุยกันเพื่อรับ feedback เป็นประจำ
[5] ต้องรู้วิธีจัดการ conflict หรือความขัดแย้งให้ได้ ไม่ใช่หนีจากความขัดแย้ง เพราะเป็นไปไม่ได้เลยที่เราจะหนีจากมัน conflict เป็น by-product ของ collaboration หน้าที่เราคือต้องจัดการมันให้ได้
[6] ต้องได้รับ trust และ respect จากทีม โดยจะต้องตั้งความคาดหวังให้ชัดเจน set clear expectations และให้ accountability กับคนในทีม รวมไปถึงให้รางวัลเมื่อทำผลงานได้ดี
[7] Have a bias toward action คือ ลงมือทำจริง
[8] คนที่ประสบความสำเร็จไม่อาศัยอยู่กับ confusion หรือความสับสน ไม่ชัดเจน แต่จะมี clarity ที่ชัดเจน ส่วนใหญ่ที่คนเราสับสนและไม่กล้าตัดสินใจทำอะไรเนื่องจาก 1) กลัวคนอื่นไม่ชอบเรา 2) กลัวเสียหน้า 3) เกิดความกลัวผลที่จะเกิดขึ้น
[9] คนที่มี value-driven professional จะมองโลกในแง่บวก คิดเสมอว่าสิ่งที่ยากก็สามารถทำได้ เกิดขึ้นได้
[10] มี growth mindset
 
“Leadership”
[1] ผู้นำที่มี leadership จะต้องมี story และสามารถอธิบายทีมให้เข้าใจถึงความสำคัญของ story หรือ mission vision นั้น ๆ
[2] Mission statement ที่ดีจะต้องกระชับ น่าสนใจและที่สำคัญต้อง inspire คนให้ได้
“Productivity”
[1] ในทุก ๆ วันให้เราถามตัวเองว่า หากมีโอกาสใช้ชีวิตในวัน ๆ นี้เป็นครั้งที่สอง เราอยากจะทำอะไรที่แตกต่างออกไป?
[2] ให้เราทำ task list โดยลิสต์งานที่สำคัญที่สุดในแต่ละวันมา 3 งาน คนที่เป็น value-driven professional จะใช้เวลาอย่างคุ้มค่าไปกับงานที่สำคัญที่สุด ซึ่งหมายถึงงานที่ให้ return สูงสุดหรือที่ช่วยทำให้เราเข้าใกล้เป้าหมายมากขึ้นนั่นเอง
[3] หากเราเป็นคนที่มีช่วงเวลาที่ productive ที่สุดในช่วงเช้า ให้เลือกเอางานที่สำคัญไปทำในช่วงเวลานั้น
[4] ต้องปฏิเสธกับสิ่งรบกวนหรือ distraction ให้เป็น แล้วต้องทำ time block ให้กับสิ่งที่สำคัญ
“Business”
หนังสือเล่มนี้เปรียบเทียบธุรกิจกับส่วนประกอบต่าง ๆ ของเครื่องบิน ดังต่อไปนี้
Body = Overhead ตัวเครื่องบิน (body) นั้นถูกมองเป็น Overhead cost เราต้องทำตัวเครื่องบินให้เบาที่สุด คือ มี overhead ให้ต่ำที่สุด
Wings = Products and Services ปีกของเครื่องบินคือ สินค้าและบริการ ที่จะพาให้เครื่องบินบินได้
Right engine = Marketing เครื่องยนต์ฝั่งขวาคือ การตลาด
Left Engine = Sales เครื่องยนต์ฝั่งซ้ายคือ การขาย ซึ่งเครื่องยนต์ทั้งสองฝั่งจะต้องช่วยกันขับเคลื่อนเครื่องบิน
Fuel = Capital and Cash Flow เชื้อเพลงเป็นเหมือนเงินทุน
“Messaging”
[1] ลูกค้าจะซื้อสินค้าหรือบริการของเรานั่นไม่ใช่เพียงแค่สินค้าหรือบริการเราดี แต่การสื่อสารที่ดีและดึงดูดก็ทำให้ลูกค้ามาสนใจได้เช่นเดียวกัน
[2] การสื่อสารโดยมี story เป็นสิ่งสำคัญและ powerful มาก ๆ
[3] การสื่อสารทางการตลาดเราต้องสื่อสารโดยวางตัวเราเป็น “Guide” ให้กับ “Hero” ซึ่งเป็นลูกค้า
[4] ฮีโร่นั้นจะเจอปัญหาก่อน โดยเรามีหน้าที่เป็น Guide คอยชี้ทางหรือแนะนำการแก้ปัญหาให้ลูกค้าโดยสินค้าหรือบริการของเรา
[5] สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ การรู้ปัญหาของลูกค้าและนำเสนอทางแก้ปัญหานั้น ๆ
[6] เราต้องจบข้อความด้วยการ Call to action ต้องบอกลูกค้าใช้ชัดเจนว่าเขาต้องทำอะไรบ้าง step by step และต้องตอกย้ำให้เขาเห็นถึงความแตกต่างที่จะเกิดขึ้นหากเขาตัดสินใจทำหรือไม่ทำ ว่ามีผลกระทบอะไรมากขนาดไหนตามมา
“Marketing”
[1] การจะทำแผนการตลาดที่ work นั้น เราต้องเข้าใจว่า มันจะมีรูปแบบดังต่อไปนี้
Curiosity -> Enlightenment -> Commitment
เริ่มจากการที่ลูกค้าอยากรู้ว่าเราทำอะไรเกี่ยวกับเขาอย่างไร แล้วต่อไปยังการที่เราทำให้เขารู้ว่าเราจะช่วยแก้ปัญหาให้เขาได้อย่างไร
[2] แผนการตลาดที่เจ๋งจะต้องมี ประโยคเด็ด หรือ ที่ในหนังสือเรียกว่า “one liner “ ซึ่งต้องประกอบไปด้วย 3 ส่วนคือ ปัญหา, ผลิตภัณฑ์ของเรา (ที่แก้ปัญหานั้น ๆ ) แล้วก็ผลลัพธ์ที่ได้
[3] อีกอย่างในยุคโลกออนไลน์ เราต้องทำ website ของเราให้เจ๋ง ที่แบบคนเข้ามาดูและเข้าใจได้ภายใน 5 วินาทีว่า เรานำเสนออะไร และช่วยแก้ปัญหาหรือทำให้ชีวิเขาดีได้อย่างไร และจะซื้อสินค้าและบริการได้อย่างไร
[4] อีเมล์เป็นช่องทางทำการตลาดที่สำคัญมาก ๆ เพราะต้นทุนแทบจะไม่มีเลย โดยหลักการที่ใช้ในการเก็บ email address ที่ใช้แล้วได้ผลคือ การให้ของฟรีเพื่อแลกกับข้อมูลเหล่านี้
 
“Communication”
การที่เรามีความสามารถในการสื่อสารที่ดีหรือเป็น good communicator จะทำให้เราได้รับเลือกให้เติบโตในหน้าที่การงาน
[1] การนำเสนองานต้องสามารถ capture attention ผู้ฟังได้
[2] การจะนำเสนอให้ได้ดี เราต้องถามคำถาม 5 คำถามต่อไปนี้
• ปัญหาอะไรที่เราจะช่วยแก้ให้ผู้ฟัง
• ทางแก้หรือวิธีแก้ปัญหาคืออะไร
• จะมีอะไรเปลี่ยนไปกับคนฟังหากเขาเชื่อหรือทำตามสิ่งที่เราบอก
• เราอยากให้ผู้ฟังทำอะไรต่อไป
• สุดท้ายเราอยากให้เขาจดจำอะไร
[3] เราต้องเปิดการนำเสนอ หรือการพูดด้วยการบอกคนฟังว่าเราจะช่วยเขาแก้ปัญหาอะไร
[4] ต้องฉายภาพให้คนฟังเห็นสิ่งที่จะเกิดขึ้นแล้วคนฟังจะอิน
[5] ต้องมี strong call for action
[6] ตอนจบเราต้องสรุปธีมหรือแก่นของเรื่องที่เรามาพูด ซึ่งจะเป็นสิ่งที่คนจดจำได้มากที่สุด
“Sales”
ทักษะการขายเป็นทักษะที่สำคัญที่บอกได้ว่าเราสามารถอธิบายให้คนอื่นเข้าใจว่าสินค้าหรือบริการของเราจะช่วยแก้ปัญหาเขาได้อย่างไรรวมไปถึงการแนะนำลูกค้าจนกระทั่งเขาตัดสินใจซื้อสินค้าหรือบริการของเรา
[1] คนเป็นเซลส์ที่ดีต้องทำให้ลูกค้าเป็นฮีโร่ให้ได้ เราต้องช่วยให้เขาแก้ปัญหาให้สำเร็จ
[2] ต้องคุยกับคนให้ถูกคน คือ เขามีปัญหาที่เราแก้ได้ เขามีความสามารถที่จะซื้อหรือ afford ได้ และสุดท้ายเขาเป็นคนที่ตัดสินใจเองได้ด้วย
[3] แน่นอนว่าการขาย เราต้องนำลูกค้าเข้ามาสู่ story โดยมีสูตรอยู่ว่า เราเห็นว่าเขากำลังเผชิญปัญหาใด ๆ อยู่ และเรามีสินค้าหรือบริการมาเสนอเพื่อแก้ไขปัญหานั้น ๆ พร้อมโชว์ผลลัพธ์ว่าลูกค้าที่ใช้มาแล้วจำนวนมากได้ผลดีอย่างไร พร้อมจบด้วยการให้แผนการแก้ไข step by step
“Negotiation”
Donald Miller บอกว่าคนน้อยกว่า 10% ได้รับการ training ในเรื่อง negotiation ทั้ง ๆ ที่เป็นทักษะที่สำคัญที่ช่วยให้เราเพิ่ม economic value ของตัวเราเอง
[1] When negotiating, don’t trust your gut. Trust a proven process. ให้เราเชื่อในกระบวนการที่พิสูจน์แล้วมากกว่าเชื่อสัญชาติญาณ
[2] Negotiation มี 2 แบบ คือ collaborative กับ competitive
[3] Competitive คือ การเจรจาแบบมี win/lose คือ มีผู้แพ้ ผู้ชนะ ส่วน collaborative คือการเจรจาแบบ win/win
[4] ในการเจรจาใด ๆ หากมีฝ่ายหนึ่งมองเป็น competitive และอีกฝ่ายมองเป็น collaborative ฝ่ายที่เป็น competitive มักจะชนะเสมอ
[5] หากเราอยู่ใน collaborative negotiation แต่เรารู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายอยู่ในโหมด competitive ให้เราเปลี่ยนโหมดเป็น competitive ทันที ไม่งั้นเราจะมีโอกาสแพ้สูง
[6] นักเจรจาที่ดีต้อง go below the line เราไม่ได้ดูแค่ตัวเลข แต่เราต้องทำให้เขาพึงพอใจด้วยโดยเฉพาะ emotional satisfactory ให้หาว่าอะไรที่อยู่ below the line ที่เรามองไม่เห็นที่เราสามารถเสนอให้เขาพึงพอใจได้
[7] การใช้ anchoring ให้เกิดประโยชน์โดยการเสนอ initial offer ไปเลย คนเรามักจะโดนยึดติดกับ anchoring หรือตัวเลขตัวแรกที่ถูกพูดขึ้นมา
[8] ให้หาทางเลือกอื่นเอาไว้ด้วย เราจะได้ไม่ใช้อารมณ์มากเกินไปในการเจราเพื่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง หากเราอยากได้สิ่งใดสิ่งหนึ่งมาก ๆ เรามีแนวโน้มจะใช้อารมณ์และยอมแพ้ได้ง่าย
“Management”
Management คือการที่เราช่วยคนอื่น ๆ ให้สำเร็จซึ่งส่งผลให้ภาพรวมของทีมสำเร็จไปด้วย
[1] ผู้นำที่ดีที่คนจะ trust คือ ต้องรู้ในสิ่งที่ตัวเองทำและรับผิดชอบอยู่พร้อมกับช่วยให้คนในทีมสำเร็จได้ อีกอย่างคือต้องแคร์คนในทีม
[2] การจัดการที่ดีต้องมีทั้ง system และ process โดยเราต้องจัดการคนภายใต้ระบบที่ดี
[3] Manager ที่ดี ต้องสามารถที่จะวิเคราะห์ทักษะและความสามารถของคนในทีมได้ (รู้จุดแข็งจุดอ่อน) และนำไปวางแผนเพื่อทำให้ทีมของเราชนะ
[4] Manager ที่ดีต้องให้ priority ที่ชัดเจนกับทีม รู้ว่าทีมเราทำอะไรซึ่งควรจะ วัดได้ (measurable) profitable (มีกำไรหรือประโยชน์ให้บริษัท) และขยายต่อยอดได้ (scalable)
[5] Manager ที่ดีต้องคิดปรับปรุงการทำงานให้ดีขึ้นตลอดเวลา โดยถามตัวเองว่า “how can we do better”
[6] เราต้องหาตัววัด lead indicators หรือตัวชี้วัดที่จะเป็น action ไปสู่ผลลัพธ์หรือความสำเร็จที่เราต้องการ ให้ได้ และต้องสามารถเทียบกับค่ามาตรฐานในงานนั้น ๆ หรือทำ benchmarking เพื่อดูว่า performance เราอยู่ในจุดไหน
[7] ต้องทำตัวเป็น coach ไม่ใช่ cheerleader สิ่งที่แตกต่างคือ coach ออกแบบการเล่น ให้ instruction กับทีม และวางแผนกลยุทธ์ให้ทีมไปทำ ในขณะที่ cheerleader นั้นได้แค่ให้กำลังใจทีม
[8] ต้องมีการชื่นชมทีม รวมถึงการให้ constructive feedback
“Execution”
[1] การทำ execution ที่ดีคือการ ensure ว่าทุกคนทำงานที่ highest level
[2] การจะเริ่มทำ execution ให้เราเขียน scope หรือขอบเขตงานที่ชัดเจนออกมา โดยให้เห็นภาพที่ชัดเจนว่าความสำเร็จของงานนี้คืออะไร เป็นอย่างไร นอกจากนั้นให้หา leader หา resources ที่ต้องการ รวมไปถึงมี timeline พร้อม key milestone ที่ชัดเจน
[3] มีการทำ weekly check เพื่อติดตามงานและเน้นย้ำความสำคัญของงานเป็นระยะ
[4] หนึ่งในหน้าที่ของคนเป็น leader คือช่วย remove blockers ต่าง ๆ ในงานให้ทีม โดยการทำ weekly check นั้น leader ควรได้ list ของสิ่งที่ต้องช่วยทีมเพื่อให้ทีมทำงานได้
[5] ให้ทำ scoreboard เพื่อแสดง progress ของงานเพื่อให้รู้ performance ในปัจจุบันและเพื่อหาทางปรับปรุงต่อ ๆ ไป
[6] แน่นอนว่าเมื่องานสำเร็จ เราต้องมีการฉลองความสำเร็จกับทีม โดยแสดง acknowledgement ในสิ่งที่ทีมพยายามทำมา เพื่อเสริมสร้าง morale และผลักดัน performance ต่อยอดไปเรื่อย ๆ
====================================
ติดตามอ่านสรุปรีวิวหนังสือดี ๆ ได้ที่เพจ สิงห์นักอ่าน หรือ www.pawinreading.com
โฆษณา