29 ก.ค. เวลา 13:42 • ประวัติศาสตร์

ประวัติศาสตร์สุดย่อของกัมพูชา ตอนที่ 1

ประวัติศาสตร์กัมพูชาฉบับย่อสุดๆ
วันก่อนผมบอกว่ากำลังจะคุยเรื่อง สงครามเพโลโพนีเชียน ของกรีกโบราณ แต่เปลี่ยนใจขอแทรกเล่าประวัติศาสตร์กัมพูชายุคใหม่แบบย่อสุด ๆ ให้ฟังกันก่อนดีกว่า
แล้วจะเห็นว่าประเทศนี้มีเรื่องราววุ่นวายมากแค่ไหน และประชาชนชาวเขมรถูกกดขี่ ปิดหูปิดตา จากชนชั้นปกครองจนแทบไม่เคยมีโอกาสได้โงหัวขึ้นมาเลย
เรามาเริ่มต้นจากยุครุ่งเรืองของอารยธรรมขอม (หรืออังกอร์ หรือ นครวัด นครธม) กันก่อนนะครับ
แรกสุด ขออธิบายสั้นๆ ก่อนว่า อาณาจักรขอม ไม่ใช่เขมร และไม่ใช่กัมพูชา
แต่อาณาจักรขอมที่เคยยิ่งใหญ่ มีคนหลายเชื้อชาติมาอาศัยอยู่ร่วมกัน  ซึ่งก็รวมไปถึงส่วนหนึ่งของคนไทย คนขเมรและคนลาว ปัจจุบัน
ส่วนคนเขมร เป็นแค่หนึ่งชาติพันธ์ ในหลายชาติพันธุ์ที่อาศัยอยู่ในอาณาจักรขอม
ต่อมา เมื่อประมาณสัก 400 ปีที่แล้ว อาณาจักรที่ยิ่งใหญ่นี้ก็เสื่อมอำนาจลงเรื่อยๆ กลายเป็นเมืองที่อ่อนแอ เป็นลูกไล่ให้กับเพื่อนบ้าน ซึ่งก็คือ สยามทางทิศตะวันตก (ตั้งแต่สมัยอยุธยามาจนถึงต้นกรุงรัตนโกสินทร์) และเวียดนามทางทิศตะวันออก
4
ราชวงศ์ของกัมพูชาอ่อนแอถึงขนาดที่ว่าหลายครั้งกษัตริย์ของสยามมีอำนาจที่จะเลือกว่าจะให้ใครขึ้นเป็นกษัตริย์ของกัมพูชา และต้องส่งบรรณาการให้กับสยาม เจ้าฟ้าหลายพระองค์ของกัมพูชาก็มาเติบโตในราชสำนักของไทย
4
ทำให้กัมพูชารับเอาวัฒนธรรมหลายๆ อย่างของไทยไปใช้ (ซึ่งบางส่วนไทยก็รับมาจากขอมโบราณ แต่ปรับจนมีเอกลักษณ์แบบไทย) ไม่ว่าจะเป็น ภาษาที่ใช้ในราชสำนัก ศิลปะ นาฏศิลป์ เป็นต้น แต่ก็ไม่เชิงว่าจะรับไปอย่างเดียว บางครั้งก็มีการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมระหว่างกันด้วย
2
จึงไม่น่าแปลกใจว่า ทำไมชาวเขมรทุกวันนี้ชอบเคลมวัฒนธรรมไทย เพราะถ้าพูดกันตามจริง พอเขารับไปแล้วในความรู้สึกของชาวเขมรมันก็เป็นวัฒนธรรมของเขามาหลายร้อยปีเหมือนกัน และบางส่วนก็ไปคล้ายกับวัฒนธรรมขอมโบราณ
1
กัมพูชาอ่อนแอเป็นรัฐเล็กๆ ที่มีประชากรไม่มาก และเป็นลูกไล่ เป็นกันชนให้กับชาวสยามและเวียดนามเช่นนี้มาตลอดประมาณ 400 ปี
จนมาถึงยุคล่าอาณานิคม
ช่วงเวลานั้นฝรั่งเศสกำลังขยายอิทธิพลในภูมิภาคอินโดจีน แล้วก็เพิ่งยึดครองเวียดนามไปได้สำเร็จ แล้วฝรั่งเศสเองก็สนใจอยากได้กัมพูชามาไว้ในคอเลคชั่นอินโดจีนของฝรั่งเศส
2
ทางฝั่งพระบาทสมเด็จพระนโรดมของกัมพูชา ก็มองว่าการยอมรับการปกป้องจากฝรั่งเศส หรือยอมเป็นรัฐในอารักขา น่าจะเป็นทางเลือกที่เลวร้ายน้อยกว่า เพราะในเวลานั้นกัมพูชาก็กลัวอิทธิพลของสยามและเวียดนามมากอยู่ คือ ยอมเสียอธิปไตยไปบางส่วนแต่ก็ยังรักษาความเป็นรัฐและราชวงศ์เอาไว้ได้ จากนั้นมากัมพูชาและชาวเขมรก็อยู่ภายใต้การกดขี่ของฝรั่งเศส
1
จนมาถึงรุ่นหลานของพระเจ้านโรดม
บังลังก์ของกัมพูชาก็ว่างลง
1
ตอนนั้นมีเจ้าชายพระองค์หนึ่งที่เดิมไม่ได้อยู่ในลำดับที่จะได้ขึ้นมาเป็นกษัตริย์ เจ้าชายพระองค์นี้คือ เจ้าสีหนุ แต่ฝรั่งเศสเห็นว่า เจ้าชายพระองค์นี้ อายุน้อยแค่ 18 ปี และมีบุคลิกที่เหมือนคนอ่อนแอ น่าจะควบคุมง่ายกว่าคนอื่นๆ จึงเลือกเจ้าชายคนนี้ขึ้นมาเป็นกษัตริย์มีพระนามว่า สมเด็จพระนโรดม สีหนุ
4
หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลงในปี ค.ศ. 1945 โลกก็เข้าสู่ยุคสมัยของการปลดปล่อยอาณานิคม ประเทศต่างๆ ในเอเชียก็เรียกร้องเอกราชกันอย่างเอิกเกริก ตัวอย่าง เช่น อินเดีย อินโดนีเซีย และเวียดนาม
1
เจ้าสีหนุเห็นว่าเป็นโอกาสดี จึงเรียกร้องเอกราชให้กัมพูชาด้วยเช่นกัน แต่วิธีการที่พระองค์เลือกใช้ไม่ใช่การทหาร แต่เป็นไปต่อสู้บนเวทีโลก
เริ่มต้นพระองค์เดินทางไปเจรจาที่ประเทศฝรั่งเศสก่อน ซึ่งไม่สำเร็จฝรั่งเศสไม่ยอมปล่อย
1
พระองค์จึงประกาศกับสื่อต่างประเทศว่าจะไม่กลับประเทศจนกว่าจะเรียกร้องเอกราชได้ จากนั้นก็ได้เดินทางไปเยือนประเทศต่างๆ ที่มีบทบาทสำคัญระดับโลก เช่น สหรัฐอเมริกา แคนาดา ญี่ปุ่น เมื่อไปที่ไหน ก็จะเน้นเรื่องเล่าให้เห็นภาพใหญ่สองภาพ หนึ่งคือ วาดภาพให้เห็นว่าชาวเขมรเป็นเหยื่อที่น่าสงสารภายใต้การปกครองของฝรั่งเศส ให้เห็นว่าชาวเขมรถูกกดขี่สิทธิ์ต่างๆ ยังไงบ้าง สองคือ ชี้ให้เห็นว่ากัมพูชามีผู้นำที่พร้อม และประชาชนของกัมพูชาก็พร้อมแล้วที่จะปกครองตนเอง
ปรากฎว่าได้ผล คือ สื่อต่างชาติให้ความสนใจกันมาก แต่ฝรั่งเศสก็ยังเฉย
3
พระองค์จึงเดินทางกลับกัมพูชา และเริ่มปลุกระดมพลังมวลชนในประเทศ เรียกร้องให้ประชาชนมาเข้าร่วมเป็นกองอาสาสมัครเพื่อเอกราช ซึ่งผลตอบรับดีมาก คนแห่แหนมาเข้าร่วมมากมายมหาศาลเป็นหลักแสนคน
ในที่สุดฝรั่งเศสก็เห็นแล้วว่าคงยื้อไว้ต่อไม่ได้ ยกเว้นเสียแต่จะใช้กำลังทหาร ซึ่งก็คงจะโดนนานาประเทศประนาม เลยจำใจต้องปลดปล่อยกัมพูชาออกไป
2
จึงถือได้ว่าชัยชนะที่สวยงามของเจ้าสีหนุ โดยไม่ต้องเสียเลือดเสียเนื้อแม้แต่หยดเดียว
1
หลังจากนั้นมาพระองค์จึงเป็นที่รักของประชาชนในฐานะบิดาผู้ปลดปล่อยกัมพูชาออกจากฝรั่งเศส
แต่เจ้าสีหนุ ไม่ได้ต้องการเป็นแค่กษัตริย์ที่นั่งเป็นสัญลักษณ์บนบัลลังก์ แต่ต้องการจะลงมาปกครองและพัฒนาประเทศด้วยตัวเอง พระองค์จึงตัดสินใจ สละราชสมบัติ
2
ประมาณ 2 ปีหลังได้เอกราช เจ้าสีหนุก็ตัดสินใจสละราชบัลลังก์ให้พระราชบิดา แล้วก็ลงมาเล่นการเมืองอย่างเต็มตัว โดยตั้งพรรคการเมืองของตนเองชื่อว่าพรรคสังคมราษฎร์นิยม หรือเรียกสั้นๆ ว่าสังคมราษฎร์ แล้วเข้าร่วมการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการ
1
ผลลัพธ์คือได้รับชัยชนะอย่างถล่มทลาย ครองเสียงเกือบทั้งหมดในรัฐสภา แต่การเป็นนายกรัฐมนตรีก็มีความแปลกเล็กน้อย เพราะคนยังมีภาพจำพระองค์ในฐานะของกษัตริย์ ทำให้คนจำนวนมากยังปฏิบัติเหมือนพระองค์เป็นกษัตริย์ และเจ้าสีหนุเองก็รับบท หรือสร้างภาพลักษณ์แบบนั้น คือ เป็นกษัตริย์นักพัฒนา เรียกตัวเองว่าเป็นพ่อของประชาชน คือ เดินทางไปทั่วประเทศ สร้างโรงเรียน สร้างโรงพยาบาล สร้างถนน นอกจากนั้นก็จะมีการควบคุมสื่อ มีการสร้างภาพยนตร์ สร้างสารคดี ปลูกฝังแนวคิดชาตินิยมและให้จงรักภักดีกับสถาบัน
3
ฟังดูอารมณ์นึงก็เหมือนจะดี ซึ่งก็มีส่วนดีอยู่จริงๆ แต่ในแง่การปกครอง มันมีความเป็นเป็นรัฐบาลเผด็จการค่อนข้างมาก คือ รวมศูนย์อำนาจทั้งหมดมาที่พรรคสังคมราษฎร์นิยม จนเป็นพรรคเดียวที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จ ใช้อำนาจที่มีทำลายคู่แข่งทางการเมือง ไม่เปิดโอกาสให้พรรคการเมืองฝ่ายตรงข้ามได้ทำงานอย่างเสรี
2
มีการควบคุมการเลือกตั้งด้วยอำนาจรัฐ มีการใช้กำลังทหารปราบปรามฝ่ายที่ไม่เห็นด้วย ทั้งฝ่ายซ้ายที่เป็นคอมมิวนิสต์ และฝ่ายขวาจัดที่เป็นชาตินิยม ช่วงเวลานี้ใครที่แสดงท่าทีต่อต้าน จะถูกจับกุม กวาดล้างอย่างหนัก มีการจับสื่อขุมขังโดยไม่มีการไต่สวน มีนักการเมืองถูกอุ้มหายสาบสูญไปก็หลายครั้ง
ในแง่การบริหาร ก็เป็นระบบอุปถัมภ์ โดยแต่งตั้งคนใกล้ชิดเครือญาติให้ครอบครองตำแหน่งสำคัญของรัฐบาล สิทธิ์ในการถือครองสัมปทานที่ดินแร่ธาตุ ก็ให้กับคนของฝั่งตัวเอง สื่อต่างๆ ไม่สามารถเสนอข่าวที่ให้ร้าย หรือต่อต้านรัฐบาลได้เลย
2
ประชาชนจึงถูกป้อนแต่ข่าวชวนเชื่อล้างสมอง
1
และในยุคสมัยที่มีการปราบปรามฝ่ายซ้ายที่ฝักใฝ่คอมมิวนิสต์อย่างหนักนี้เอง ที่เหมือนเป็นการบีบบังคับและผลักดันให้คนรุ่นใหม่ นักศึกษาจำนวนมาก ต้องหนีลงดินและเข้าสู่ขบวนการเหล่าคอมมิวนิสต์ ซึ่งในเวลาต่อมาคนเหล่านี้จะกลายเป็นเขมรแดงที่ถือได้ว่าเป็นฝันร้ายที่สุดของประวัติศาสตร์ประเทศกันพูชา
4
คืนนี้เริ่มดึกแล้วผมขอเบรกไว้ตรงนี้ก่อน แล้วเดี๋ยวตอนหน้าเรามาต่อกันที่ การเกิดขึ้นของเขมรแดงกันนะครับ
โฆษณา