Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
หลงไปในประวัติศาสตร์ by หมอเอ้ว ชัชพล
•
ติดตาม
30 ก.ค. เวลา 03:52 • ประวัติศาสตร์
ประวัติศาสตร์สุดย่อของกัมพูชา ตอนที่ 2
ประมาณ 3 ปีหลังจากเจ้าสีหนุประสูติ มีทารกเพศชายคนหนึ่งเกิดขึ้นในครอบครัวชาวกัมพูชาที่ค่อนข้างมีฐานะ บ้านของเขามีที่ดินและมีคนใช้ เมื่ออายุ 10 ปี เขาถูกส่งไปอยู่กับญาติที่ทำงานในพระราชวังกรุงพนมเปญ ชื่อแรกเกิดของเขาคือ ซาลอธ (นามสกุล) ซาร์ (ชื่อต้น) แต่ในเวลาต่อมาคนส่วนใหญ่จะรู้จักเขาในชื่อ ที่เขาคิดขึ้นมาว่า พล พต
ในวัยเด็กเขาเติบโตมาในวัง ได้รับการศึกษาจากโรงเรียนหลักสูตรฝรั่งเศสที่ลูกคนมีเงินถึงจะได้ไปเรียน และเมื่อเข้าวัยหนุ่มเขาก็ได้รับทุนไปเรียนต่อด้านวิศวกรรมที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส
2
แต่สุดท้ายเขาก็เรียนไม่จบ เพราะสิ่งที่ดึงดูดความสนใจของเขาไปคือ ลัทธิคอมมิวนิสต์ ซึ่งเป็นไอเดียใหม่ที่แพร่หลายในมหาวิทยาลัยหลายแห่งของยุโรป ซาลอธ ซาร์ เข้าร่วมเป็นสมาชิกกับกลุ่มนักเรียนกัมพูชาที่สนใจในแนวคิดคอมมิวนิสต์ พวกเขาอ่านหนังสือของ มาร์กซ์ เลนิน และเหมาเจ๋อตง และคุยแลกเปลี่ยนกัน โดยไอเดียหลักที่เขาได้จากการไปเรียนที่ฝรั่งเศสคือ
1
กษัตริย์และชนชั้นสูงคือสาเหตุของความจน การที่จะแก้ปัญหาได้ต้องทำลายระบบเก่าทั้งหมดและสร้างทุกอย่างขึ้นใหม่จากศูนย์
ในปีค.ศ. 1953 เขาก็เดินทางกลับกัมพูชาด้วยชื่อใหม่คือ พล พต และไม่ได้กลับเข้าเมืองไปอาศัยอยู่ในเมืองอย่างสะดวกสบายเหมือนลูกคนมีเงินทั่วไป แต่กลับเลือกไปพื้นที่ชนบท และเริ่มสร้างขบวนการใต้ดิน แล้วก็โน้มน้าวชาวบ้านและชี้ให้เห็นว่าพวกเขาถูกเอารัดเอาเปรียบยังไงบ้าง ฝึกรบให้กับชาวบ้านแบบกองโจร
1
ดังนั้นช่วงที่เจ้าสีหนุกำลังพยายามพัฒนาประเทศและได้รับความนิยมจากชนชั้นกลางและชนชั้นสูง ขบวนการใต้ดินของพล พต ก็ค่อยๆ เติบโตขึ้นเช่นกันในดินแดนชนบทที่ห่างไกล
เขาใช้เวลาสั่งสมกำลังและอดทนอยู่นานประมาณสิบปี ในที่สุดโอกาสของพล พต ก็มาถึง
2
ในช่วงปลายทศวรรษ 1960s อินโดจีนตอนนั้นกำลังลุกเป็นไฟจากสงครามสงครามเย็นระหว่างสหรัฐอเมริกาและสหภาพโซเวียต
เวียดนามและลาวกลายเป็นสนามรบระหว่างสหรัฐอเมริกาและคอมมิวนิสต์ กัมพูชาถูกอเมริกามองว่าเป็นจุดอ่อน เพราะเวียดกง (เวียดนามเหนือ) ใช้พื้นที่ชายแดนและเขตป่าของกัมพูชาสำหรับลำเลียงคน อาวุธ และเสบียง แต่เจ้าสีหนุก็พยายามอย่างเต็มที่เพื่อให้กัมพูชาเป็นกลาง ไม่ช่วยเหลือฝ่ายไหนจะได้ไม่ถูกดึงเข้าไปอยู่ตรงกลางระหว่างยักษ์ใหญ่ที่ต่อสู้กัน
1
แต่ไม่ใช่ทหารทุกคนที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของเจ้าสีหนุจะคิดแบบเดียวกัน หนึ่งในนั้นคือ พลเอกลอน นอล ซึ่งเป็นนายทหารสายขวาที่โปรอเมริกาแบบชัดเจน เพราะเขาเชื่อว่า การไม่ช่วยอเมริกาก็เหมือนเป็นการปล่อยให้คอมมิวนิสต์จากเวียดนามเหนือและเขมรแดงเติบโตจนเป็นอันตรายได้
ช่วงต้นปีค.ศ. 1970 ขณะที่เจ้าสีหนุกำลังอยู่ระหว่างการเดินทางเยือนโซเวียตและจีนเพื่อเจรจาเกี่ยวกับความมั่นคงและเศรษฐกิจ พลเอกลอน นอลกับก็ฉวยโอกาสก่อรัฐประหาร ปลดเจ้าสีหนุออกจากตำแหน่ง ยกเลิกสถาบันกษัตริย์ และเปลี่ยนเขมรให้เป็นสาธารณรัฐ
3
เมื่อเจ้าสีหนุทราบข่าวก็โกรธมาก แต่ก็รู้ดีว่าไม่มีทางที่จะกลับต่อสู้ได้ เพราะกำลังทหารอยู่ในมือของพลเอก ลอน นอล และยังมีอเมริกาช่วยหนุนหลังอยู่ด้วย
2
เจ้าสีหนุจึงไปขอความช่วยเหลือจากจีน
ในมุมของจีนซึ่งเป็นคอมมิวนิสต์ ก็ย่อมจะไม่ชอบอเมริกาอยู่แล้ว และที่ผ่านมาก็คอยให้ความช่วยเหลือกับเขมรแดงมาโดยตลอด ก็เห็นโอกาสทองทันที เพราะถ้าได้เจ้าสีหนุ ซึ่งถือว่าเป็นอินฟลูเอนเซอร์คนสำคัญ เข้ามาเป็นพวก ก็เท่ากับทำให้เขมรแดงแข็งแกร่งขึ้นอย่างมหาศาล จีนเลยจัดให้สีหนุ ได้พบกับผู้นำเบอร์สองของเขมรแดง ที่ชื่อว่า เขียว สัมพัน
1
คำถามคือ คู่แค้นนี้จะยอมร่วมมือกันไหม เพราะถ้าจำได้ ก่อนหน้านี้เจ้าสีหนุเคยปราบปรามเขมรแดงและคนที่ฝักใฝ่คอมมิวนิสต์อย่างหนัก จนต้องหนีกันหัวซุกหัวซุน
คำตอบคือ เมื่อผลประโยชน์ลงตัว ความขัดแย้งก็เป็นแค่เรื่องราวในอดีต
5
หลังจากนั้นมาเขมรแดงก็ได้เจ้าสีหนุมาเป็นพันธมิตร และก็เป็นอย่างที่คาดคือ เขมรแดงก็แข็งแกร่งขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เขมรแดงเองยังได้อ้างตัวว่าเป็นกลุ่มคนที่ปกป้องกษัตริย์ ทำให้ประชาชนที่ยังรักและจดจำสีหนุในฐานะของบิดาแห่งเอกราช จึงหันมาเข้าร่วมกับเขมรแดงมากมายมหาศาลแม้ว่าหลายคนจะไม่เข้าใจเกี่ยวกับคอมมิวนิสต์มากนัก หลายคนเชื่อว่าเขมรแดงคือกลุ่มคนที่จะช่วยให้เจ้าได้กลับไปนั่งบัลลังก์
4
ส่วนเจ้าสีหนุก็ได้ประโยชน์ในแง่ที่ว่า ได้กลับมามีสถานะเป็นประมุขของรัฐบาลพลัดถิ่น และยังมีเขมรแดงเป็นกำลังที่จะไปช่วยทำสงคราม
แล้วในปีค.ศ. 1975 เขมรแดงก็สามารถนำกำลังทัพบุกเข้ายึดกรุงพนมเปญ และพาเจ้าสีหนุกลับเข้าเมืองในฐานะ ประมุขของรัฐ
แต่ไม่กี่วันหลังจากนั้น พล พต ก็ปลดอำนาจทั้งหมดของเจ้าสีหนุ แล้วคุมขังไว้ในพระราชวัง
วันที่พล พต ยึดอำนาจได้ คือวันที่ 17 เมษายน ค.ศ. 1975 ตอนที่เขานำกองกำลังบุกเข้ากรุงพนมเปญ ประชาชนในเมืองจำนวนมากออกมายืนต้อนรับ และโห่ร้องด้วยความหวัง เพราะประชาชนจำนวนมากเบื่อหน่อยกับสงครามกลางเมืองที่รบกันมานานเหลือเกิน การยึดอำนาจได้ของพล พต หลายคนจึงมองว่า นี่คือจุดสิ้นสุดของสงครามกลางเมือง และเป็นจุดเริ่มต้นของสันติภาพ
เฮ้อ ในที่สุดบ้านเมืองก็จะสงบสุข ได้รับการฟื้นฟูและเริ่มต้นใหม่สักที
แต่ปรากฎว่าไม่มีการฟื้นใดๆ ทั้งสิ้น สิ่งที่ตามมาคือการทำลายล้างอย่างรุนแรง ทำลายล้างจนทุกอย่างเหลือศูนย์ และเริ่มต้นปีศูนย์ ตามอุดมการณ์ของ พล พต ที่เชื่อว่า ถ้าจะสร้างสังคมในอุดมคติ ต้องล้างของเก่าทั้งหมดให้หมดเกลี้ยง
2
เพียงแค่ 3 วันหลังยึดเมืองได้ เขมรแดงก็สั่งให้ไล่ประชาชนออกจากพนมเปญและเมืองใหญ่ทั้งหลายให้หมด เพราะพล พต เชื่อว่า เมืองคือ รากของทุนนิยม เมืองคือบ่อเกิดของความเสื่อม เขาต้องการให้ทุกคนไปเริ่มต้นใหม่จากศูนย์ที่ชนบท ไม่มีชนชั้น ไม่มีทรัพย์สินที่เคยสั่งสมมา ล้างทุกอย่างใหม่หมด ประเทศจะเริ่มต้นใหม่จากศูนย์ ทุกคนต้องเท่าเทียมกัน
แต่ที่ไม่น่าเชื่อคือ คำสั่งนี้มีผลอย่างเท่าเทียมต่อทุกคน ไม่เว้นแม้แต่คนป่วยที่นอนหมดแรงอยู่ในโรงพยาบาล ไม่เว้นผู้สูงอายุ เด็กเล็ก ไม่เว้นแม้แต่ชาวต่างชาติที่มาทำงานให้กับกาชาด ที่ไม่น่าเชื่อไปกว่านั้นคือ คำสั่งนี้แทบไม่ได้มีการวางแผน หรือมีรายละเอียดอะไรต่างๆ ไว้เลย คือไม่ได้คิดว่าคนหลักล้านเมื่อถูกบังคับให้ออกนอกเมือง แล้วจะไปหาอาหารที่ไหน ให้เดินทางไปไหน คำสั่งมีแค่ให้เดินเท้าออกไปอาศัยอยู่ในชนบท
2
และเพราะการไม่มีแผน ทำให้แค่การบังคับให้คนเดินทางออกนอกเมืองก็นำไปสู่การตายของคนนับหมื่นคน
แต่นี่เพิ่งจะเริ่มเท่านั้น
สิ่งที่ตามมาคือ การทำลายโครงสร้างเศรษฐกิจให้กลายเป็นศูนย์ ยกเลิกการใช้เงินตรา ไม่มีการซื้อขาย เพราะเป็นเครื่องมือของทุนนิยม ทำให้เกิดการเอารัดเอาเปรียบกัน ทุกคนเป็นชนชั้นแรงงาน ทำงานหนักโดยไม่ได้เงิน ไม่มีวันหยุด ใครไม่พอใจ ใครต่อต้าน มีโทษถึงขั้นประหารได้
2
ทำลายชนชั้นนายทุนและนักวิชาการให้กลายเป็นศูนย์ ลบล้างความรู้ทุกชนิด เพราะคนมีความรู้ถือเป็นศตรูของการปฏิวัติ ใครพูดภาษาต่างประเทศได้ ประหาร ใครเคยเป็นครู หมอ ทนาย ประหาร ข้าราชการ ประหาร คนใส่แว่น ถือหนังสือก็ยังโดนประหาร
2
ข้าวของเครื่องใช้อะไรก็ตามที่แสดงถึงความเป็นชนชั้นกลาง เช่น วิทยุ รถยนต์ เสื้อผ้าที่ไม่ใช่สีดำ สีเทา ถือว่าเป็นของอันตรายต่อสังคม ทุกคนต้องแต่งตัวเหมือนกัน กินอาหารแบบเดียวกัน อย่างเข้มงวด
ศาสนา วัฒนธรรม ความเชื่อหลายๆ อย่างถูกมองว่าเป็นเรื่องงมงาย พระสงฆ์ถูกบังคับสึก ถ้าไม่ยอมก็ประหาร วัดวาอารามถูกทุบทิ้ง
ในช่วงเวลาประมาณ 3 ปีกว่าๆ ที่เขมรแดงปกครองกัมพูชา มีชาวกัมพูชาเสียชีวิตจากการประหารหรืออดอยากรวมๆ กันประมาณ เกือบสองล้านคน หรือคิดเป็นประมาณ 1 ใน 4 ของประชากรทั้งประเทศ
3
แต่แล้วฝันร้ายของชาวกัมพูชาก็จบสิ้นลงในวันที่ 7 มกราคม ปีค.ศ. 1979 เมื่อกองทัพเวียดนามพร้อมกับกลุ่มเขมรแดงแปรพักตร์เข้ายึดกรุงพนมเปญ โดยในวันนั้นมีทหารเขมรที่สำคัญสองคนร่วมทัพมาด้วย
หนึ่งคือ เฮง สัมริน สองคือ ฮุน เซ็น
คำถามคือ เวียดนามซึ่งเป็นคอมมิวนิสต์เหมือนกัน บุกกัมพูชาทำไม ? และทหารเขมรอย่าง เฮง สัมริน และฮุน เซ็น มากับกองทัพเวียดนามได้อย่างไร
คำตอบของคำถามแรกคือ เพราะ ,,,,
โอ๊ะ เวลาหมดพอดี ต้องไปส่งลูก และไปทำงานก่อนนะครับ เย็นๆ ค่อยมาเขียนต่อ
53 บันทึก
111
4
62
53
111
4
62
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย