31 ก.ค. เวลา 12:12 • การ์ตูน

EP : 1,332 APPLESEED

ผมหลงใหลในโลกที่ อ. Shirow Masamune สร้างสรรค์ขึ้น.... มันเป็นความหลงไหลที่แม้ตัวผมเองอาจจะเน้นหนักไปทางลายเส้นอันแสนละเอียดและเต็มไปด้วยความงดงามของจักรกลเป็นสำคัญก็ตาม แต่ในความเป็นจริงแล้ว “เนื้อหา,ข้อความและการนำเสนอ” ต่างหากที่ดึงดู และเป็นสิ่งที่แฟนๆทั่วโลกให้การยอมรับ เพราะหากคุณเคยอ่านและรู้จักงานของ อ. Shirow Masamune แล้ว คุณจะเข้าใจว่าที่ผมกล่าวเอาไว้นั้นหมายถึงอะไร
แต่ผมก็อยากจะบอกตรงๆว่า แม้ผมจะชื่นชอบและติดตามงานของ อ. มาเสมอ แต่ในด้านเนื้อหาและเรื่องราว ผมกลับไม่กล้าบอกว่าผม “เข้าใจ” และ “เข้าถึง” เรื่องราวในโลกของ อ. ได้ดี อย่างที่ควรเป็น แน่นอนผมเข้าใจมัน แม้จะระดับนึงที่ทำให้ผมมองโลกของ อ. ออกก็ตาม
แต่ด้วยความลึกและความเป็นวิทยาศาสตร์สูงมากๆ มันก็ล้ำและมีรายละเอียดที่ยากเกินที่คนแบบผมจะเข้าใจและกล้าพูดได้เต็มปากว่า ผมนั้น “เข้าถึงแก่นและหัวใจ” มุมมองและความคิดของ อ. เขา และแม้ผมจะไปไม่ถึงจุดนั้นก็ตาม แต่โลกของ อ. ก็ยังเย้ายวนและชวนให้ผมส่งสายตาและคิดถึงโลกใบนั้นอยู่ตลอดเสมอแม้กระทั่งตอนนี้ครับ
และหากมองในวงการมังงะบ้านเรา ส่วนตัวผมก็ยังรู้สึกว่ามันไม่โหดร้ายเกินไปนักสำหรับแฟน อ. เพราะหลายสิบปีที่ผ่านมาใน ก็มีอย่างน้อย 3 เรื่องของ อ. ที่เคยถูกหยิบมานำเสนอให้ได้อ่านกัน นั่นก็คือเรื่องดังอย่าง
The Ghost in the Shell มังงะที่ว่าถกกันเรื่องวิญญาณและจักรกล
ORION มังงะที่นำเสนอคาถา ศาสนาที่ถูกผสมผสานกับจักรกลในมุมมองอันสุดล้ำ
และ เรื่องที่จะมาขอหยิบมาคุยกันในวันนี้ กับมังงะแนวโลกอนาคต โลกหลังสงคราม(อีกแล้ว) โลกที่มนุษย์ถูกตั้งคำถามว่า จะยังสามารถวิวัฒนาการตัวตนของตัวเองต่อไปได้อีกหรือไม่ ควรไปต่อหรือหยุดแค่นี้ หรือพวกเราจะต้องส่งต่อโลกใบนี้ให้กับสิ่งมีชีวิตที่ดีกว่า ที่สมบูรณ์กว่า มนุษย์อย่างเราๆ กับโลกอีกใบหนึ่งของ อ. Shirow ใน “APPLESEED”
.... ปี 2125 โลกถูกทำลายลง(อีกครั้ง)จากสงครามของพวกเราเหล่ามนุษย์ผู้ปกครองโลกใบนี้แต่เพียงชนเผ่าเดียว... แม้จะมีเรื่องที่น่ายินดีอยู่บ้าง เพราะสงครามครั้งใหญ่ที่สร้างการเปลี่ยนแปลงและทำให้โลกใบนี้เต็มไปด้วยดินแดนอันไร้กฎหมายนั้น ไม่ได้นำและใช้ “นิวเคลียร์” เข้ามายุ่งเกี่ยวอย่างที่ผู้คนต่างกังวลและหวาดกลัว แม้จะเป็นเช่นนั้น... สงครามครั้งใหญ่ในครั้งนั้นก็เปลี่ยนแปลงและส่งผลให้ผู้คนมากมายทั่วโลกต้องอยู่อย่างลำบากและขาดแคลนในพื้นที่ที่หลงเหลือและรอดมาจากมหาสงครามในครั้งนั้น
แม้จะเป็นอย่างนั้น แต่สำหรับหญิงสาวอย่าง “ดิวนัน” นั้นก็ยังคงใช้ชีวิตได้อย่างไม่ยากลำบากอะไรนัก ส่วนหนึ่งเพราะเธอคืออดีตหน่วยสวาทที่มีฝีมือในการต่อสู้และสามารถใช้ฝีมือในด้านนั้นในการหาค้นหาอาหารและสิ่งของที่หลงเหลืออยู่ รวมถึงเป็นนักล่าค่าหัวในดินแดนอันไร้กฎหมายแห่งนี้ร่วมกับคู่หูอย่าง “บริอาเรออส” ที่แม้เขาจะเป็นไซบอร์ก ก็ตาม
แต่พูดได้เต็มปากว่า ไม่มีใครที่จะรู้ใจและเป็นที่พึ่งพาทั้งในด้านจิตใจและความคิดให้กับ ดิวนัน ได้ดีไปกว่าบริอาเรออส คนนี้อีกแล้ว เพราะแบบนั้น แม้โลกใบนี้จะแตกสลายไปเรียบร้อยแล้วก็ตาม ตัว ดินนัน และ บริอาเรออส ก็ไม่เคยรู้สึกว่าพวกเขามีปัญหาในการใช้ชีวิตเลยตลอดมา
แต่แล้ววันนึง “ฮิโตมิ” อดีตเพื่อนเก่า ก็ได้มาหาเธอโดยไม่คาดคิด พร้อมกับชักชวนเธอให้เดินทางไปยัง “โอลิมปัส” เมืองที่เป็นดั่งศูนย์กลางบัญชาการโลกอยู่ในตอนนี้ ซึ่ง ณ เวลานี้ โอลิมปัส มีความต้องการและพร้อมจะเปิดรับบุคคลที่มีความสามารถในด้านการต่อสู้เช่นเธอและคู่หูของเขาเข้าไปอยู่ในนั้น แน่นอนมันเป็นคำเชิญที่ทั้งคู่ ไม่อาจปฎิเสธได้ และนี่คือจุดเริ่มต้นของพวกเขากับการเข้าไปยังดินแดนที่ถูกสร้างขึ้นให้เป็นดั่งตัวแทนยูโทเปียในโลกที่แตกสลายในตอนนี้ ใน “APPLESEED” ครับ
นี่ไม่ใช่ครั้งแรก ที่ผมได้เคยอ่าน APPLESEED หรอกนะครับ ถ้าจำไม่ผิด ผมน่าจะเคยรีวิวเรื่องนี้ไว้ในบ้านเก่าที่ตอนนี้ถูกปิดไปเรียบร้อยแล้ว แต่ก็ถือว่าเป็นการกลับมาอ่านเรื่องนี้อีกครั้งในเวอร์ชั่นที่สมบูรณ์มากขึ้น ที่พูดอย่างนี้ก็เพราะแม้ APPLESEED ในเวอร์ชั่นแรกที่ผมได้อ่าน จะเป็นงาน LC ของ SIC ก็ตาม แต่ด้วยช่วงเวลาที่ออกเรื่องนี้มาในอดีตนั้น ทาง SIC มีปัญหาอย่างมากในการแปลเรื่องราวที่เป็นงาน action Si-Fi เรื่องนี้ให้คนอ่านอย่างผมสามารถจะเข้าใจเนื้อหาของมันได้อย่างที่ควรเป็น
เพราะแบบนั้นสำหรับผมที่อ่านเวอร์ชั่น LC ของ SIC มาแล้วนั้น ต้องบอกว่า ผมไม่เข้าใจเนื้อหาและเรื่องราวของเรื่องนี้เท่าที่ควร เพราะปกติ งานของ อ. มาซามุเนะ มักจะมีโครงสร้างเรื่องที่แน่น เต็มไปด้วยรายละเอียดที่ต้องอ่านและคิดจริงจังเป็นอย่างมากเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว แม้มันจะอยู่ภายใต้ความเป็นมังงะแนว แอคชั่นต่อสู้ก็ตาม ในครั้งนี้จึงเป็นการรีเซ็ทการอ่านให้เข้าใจในเนื้อหา และเข้าถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นภายในเรื่องแบบจริงจังครั้งแรกสำหรับผมเลยก็ว่าได้
ซึ่งถ้าผมจะบอกว่า “APPLESEED” คือเรื่องราวการต่อสู้ระหว่างเผ่าพันธุ์ต่างๆ ก็อาจจะไม่ผิดนัก แม้มันจะไม่ถูกต้องนักก็ตาม เพราะแม้มันจะถูกคำว่าสังคมมนุษย์ครอบอยู่ก็ตาม แต่การต่อสู้ที่อยู่ข้างใน มันถูกขับเคลื่อนด้วยความแตกต่างทางด้านองค์ประกอบทางชีววิทยาที่มีต่อมุมมองของการวิวัฒนาการของมนุษย์เราอย่างเห็นได้ชัด
จริงๆ ต้องบอกว่า หนึ่งในคำถามที่ อ. เขาตั้งคำถามเอาไว้ในเรื่องนี้ก็คือ มนุษย์อย่างเรานั้น ได้มาสุดเส้นทางของการวิวัฒนาการแล้วหรือยัง ? เพราะที่ผ่านมา การที่เรามายืนอยู่ตรงจุดสูงสุดของโลกใบนี้ได้ ก็เพราะเราผ่านการวิวัฒนาการมาอย่างต่อเนื่องซ้ำแล้วซ้ำเล่า และหากคำตอบมันคือ มนุษย์เราไม่อาจจะวิวัฒนาการไปได้อีกต่อไปแล้ว
อย่างนั้น อะไร(เผ่าพันธุ์ไหน) คือสิ่งที่จะวิวัฒนการก้าวขึ้นมาแทนพวกเราเหล่ามนุษย์ล่ะ ก็เมื่อกระบวนการคัดสรรโดยธรรมชาติ มันเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา แม้กระทั่งตอนนี้ที่มนุษย์เราได้ยึดครองโลกใบนี้เรียบร้อยแล้วก็ตาม ผมมองว่านี่คือสิ่งที่ อ. ได้ใส่ไว้เป็นหัวใจหลัก และใช้ตั้งคำถามเพื่อให้เหล่าตัวละครในเรื่องเดินไปตามเส้นคำถามที่ อ. ได้ตั้งไว้ครับ
เฉกเช่นกับมังงะ ภาพยนต์ นิยายวิทยาศาสตร์หลายๆเรื่องที่พวกเราได้เคยดู อ่าน กันมาอย่างมากมาย ความต้องการเป็น “พระเจ้า” ของมนุษย์เรา ได้ก่อกำเนิดเรื่องราวและการพัฒนาหลายสิ่งหลายอย่างให้เกิดขึ้นบนโลกใบนี้เพื่อตอบคำถามและชนะบางสิ่งที่ขัดขวางการพัฒนาของเหล่ามนุษย์เรา “เครื่องจักร ไซบอร์ก หุ่นยนต์ และไบโอรอยด์” คือตัวละครของเผ่าพันธ์ที่ อ. ใส่เข้ามาเพื่อหาคำตอบของเรื่องราวตามที่ผมกล่าวเอาไว้ข้างต้นครับ
ด้วยการนำเสนอโลกที่พัฒนาหลายๆอย่างมาถึงขีดสุด แม้จะเพิ่งผ่านเวลาแห่งการทำลายล้างที่ทำให้กฎของโลก ต้องทำการเซ็ตตัวและจัดระเบียบโลกใหม่ก็ตาม แต่อารยธรรมและความเจริญก้าวหน้าในเทคโนโลยียังคงเดินต่อไปอย่างต่อเนื่อง และเมื่อมนุษย์มีคำถามถึงความสามารถในการดูแลโลกใบนี้ภายใต้มนุษย์มากขึ้น จากเหตุการณ์เลวร้ายต่างๆที่ล้วนเกิดขึ้นจากฝีมือมนุษย์แบบพวกเขา
ในขณะเดียวกันเมื่อมนุษย์รู้ว่าสามารถที่จะสร้างความสมบูรณ์แบบที่มากกว่าตัวเองขึ้นมาได้ นั่นคือที่มาของเหล่าตัวเอกที่ผมมองว่าเป็นอีกเผ่าพันธุ์นึง ซึ่งนั่นคือพวกเขา ที่ถูกเรียกว่า “ไบโอรอยด์(Bioroid)” เพราะแบบนั้นเราจึงได้เห็นเหล่า ไบโอรอยด์ ในเรื่องมีบทบาทมากมายในเรื่องเปรียบเสมือนคีย์เวิร์ดหรือองค์ประกอบที่สำคัญเฉพาะในเรื่องนี้เลยครับ
แม้ APPLESEED จะมีองค์ประกอบและรายละเอียดที่มากมายที่สามารถชวนให้เราได้ใช้ความคิด แต่เอาเข้าจริงๆ ผมว่าเรื่องนี้มีความเป็น Action Si Fi มากกว่าจะเป็นงานเน้นตั้งคำถามให้กับคนอ่านนะ ตรงจุดนี้ผมว่ามันแตกต่างจากงานคลาสิคของ อ. อย่าง The Ghost of the Shell ในความเห็นของผมนะ คือเรื่อง APPLESEED แกจะมีหัวใจหลักและใจความของความขัดแย้งอยู่อย่างชัดเจน
แต่การเล่าและการนำเสนอจะออกแนว Action เป็นหลัก ดังเสมือนข้าวปั้นไส้บ๊วย ที่ตัวบ๊วยด้านในนั้นจะมีขอบเขตไม่ผสมกับเนื้อข้าวเท่าไหร่นัก แต่สำหรับ The Ghost of the Shell แล้ว ผมคิดว่าเปรียบเสมือนน้ำซุปที่เครื่องปรุงอันเป็นหลักความคิดถูกเคี่ยวไปพร้อมกับการนำเสนอ เลยกลายเป็นเนื้อเดียวที่เราแยกไม่ออกหากพูดถึงเรื่องหลังขึ้นมา
นั่นก็เป็นข้อแตกต่างของสองงานคลาสิคของ อ. มาซามุเนะ ในสายตาผมนะ ซึ่งข้อดีของเรื่องนี้คือ มันไม่ได้ทำให้เราต้องคิดมากไปกับแกนกลางหลักของความขัดแย้งเท่าไหร่นัก แต่เราสามารถสนุกไปกับการอ่านเรื่องราวการต่อสู้ของนางเอกในฐานะหน่วย ESWAT ที่มีหน้าที่ปราบปรามเหล่าร้าย ผู้ร้าย ในภารกิจต่างๆได้ ซึ่งตรงนี้ผมถือเป็นจุดเด่นอย่างมากของเรื่องนี้ในความทรงจำผมเลย
เพราะอย่างที่ผมบอกว่าผมชื่นชอบลายเส้นและงานเขียนเกี่ยวกับจักรกล เครื่องจักร สิ่งของต่างๆที่มีแสดงถึงเทคโนโลยีชั้นสูงอยู่แล้ว เรื่องนี้ที่มีการจัดเต็มเรื่องนี้อย่างมาก โดยที่ไม่ได้แทรกแก่นของเรื่องเข้าไปเท่าไหร่นัก มันก็เลยอ่านลื่นและใช้เวลาไปกับการดูรายละเอียดของงานภาพที่ใส่เข้ามาได้แบบจัดเต็ม การได้เห็นพวกบอดี้สูทสำหรับใส่ต่อสู้ของเหล่าตัวเอกตลอดทั้งเรื่องนี้ มันเติมเต็มความชื่นชอบของผมแนวนี้ได้อย่างดีมาก
ผมขอพูดถึงภาพรวมเนื้อหาของ “APPLESEED” เท่านี้ก่อนดีกว่า เพราะมันเริ่มจะวกวนเกินไปและเนื้อหาจะมากเกินความจำเป็น แต่จะมาขอพูดถึงงานผลิตกันบ้างดีกว่าเพราะนี่เป็นอีกงานผลิตที่มีรายละเอียดเยอะมากกกกกกกก
APPLESEED เวอร์ชั่นที่ผมกำลังรีวิวอยู่ในตอนนี้เป็นอีกหนึ่งผลงานจากค่ายที่เคยหยิบ The Ghost of the Shell ของ อ. มาทำก่อนหน้านี้อย่างค่าย Cat Comics ครับ นี่เป็นอีกครั้งที่ทางค่ายได้หยิบผลงานระดับบนหิ้ง ที่โครตปราบเซียนมานำเสนอ ปราบเซียนที่ว่าคือตั้งแต่ความสมบูรณ์ของเรื่องนี้ในไทยยังไม่เคยทำออกมาได้ ด้วยเป็นงานที่รับรู้มาว่าแม้จะเขียนเอาไว้ตั้งแต่ปี 1985 ก็ตาม อ. ก็ยังมีการขยับหรือออกข้อมูลเพิ่มเติมเอาไว้ตรงนั้นตรงนี้ ช่วงหลังๆ อยู่บ้าง
ทำให้การรวบรวมให้มันสมบูรณ์ในแบบที่ผู้ทำพอใจนั้น ไม่ง่ายเลยครับ เอาเข้าจริงๆผมก็บอกไม่ได้ว่าคำว่าสมบูรณ์ 100% ของงานแนวนี้คือตรงไหนกันแน่แต่เอาเป็นว่าที่ผมรีวิวอยู่นี้มันไปแต่ะตรงจุดนั้นได้ในสายตาผมอ่ะนะ
โดยเซ็ทนี้ทางค่ายทำออกมารวมทั้งหมด 6 เล่ม ที่เล่ม 1-4 แม้ผมจะมองว่ามันคือเรื่องราวต่อเนื่องและควรเป็นภาคเดียวกันก็ตาม แต่ในความเป็นจริง ตัว อ. มองว่าแต่ละเล่มคือแยกกันไปเป็นภาคๆ ทำให้ทั้ง 4 เล่มหลักที่ผมเคยผ่านตามาจาก LC ในอดีต คือ 4 ภาคอันประกอบไปด้วย
เล่ม 1 (ภาค 1) ชื่อภาค The Promethean Challenge
เล่ม 2 (ภาค 2) ชื่อภาค Prometheus Unbound
เล่ม 3 (ภาค 3) ชื่อภาค The Scales of Prometheus
เล่ม 4 (ภาค 4) ชื่อภาค The Promethean Balance
ซึ่งหากมองจากตอนนี้ ผมก็คิดว่า ที่ อ. แยกภาคเป็นเล่มๆไป ทั้งๆที่มันก็มองว่าต่อเนื่องกันไปได้ ก็คงเพราะเนื้อหา หรือภารกิจหลักของแต่ละเล่ม มันแยกประเด็นกันชัดเจนก็เป็นได้ แต่เอาว่า นี่เป็นครั้งแรกที่ผมมารู้ว่า เออ อ. เขาแยกภาคแบบนี้นะ 555
ทั้ง 4 เล่มนี้ ทางค่ายทำออกมาด้วยขนาดเล่ม BB แบบปกสองชั้น ปกนอกพิมพ์ บนกระดาษอาร์ตหนา 190 แกรม สัมผัสดีมาก งานพิมพ์คมชัดสีสันสดใสประทับใจแฟนๆอย่างผมมาก ส่วนปกด้านในใช้กระดาษอาร์ตมันหนา 260 แกรมที่แม้จะใช้ภาพเดียวกับปกนอก แต่ทำการพิมพ์สีพร้อมมีลูกเล่นด้วยการใช้ภาพแนวเนกเกอทีฟในฉากหลังภาพให้แตกต่างจากปกหน้าอยู่บ้าง เอาเป็นว่าแค่พิมพ์เป็นสีผมก็ชอบมากอยู่แล้ว ส่วนตัวบอกมาตลอดว่าการพิมพ์ปกในให้เป็นสีนี่ มันดูมีมูลค่ากว่าเยอะ และเรื่องนี้ก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ
ตัวเล่มเปิดอ่านตามต้นฉบับญี่ปุ่น เปิดไปคุณจะพบภาพแผ่นพับ Pin up ขนาด 2 ใน 3 ของกระดาษ A4 ได้ ไม่ได้เห็นแผ่นพับในหนังสือนานมากแล้ววววว และพิมพ์ภาพสีอีกต่างหาก ซึ่งมีอยู่ทุกเล่มด้วย และในแต่ละเล่มก็จะมีภาพสีอีก 1 แผ่นด้วยครับ นอกนั้นจะเป็นการพิมพ์ภาพขาวดำบนกระดาษกรีนรีด หนา 75 แกรม ที่ต้องบอกว่าทั้งภาพขาวดำและภาพสี งานคมชัดดีมาก ดีมากจริงๆ เห็นแล้วประทับใจกับความคมชัดระดับนี้มาก
ส่วนงานแปล ตรงนี้อาจต้องแล้วแต่คน ผมหมายถึงด้วยเนื้อหามันเป็นแนว action ที่มีความวิทยาศาสตร์สูง และด้วยสไตล์การเล่าเรื่องในแบบของ อ. มาซามุเนะ บอกเลยว่าถ้าอ่านเล่มแรกๆจะแอบมีงง ในแง่บทสนทนาและความสัมพันธ์ของตัวละครแต่ละตัว เพราะเรื่องมันเลือกเล่าหลังเหตุการณ์ครั้งใหญ่จบไปแล้ว
แต่มันจะเริ่มเคลียร์และเข้าใจในบริบทมากขึ้นเมื่อค่อยๆอ่านไปและไปอ่านเนื้อหาเพิ่มเติมในเล่มพิเศษ 2 เล่มที่เหลือ ตรงจุดนี้ผมว่าเป็นปัญหาที่จะเจอในงานของ อ. แกอยู่เสมอนะครับ แต่ภาพรวมถ้าใช้เวลากับมันแล้วละก็จะเข้าใจเรื่องราวได้ดีขึ้นครับ
นอกจาก 4 เล่มหลักแล้ว ในเซ็ทนี้ ก็ยังมีเล่มพิเศษเพิ่มเข้ามา 2 เล่มด้วยกัน ซึ่งทั้งสองเล่มมีรายละเอียดที่ต่างกันไป อย่างเล่ม Applessd ID ก็จะเป็น ILLUSTRATION หรือเล่มที่รวมภาพวาดสวยๆของ อ. เอาไว้ หลายสิบหน้าเลยครับ พิมพ์สีด้วยนะภาพวาดที่บอก รวมถึงมี pin up อีกเช่นเคย
และยังมีตอนพิเศษที่ไม่เคยถูกตีพิมพ์มาก่อนเพราะ อ. แกตัดออกไม่ยอมลงตีพิมพ์ในตอนแรก และมีภาพสเก็ตช์รวมถึงมีข้อมูลต่างๆที่ช่วยเสริมเติมความเข้าใจในบริบทของเรื่องราวที่เกิดขึ้นในเล่มหลักด้วย เล่มนี้จึงอัดแน่นไปทั้งภาพสวยๆ ที่มีทั้งหน้าสีจำนวนมากและหน้าขาวดำและข้อมูลสำหรับแฟนๆโดยเฉพาะครับ
รวมถึงอีกเล่มพิเศษอย่าง Appleseed Hypernotes ด้วย ที่ภายในเล่มนอกจากจะมีภาพ Pin up และหน้าสีอีก ราวๆ 3 หน้าแล้ว ยังมีเนื้อหาของเรื่องนี้ ที่ อ. ได้เขียนไว้เพิ่มเติม แต่เขียนไม่จบและสุดท้ายก็ต้องยกเลิกที่จะเขียนต่อไปอีกด้วย จำนวนหน้าไม่ใช่น้อยๆนะครับ บอกเลยว่าเยอะแบบจุใจเลยสำหรับส่วนนี้ และมีภาพสเก็ตช์ ภาพที่ อ. ออกแบบที่ตั้งใจไว้ว่าจะใช้ใน APPLESEED ภาค 5 ในอนาคต แต่ก็ยกเลิกไปเรียบร้อยให้ได้ดูกันด้วย
รวมถึงมีข้อมูลเพิ่มเติมสำคัญมากมายใส่ไว้อีกด้วย ซึ่งไม่ใช่เฉพาะข้อมูลจากเรื่อง APPLESEED เท่านั้น ยังรวมถึงข้อมูลของเรื่อง The Ghost of the Shell และเรื่องอย่าง ORION อีกด้วย ทำให้เล่มนี้มีข้อมูลสำคัญของสามเรื่องหลักที่สร้างชื่อให้ อ. มาซามุเนะอย่างครบเลย ซึ่งทั้งเล่ม 2 เล่มพิเศษนี้ ใช้การผลิตแบบเดียวกับ 4 เล่มหลัก
คือปกหน้าหลังสี ความหนาของกระดาษในส่วนต่างๆในสเปคเดียวกัน คุณภาพดีเช่นกัน และแน่นอนครับ มีกล่องใส่ด้วยครับ เลยทำให้เซ็ทนี้สำหรับเรื่องนี้ออกมาสมบูรณ์แบบอย่างที่ควรเป็น ทรงคุณค่าให้เก็บกันมากๆ และเป็นงานผลิตที่ทางค่าย Cat ทำออกมาได้ดีตามมาตรฐานที่ทางค่ายทำเอาไว้ตลอดมาครับ
แม้ในสายตาของผม “APPLESEED” อาจไม่ใช่เรื่องที่ครบถ้วนทางด้านเนื้อหาและการนำเสนอหรือมีมิติที่เน้นความลึกของทั้งตัวละครและเรื่องราวอะไรมากนัก แต่หากมองย้อนกลับไปในปีที่เรื่องนี้ถูกนำเสนอออกมาระหว่างปี 1985-1989 แล้ว นี่คือเรื่องที่ชวนทึ่งในหลายๆอย่าง ไม่ว่าจะเป็นไอเดียในการนำเราสู่โลกหลังสงครามที่มนุษย์ยังสามารถกลับมาด้วยเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นไปอย่างมาก
การนำเสนอตัวตนใหม่ของสิ่งที่เหนือกว่า “มนุษย์” จากน้ำมือตัวเอง ที่ในปัจจุบันไอเดียอะไรแบบนี้อาจไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรก็ตาม แต่สิ่งที่ใส่มาให้เห็นมันไม่ได้ล้าสมัยเลยในยุคปัจจุบันนี้
มันคืองานที่ผมจะนึกถึงเสมอหากคิดถึงงานแนว after war ซักเรื่อง อาจจะไม่สมบูรณ์แบบในเรื่องของอารมณ์แนวดิ่ง แต่มันคือที่สุดของสงครามเทคโนโลยี หุ่นยนต์และอาวุธไฮเทค จะบอกว่าเป็นที่สุดอีกเรื่องของงานแนว Action Si-Fi ผมก็คิดว่าไม่ผิดหรอกนะครับ เอาเป็นว่าใครชอบลายเส้นแบบจัดเต็ม เนื้อหาล้ำสมัย ก้าวล่วงช่วงเวลาที่นำเสนอ มีความไซเบอร์ฟังค์อยู่บ้าง เรื่องนี้ตอบโจทย์อย่างมาก อยู่ในระดับห้ามพลาดสำหรับผมเลยครับ
ภาพ 10/10
เรื่อง 9/9
ความประทับใจ 10/10
#Manga #รีวิวการ์ตูน #จบ #6เล่มจบ #CatComics #การ์ตูนแนวหุ่นยนต์ #การ์ตูนแนววิทยาศาสตร์ #MangaAnimeReviews #การ์ตูนแนวต่อสู้ #10คะแนน #AppleSeed #หนังสือการ์ตูน #Rate18 #เธอๆอ่านเรื่องนี้หรือยัง
โฆษณา