31 ก.ค. เวลา 00:20 • หุ้น & เศรษฐกิจ

Meta ดีด +11% ราคาหุ้นทำ All Time High หลังประกาศงบสดใส AI ทำโฆษณาพุ่ง

ล่าสุดราคาหุ้น Meta เจ้าของ Facebook, Instagram, WhatsApp ได้ดีดขึ้น 11.6% ทันที ในช่วงซื้อขายหลังตลาดปิด (After-hours) คิดเป็นมูลค่าบริษัทที่เพิ่มขึ้น 6.7 ล้านล้านบาท ชั่วข้ามคืน
เนื่องจากผลประกอบการไตรมาสที่ 2 ปี 2025 ออกมาดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาด อีกทั้งยังคาดการณ์รายได้ในไตรมาส 3 จะสูงกว่าคาดด้วยเช่นกัน
ไตรมาส 2 ปี 2025
- รายได้ 1.6 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 22%
- กำไร 0.6 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 36%
- อัตรากำไรสุทธิ 39%
สัดส่วนรายได้กว่า 98% ของ Meta มาจากค่าโฆษณา
โดยรายได้โฆษณาไตรมาสนี้ ทำได้มากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้
การเติบโตนี้ Meta เผยว่ามาจากเทคโนโลยี AI ของบริษัท ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของระบบโฆษณาอย่างมีนัยสำคัญ
ทำให้แพลตฟอร์มของ Meta
- มีการแสดงโฆษณา (Ad Impressions) เพิ่มขึ้น 11%
- ราคาเฉลี่ยต่อโฆษณา (Average price per ad) เพิ่มขึ้น 9% จากปีก่อนหน้า
ในขณะที่จำนวนผู้ใช้งานแพลตฟอร์มในเครือ อย่างน้อย 1 ครั้งต่อวัน (DAU) เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 3,480 ล้านคน (จากเดิมมี 3,430 ล้านคน ในไตรมาสก่อน) และสูงกว่านักวิเคราะห์คาดไว้ที่ 3,450 ล้านคน
ซึ่งรายได้เฉลี่ยของผู้ใช้งาน (Family Average Revenue per Person : ARPP)
ได้ปรับตัวขึ้นมาอยู่ที่ 13.65 ดอลลาร์สหรัฐ ในไตรมาสล่าสุด
เทียบกับ 12.36 ดอลลาร์สหรัฐ ในไตรมาสก่อนหน้า และ 11.89 ดอลลาร์สหรัฐ ในปีก่อนหน้า
สำหรับหน่วยงาน Reality Labs ที่ดูแลผลิตภัณฑ์ในกลุ่มแว่นและอุปกรณ์สวมใส่อัจฉริยะ เช่น Quest ชุดหูฟัง VR และ Ray-Ban Meta แว่นตาอัจฉริยะ ที่ร่วมพัฒนากับ EssilorLuxottica
รายงานรายได้ 1.2 หมื่นล้านบาท ในไตรมาสนี้
ขณะที่ขาดทุนจากการดำเนินงานไป 1.5 แสนล้านบาท แต่ขาดทุนน้อยกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้เล็กน้อย
แม้ว่า Quest จะยังไม่ประสบความสำเร็จในระดับแมส แต่แว่นตาอัจฉริยะ Ray-Ban Meta กำลังแสดงสัญญาณที่ดี
โดย EssilorLuxottica รายงานว่า ยอดขาย Ray-Ban Meta เพิ่มขึ้นมากกว่า 3 เท่าในครึ่งปีแรกของปี 2025 เมื่อเทียบปีก่อนหน้า
และเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา Meta และ EssilorLuxottica ได้เปิดตัว Oakley Meta แว่นตา AI รุ่นใหม่ ซึ่งก็ได้ผลตอบรับดี
Meta คาดการณ์ว่า รายได้รวมไตรมาส 3 ปี 2025
จะอยู่ในช่วงระหว่าง 1.56 ล้านล้านบาท ถึง 1.65 ล้านล้านบาท
สูงกว่าที่นักวิเคราะห์ใน Wall Street คาดการณ์ไว้ที่ 1.51 ล้านล้านบาท
ทำให้ราคาหุ้นของ Meta พุ่งขึ้นกว่า 11.6% ทันที หลังจากการประกาศ..
1
นอกจากนี้ Meta บอกว่า งบเพื่อการลงทุน (CapEx) ทั้งปีจะอยู่ในช่วง 2.16 ล้านล้านบาท ถึง 2.36 ล้านล้านบาท
โดยปรับเพิ่มจากเดิมที่คาดไว้ 2.10 ล้านล้านบาท ถึง 2.36 ล้านล้านบาท
และคาดว่าปี 2026 จะยังคงเห็นการเพิ่มขึ้นของ งบลงทุนอย่างมีนัยสำคัญ เพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นของเทคโนโลยี AI
ที่ผ่านมา Meta ได้ใช้งบมหาศาลไปกับการจ้างนักวิจัยและวิศวกร AI ชั้นนำจาก Anthropic, OpenAI, Google รวมถึงทุ่มลงทุน 4.7 แสนล้านบาท ใน Scale AI เพื่อดึงตัว CEO ของบริษัทอย่าง Alexandr Wang มาร่วมก่อตั้งหน่วยธุรกิจใหม่ชื่อว่า Meta Superintelligence Labs
1
ซึ่งจะทำงานวิจัยเกี่ยวกับโมเดลปัญญาประดิษฐ์พื้นฐาน (Foundation Models) เช่น Llama และโปรเจกต์ AI ต่าง ๆ
1
นอกจากนี้ Meta ยังลงทุนมหาศาลใน Data Center สำหรับ AI โดยบริษัทจะลงทุนหลายแสนล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อสร้าง Data Center ขนาดใหญ่ระดับ "multi-gigawatt" ทั่วประเทศสหรัฐ หนึ่งในนั้นคือโครงการที่ชื่อว่า Hyperion ซึ่งจะรองรับพลังงานได้สูงสุดถึง 5 กิกะวัตต์
2
ซึ่ง Meta มองว่าปี 2026 มีหลายปัจจัยที่จะกดดันให้ต้นทุนในปีหน้าสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
โดยปัจจัยหลักคือ ค่าเสื่อมราคาโครงสร้างพื้นฐาน ที่เพิ่มสูงขึ้น และต้นทุนการดำเนินงานที่สูงขึ้นจากการขยาย Data Center
ปัจจัยรองลงมาคือ ค่าตอบแทนพนักงาน โดยเฉพาะในตำแหน่งด้านเทคโนโลยีที่สำคัญ จะเป็นตัวขับเคลื่อนต้นทุนอันดับสอง เนื่องจากการรับพนักงานเพิ่มขึ้น และผลของการบันทึกค่าใช้จ่ายเต็มปีสำหรับพนักงานที่จ้างในปี 2025
ทิ้งท้ายด้วย วิสัยทัศน์ใหม่ของ Meta ที่มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก ได้ประกาศไปเมื่อคืน ก่อนช่วงรายงานผลประกอบการ
นั่นคือ “To Build Personal Superintelligence to Everyone”
1
เขาบอกว่า Meta ต่อจากนี้ จะมุ่งเน้นการพัฒนา Personal Superintelligence สำหรับทุกคน
โดยเขามองว่า Personal Superintelligence ควรถูกใช้เพื่อเสริมศักยภาพส่วนบุคคล เช่น ความคิดสร้างสรรค์ การเติบโตของตัวตน และความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์
มากกว่าการมุ่งเน้นที่ "ประสิทธิภาพ" หรือ "ระบบอัตโนมัติ"
Meta จะนำพลังของ Superintelligence ไปอยู่ในมือของทุกคน เพื่อให้นำไปใช้กับสิ่งที่แต่ละคนให้คุณค่าจริง ๆ
เพราะ AI ในอนาคต ควรช่วยให้มนุษย์มีความคิดสร้างสรรค์มากขึ้น สร้างสังคมและวัฒนธรรมใหม่ ๆ และทำให้ชีวิตของผู้คนมีความหมายมากขึ้น
ซึ่งมาร์ก ได้ทิ้งท้ายด้วยความเชื่อมั่นว่าในอนาคตนั้น
- เวลาในการใช้ Productivity Software จะน้อยลง
- เวลาที่คนจะใช้ไปกับการสร้างสรรค์และการเชื่อมต่อกันจะมากขึ้น
- อุปกรณ์ AI ส่วนบุคคล เช่น แว่นตาอัจฉริยะ (AI Smart Glasses) จะกลายเป็นเครื่องมือคอมพิวเตอร์หลักของมนุษย์..
โฆษณา